แล้ว “วันคลอด” วันสำคัญก็มาถึง



 

ยิ่งท้องแก่ ก็ยิ่งตื่นเต้น  ไม่รู้ว่าจะเจ็บตอนไหน ไม่รู้ว่าจะเจ็บมากหรือเปล่า ยิ่งใกล้คลอดก็ยิ่งกังวลมาก ทางที่ดีที่สุดในการรับมือกับหน้าที่อันยิ่งใหญ่นี้ ก็คือ การเตรียมตัว การเตรียมใจการเตรียมพร้อม หาข้อมูล รู้ขั้นตอน รู้วิธีการ รู้ข้อปฏิบัติ ข้อดี ข้อเสีย ข้อควรระวัง ...บทนี้จะช่วยคุณแม่ได้มาก ถึงเวลาคลอดจริงๆแล้วต้องทำยังไงกันบ้าง...มาลุยกันเลย..


มาเริ่มกันตั้งแต่ตอนท้องแข็งเลยดีกว่า แข็งแบบไหน เจ็บแบบไหน ที่ต้องไปโรงพยาบาล? 

 

ช่วงท้ายๆ ยิ่งท้องแก่ มดลูกของคุณแม่ก็จะยิ่งแข็งบ่อย แต่แข็งช่วงนี้ก็ยังไม่แข็งจนเจ็บมากมายสักเท่าไหร่ แค่ตึงๆแน่นๆยังพอทนได้ แข็งแต่ละทีก็หนีดๆนานๆ ไม่ต่อเนื่องเป็นชุดๆเหมือนคนจะคลอด มดลูกมักจะแข็งบ่อยตอนเปลี่ยนท่า เช่น เกร็งตัวล้มลงนอนแล้วแข็ง หรือเกร็งหน้าท้องลุกขึ้นนั่งก็แข็ง 

 

ตอนท้องแก่ .. คุณแม่ก็มักจะมีอาการปวดถ่วงบริเวณหัวหน่าวด้วย เจ็บตอนเริ่มๆก็จะเจ็บที่บนกระดูกหัวหน่าว ถ้าเด็กเอาหัวลงก็จะเจ็บมาก ถ้าเด็กเอาก้นลงก็เจ็บน้อยหน่อย 

พอท้องแก่มากขึ้นอีกเด็กก็จะเอาหัวมุดลงไปในอุ้งเชิงกราน ตอนนี้คุณแม่ก็จะรู้สึกว่าท้องลด อาการแน่นท้องข้างบนลดลง แต่มันจะมาแน่นท้องน้อยข้างล่างแทน แล้วมันก็จะเจ็บร้าวลงไปที่หน้าขาด้วย เจ็บแบบนี้ก็ใกล้แล้ว พอหัวเด็กลงไปสุดก็จะกดลงบนกระดูกก้นกบ ก็จะเจ็บร้าวไปหลัง เจ็บกระเบนเหน็บ เจ็บแบบนี้เรียกว่าสุดปลายทางแล้ว รอมดลูกบีบตัวอย่างเดียวก็คลอดแล้ว

 




 

แล้วเมื่อไหร่มดลูกมันถึงจะบีบตัวซะทีล่ะ??

 

เจ็บเตือน…ใกล้แล้วสินะ 

ยิ่งใกล้คลอด มดลูกก็ยิ่งบีบตัวบ่อยขึ้น เริ่มแข็งตัวติดๆกันเป็นชุด บีบทีนึงก็ประมาณ 5-6 ครั้ง กินเวลาสัก 20-30 นาที เวลาบีบตัวก็ไม่ค่อยเจ็บสักเท่าไหร่ เพียงแค่รู้สึกแน่นๆหน่วงๆ เท่านั้น บีบแป๊บๆแล้วมันก็หายไปเอง ไม่เจ็บมากขึ้น ไม่เจ็บถี่ขึ้นเหมือนการเจ็บครรภ์คลอดจริง... แค่เจ็บเตือน ขู่ไว้ก่อนเท่านั้นเอง

เจ็บเตือนก็มักเป็นในตอนกลางคืนซะทุกที บางคนนอนเจ็บทั้งคืน แต่พอถึงเช้าก็หายไปเอง นอนลุ้นกันทั้งคืน..อยู่ๆก็เงียบไปเองเสียนี่ 

คุณแม่บางคนพอเจ็บท้องปั๊บก็ตาลีตาเหลือกไปโรงพยาบาลทันที พอไปถึงโรงพยาบาลดันหายเจ็บท้องไปเฉยๆ เลยไปเก้อ สุดท้ายก็ต้องขนของกลับบ้าน ไปนอนแข็งต่อที่บ้านอีกตั้งอาทิตย์กว่าจะคลอด 

ปกติแล้วการเจ็บครรภ์เตือนจะเกิดขึ้นก่อนการเจ็บครรภ์จริงประมาณ 1 สัปดาห์นั่นเองครับ

  

อาการบอกจะคลอดแล้วนะ 

หลังจากการรอคอยมานานแสนนาน เมื่อใกล้วันครบกำหนดคลอดถ้าหากคุณแม่มีอาการดังต่อไปนี้ ก็ควรรีบไปโรงพยาบาลทันที 

เจ็บท้อง ท้องแข็งบ่อยเป็นจังหวะ เจ็บถี่ขึ้นเรื่อยๆ  แข็งแรงมากขึ้นเรื่อยๆ เจ็บมากขึ้นเรื่อยๆ นั่งพักสังเกตุอาการดูแล้ว มันก็ยังบีบต่อเนื่องไม่ยอมหยุด .. เจ็บท้องจริงเนี่ย มันจะเจ็บไปไม่มีทางหยุด ..จนกว่าจะคลอดเท่านั้นครับ !!

อาการเจ็บท้องคลอด คุณแม่จะรู้เองโดยสัณชาติญาณเลยครับว่ามันใช่แน่ .. 

 

น้ำเดิน ก็จะมีน้ำใสๆไหลออกมาเหมือนปัสสาวะราด ไหลออกมาแบบอั้นยังไงก็ไม่อยู่ ขมิบยังไงก็ทำให้น้ำหยุดไหลไม่ได้ เนื่องจากภายในถุงน้ำคร่ำมีแรงดันสูงพอสมควรจากการบีบตัวของมดลูก จากน้ำหนักตัวส่วนบนที่กดทับอยู่ เวลาถุงน้ำแตก น้ำที่ไหลออกมาก็มักท่วมท้นทะลักอั้นไม่ได้

แต่ถ้าน้ำออกมานิดนึง เป็นวงหน่อยนึง ก็มักจะเป็นตก หรือ เป็นปัสสาวะเล็ดออกมามากกว่าที่จะเป็นน้ำเดิน  หรือถ้าหากเป็นมูก หรือเป็นน้ำข้นๆไม่ใช่น้ำใสๆก็ยิ่งไม่ใช่ใหญ่ 

ถ้าไม่แน่ใจ ก็ให้ใส่ผ้าอนามัยรองไว้ สังเกตุดูอีกสักแป๊บ เดี๋ยวมันก็จะชัดเอง 

 

มูกเลือด ออกทางช่องคลอด มูกที่ว่านี้ก็เกิดจากปากมดลูกมันสุกนิ่ม แล้วก็ขยายตัว พอขยายปั๊บ เนื้อของปากมดลูกมันยืดได้ดี แต่เส้นเลือดฝอยต่างๆสิมันยืดได้ไม่เท่าๆไหร่ แถมเปราะแตกง่ายเสียอีก มูกที่ออกก็เลยมักมีเลือดปนด้วย มีมูกเลือดก็ยังไม่น่าตกใจ ตำราว่าเอาไว้ว่าอาจนำหน้าการคลอดได้สูงสุดถึง 14 วันทีเดียว 

การมีมูกเลือดก็ต้องดูว่ามีอาการท้องแข็งด้วยหรือเปล่า ถ้ามีท้องแข็งถี่ร่วมด้วย แสดงว่าจะเจ็บท้องคลอดในเวลาไม่นานนี้แน่ 


คุณแม่บางคนอาจจะเจ็บท้อง ไม่มีน้ำเดิน 

คุณแม่บางคนก็อาจน้ำเดินแต่ไม่เจ็บท้องก็ได้ 

บางคนท้องแรกเจ็บท้องมา ท้องสองก็อาจไม่เจ็บท้องแต่น้ำเดินมาแทนก็ได้ 

 

อาการเหล่านี้เป็นเสมือนสัญญาณเตือนว่า…การเจ็บครรภ์คลอดกำลังเริ่มต้นแล้ว อีกไม่นานเจ้าตัวน้อยก็พร้อมที่จะออกมาให้คุณแม่ได้เชยชมแล้ว...

เมื่อคุณแม่แน่ใจแล้วว่าจะมีการคลอดเกิดขึ้นในไม่ช้าก็ไม่ควรรีรออะไรเลยนะครับ ควรรีบไปให้ถึงโรงพยาบาลในทันที ถึงโรงพยาบาลแล้วสบายใจครับ ยิ่งเดี๋ยวนี้รถติดเป็นตังเม…คุณแม่ควรเตรียมเผื่อเวลาเอาไว้ให้ดีด้วย ดีไม่ดี…เดี๋ยวจะไปไม่ถึงโรงพยาบาล

 

ตอนนี้ล่ะของจริง ..เก็บของขึ้นรถไปโรงพยาบาลได้



 

ถึงโรงพยาบาลแล้ว 

เมื่อมาถึงโรงพยาบาลแล้ว ก็จอดส่งคุณแม่ที่หน้าโรงพยาบาลนั่นเลยครับ อย่าไปจอดไกล เพราะเวลามันเจ็บท้องขาก็มักจะก้าวไม่ออกตามไปด้วย เจ้าหน้าที่จะให้คุณแม่นั่งเก้าอี้เข็นส่งตรงไปที่ห้องคลอด…แป๊ปเดียวก็ถึงห้องคลอดแล้ว  

เมื่อถึงห้องคลอด คุณพยาบาลประจำห้องก็จะให้คุณแม่เปลี่ยนเสื้อผ้ามาสวมเสื้อของทางโรงพยาบาลแทน คุณแม่ควรถอดของมีค่าต่างๆ ฝากสามี หรือญาติเก็บรักษาไว้ก่อนเข้าห้องคลอด ตอนคลอดก็ไม่ต้องใส่แหวนเพชร ใส่เครื่องประดับมากมาย เดี๋ยวไปแยงตาคุณหมอจนเสียสมาธิเปล่าๆ ที่สำคัญก็เพื่อป้องกันการสูญหายในระหว่างการคลอดนั่นเอง 

ตอนเจ็บท้องอาจอารมณ์เสียถอดแหวนปาหัวสามีก็ได้ไครจะไปรู้!! 

 

หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว ก็จะได้รับการตรวจวัดความดัน วัดชีพจร วัดอุณหภูมิร่างกาย ชั่งน้ำหนัก ตรวจร่างกาย ตรวจสุขภาพของลูกในครรภ์ อัตราการเต้นของหัวใจ ท่าการนอนของลูก ตรวจส่วนนำดูอีกครั้งว่าลูกเอาหัวลงหรือเปล่า 

 

ในระหว่างนี้คุณแม่ก็จะได้รับการทำความสะอาดอวัยวะสืบพันธ์ภายนอก ฟอกขัดถูทุกซอกทุกมุมด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อโรค ส่วนใหญ่แล้วจะโกนขนที่อวัยวะสืบพันธ์ภายนอกด้วย เพื่อความสะดวกในการทำคลอดและการเย็บแผลอีกทั้งยังทำให้สามารถดูแลทำความสะอาดได้ง่ายอีกด้วย แต่หากคุณแม่บางรายไม่อยากโกน ก็อาจจะขอคุณหมอพิจารณาเป็นรายๆก็ได้ครับ

  

เรื่องสำคัญที่ลืมไม่ได้เป็นอันขาด ก็คือ “การสวนอุจจาระ” ก่อนคลอดคุณแม่ก็ต้องสวนอุจจาระให้ถ่ายออกมาจนเกลี้ยงหมดจด เพราะตอนเบ่งคลอด คุณแม่จะรู้สึกเหมือนอยากถ่ายอุจจาระมากๆๆ 

ความรู้สึกอยากเบ่งลูกออกมา กับความรู้สึกอยากเบ่งอุจจาระ มันเหมือนกันจนแทบแยกไม่ออกจริงๆครับ เวลาเบ่งถ้าไม่สวนให้เรียบร้อยเสียก่อน ทั้งลูกทั้งอึ บางทีก็มีฉี่อีกด้วย ก็จะโผล่ออกมาพร้อมๆกัน แล้วเวลาเด็กคลอดออกมาเขาก็จะก้มหน้าลง ดังนั้นสิ่งแรกที่ลูกเกิดออกมาดูโลกได้เห็น ได้ดม บางทีก็ได้ชิมก่อนเป็นอย่างแรกก็คือ อุจจาระพระมารดา นั่นเอง … สงสารลูกจัง!



 
 

แล้วก็เป็นเพราะพระเจ้าผู้สร้างโลก ผู้สร้างมนุษย์ ได้สร้างให้คนเรามีทวารหนักอันแสนสกปรก มาอยู่ชิดติดกับช่องคลอดอันแสนจะบอบบาง แถมเวลาคลอดก็จะมีการตัดฝีเย็บไปทางทวารหนักอีก คราวนี้ถ้าคลอดลูกแล้วมีอุจจาระเลอะเทอะออกมา มันก็จะไปเลอะเข้าแผลด้วย แล้วอุจจาระก็เต็มไปด้วยเชื้อโรค พอโดนแผล แผลมันก็จะอักเสบติดเชื้อได้ง่าย

งานเข้า..ลำบากหมออีก 

การสวนอุจจาระก่อนก็ยังช่วยให้หมอรู้สึกปลอดภัย สบายใจไร้กังวลอีกด้วย เพราะตอนคลอดระหว่างที่คุณแม่กำลังเบ่งหน้าดำหน้าแดงอยู่นั้น คุณหมอก็นั่งจ้องใจจดใจจ่ออยู่ตรงกลางหว่างขาคุณแม่ ....ถ้าคุณแม่ไม่ได้สวนให้เรียบร้อย เบ่งไป เบ่งมา อาจมีลม อาจมีน้ำ ปู๊ดๆออกมาโดยไม่ตั้งใจก็ได้ มีใครที่ไหนที่โดนตดใส่หน้าจังๆแบบหมอคลอดลูกบ้างล่ะครับในโลกใบนี้ ถ้าออกมาเป็นลมก็ยังพอทำใจได้ แต่ถ้ามีน้ำผสมออกมาด้วยนี่สิ วงแตกเลย

สงสารหมอจัง



 

เห็นหรือยังว่า “สวนอุจจาระ” มันสำคัญแค่ไหน

  

รอคลอด…ใกล้แล้วนะสำหรับสมาชิกใหม่ 

หลังจากเตรียมตัว แต่งตัวกันเรียบร้อยแล้ว ก็จะพาคุณแม่มายังห้องรอคลอด ขึ้นนอนบนเตียงรอคลอดที่จัดเตรียมไว้ เตียงนี้แหละที่คุณแม่ต้องนอนกลิ้งไปกลิ้งมาตลอดช่วงระยะเจ็บครรภ์ 

ในระหว่างนี้ มดลูกก็จะมีการบีบรัดตัวเป็นระยะๆ บีบตัวแต่ละครั้ง ศีรษะของลูกก็เลื่อนต่ำลงมาเรื่อยๆ ปากมดลูกก็จะถูกถ่างขยายกว้างขึ้นเรื่อยๆ ค่อยเป็นค่อยไปช้าๆ ตามปกติแล้วปากมดลูกจะเปิดขยายกว้างขึ้นชั่วโมงละ 1 เซนติเมตรในท้องแรก และ ชั่วโมงละ 1.5 เซนติเมตรในท้องหลัง ยิ่งท้องเยอะ ปากมดลูกก็จะยิ่งเปิดเร็วขึ้น จนในที่สุดปากมดลูกก็เปิดหมด หรือ เปิดกว้าง 10 เซนติเมตร ศีรษะของเด็กก็จะผ่านปากมดลูกออกมาตุงอยู่ในช่องคลอด ตอนที่หัวเด็กมาตุงในช่องคลอด คุณแม่จะมีอาการอยากเบ่ง ความรู้สึกตอนนี้ก็จะเหมือนมีอุจจาระก้อนโตมาตุงอยู่ที่รูทวารหนัก มันปวดเหมือนอยากจะถ่ายออกมาให้ได้ ตอนนี้ล่ะที่คุณแม่ต้องแสดงฝีมือเบ่งออกมาเอง…เดี๋ยวก็ได้เจอกันแล้วสินะ


 

ระหว่างที่คุณแม่เจ็บครรภ์รอคลอด คุณหมอ คุณพยาบาล ก็จะมาตรวจครรภ์ ตรวจดูว่ามดลูกบีบตัวดีหรือไม่ หากบีบตัวไม่ดี การคลอดก็จะยืดเยื้อเนิ่นนาน ก็จะช่วยโดยให้น้ำเกลือที่มียาช่วยเร่งคลอดผสมอยู่ มดลูกก็จะบีบตัวดีขึ้น ปกติแล้วมดลูกก็ควรจะบีบรัดตัวทุก 3 นาที แต่ละครั้งประมาณ 30-45 วินาที ในระหว่างนี้ก็จะต้องดูสุขภาพของทารกในครรภ์เป็นระยะๆด้วย บางที่ก็ใช้หูฟังมาฟังหัวใจเด็กเป็นระยะๆ แต่บางที่ก็ใช้เครื่องมือฟังเสียงหัวใจเด็กอย่างต่อเนื่อง  อัตราการเต้นของหัวใจปกติก็ประมาณ140-160 ครั้งต่อนาที หากหัวใจเต้นช้าลง หรือมีการเต้นไม่สม่ำเสมอ ก็เป็นสัญญานอันตรายที่แปลว่าทารกในครรภ์เริ่มมีการขาดออกซิเจนเกิดขึ้นแล้ว ไม่ว่าจะเกิดจากสาเหตุอะไร คุณหมอก็จะตัดสินใจให้คลอดโดยเร็ว อาจใช้เครื่องดูดช่วยคลอด  ใช้คีมช่วยคลอด หรือ ผ่าตัดคลอด ก็แล้วแต่สถานการณ์ 

 

ในระหว่างรอคลอด มดลูกก็จะบีบตัวเป็นพักๆ ความเจ็บมันก็มาพร้อมๆกับการบีบตัวของมดลูกอันนี้เอง เป็นความเจ็บในตำนาน ที่ใครๆก็พูดถึง ว่ามันเจ็บจริงๆ  

 

เจ็บมาก…ทำยังไงดี ? 

ระหว่างรอคลอด มดลูกมันก็ต้องบีบตัวของมันไปเรื่อยๆตามหน้าที่ ยิ่งบีบปากมดลูกก็ยิ่งเปิด ยิ่งปากมดลูกเปิดมาก มดลูกก็ยิ่งบีบมาก ถ้ามดลูกมันบีบแล้วเฉยๆก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอกครับ แต่ปัญหาก็อยู่ตรงที่ว่า เวลามดลูกบีบตัวนั้น..มันเจ็บมากกกๆๆ แรกๆก็จะปวดท้องเหมือนปวดประจำเดือน ปวดบีบถ่วง ๆ ร้าวไปที่หลัง แต่หลังๆมันชักปวดหนักขึ้นเรื่อยๆสิ บีบแต่ละทีแทบขาดใจ แล้วจะทำอย่างไรดีล่ะ ถ้าอ่านบทที่แล้วมาแล้ว..ไม่ยากเลยไช่มั๊ยครับ? 

 

เบ่งคลอด…ช่วงเวลาสำคัญของความเป็นแม่ 

ถ้าเป็นหนัง ตอนนี้ก็เหมือนไคลแม็กซ์ของเรื่อง จะจบยังไงก็แล้วแต่ฉากนี้แหละ ฉากนี้ตอนนี้ก็เป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดในชีวิตของความเป็นแม่ เมื่อคุณแม่เจ็บครรภ์ถี่ปากมดลูกเปิดหมดเต็มที่แล้ว คุณแม่จะมีอาการปวดถ่วงลงมาที่ก้นเป็นอย่างมาก ปวดเหมือนอยากจะถ่ายอุจจาระ ปวดเหมือนกับอึก้อนโตๆจะหลุดออกมา อาการอย่างนี้แหละครับที่เขาเรียกกันว่า.... “มีลมเบ่ง” 

คุณพยาบาลจะช่วยย้ายคุณแม่จากห้องรอคลอดเข้าสู้ห้องคลอด…คราวนี้ก็ถึงตอนที่คุณแม่จะได้แสดงฝีมือกันได้เต็มที่

 

ที่จริงแล้วเวลาคลอดลูกผู้หญิงเราสามารถเบ่งกันได้หลายท่านะครับ อันนี้ก็แล้วแต่ประเทศ แล้วแต่ขนบธรรมเนียม พวกฝรั่งบางที่ก็นั่งยองๆคลอดเขาว่าแบบนี้เหมือนท่านั่งเบ่งอึ ออกง่ายที่สุด บางที่ก็นั่งคุกเข่าคลอด หมอบ้านเราสมัยก่อนก็ร่ำเรียนมาจากอเมริกาเป็นส่วนใหญ่ ที่อเมริกาอะไรก็ต้องทำให้สะดวกสบายไว้ก่อน ท่าคลอดยังให้นอนคลอดเลย บ้านเราก็เลยนอนคลอดตามไปด้วย ก็มีตำราหลายเล่มเหมือนกันนะครับที่เขียนเอาไว้ว่านอนคลอดเนี่ยจะเบ่งลำบากที่สุด แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไง ก็เพราะตอนนี้บ้านเราก็เบ่งอย่างนี้กันทั้งประเทศไปแล้ว จะไปเปลี่ยนคงลำบาก ...สรุปว่าก็นอนเบ่งตามสมัยนิยมไปก็แล้วกัน อย่าไปคิดนอกลู่นอกทางเลย!  

เตียงคลอดก็จะเหมือนเตียงขาหยั่งยังไงยั่งนั้นเลยครับ แต่เตียงจะใหญ่กว่า กว้างกว่า มีพื้นที่ให้กลิ้งไปกลิ้งมาได้มากกว่า ตอนคลอดก็จะต้องเอาขาวางพาดบนขาหยั่ง แยกขากว้างๆ ยิ่งกว้างก็ยิ่งดี ... จำไว้เลยนะครับ ยิ่งอ้ากว้างๆก็จะยิ่งคลอดง่าย ยิ่งหุบยิ่งหนีบก็จะยิ่งคลอดยาก

เวลาไปทำฟัน หมอฟันก็จะบอกเสมอๆว่า “อ้าปากกว้างๆไว้นะครับ” ..ตอนคลอดลูกหมอคลอดลูกก็จะบอกแค่ “อ้ากว้างๆเอาไว้นะครับ” แต่จะอ้าอะไรก็ละเอาไว้เข้าใจกันเองก็แล้วกัน แล้วยิ่งแยกขากว้างมากเท่าไหร่ก็ยิ่งคลอดง่ายมากขึ้นเท่านั้น คุณแม่ก็อ้าไปเลยครับ ไม่ต้องเกรงใจไม่ต้องไปสนใจใคร ในห้องก็มีแค่หมอหนึ่ง พยาบาลสาม กับคุณสามี มีกันแค่ห้าคนก็ไม่เห็นจะต้องอายใครเลย หมอคลอดลูกอาชีพเขาก็ต้องดูอยู่ทุกวันอยู่แล้ว พยาบาลก็มีของเขาเองดูอยู่ทุกวันอยู่แล้ว ส่วนสามีเราก็ดูของเรามาตั้งนานแล้ว สรุปแล้วมันก็คุ้นตาผ่านตากันมาแล้วทั้งนั้น ก็เลยไม่รู้จะอายไปทำไม ถ้าหากคุณแม่มัวแต่อาย นอนหนีบขาอยู่ตลอด ทางออกก็ยิ่งแคบ เบ่งก็ออกมายาก แถมยังทำให้คุณแม่รู้สึกเจ็บมากขึ้นด้วย 

 

คุณแม่บางคนก็คงไม่ถูกชะตากับเตียงขาหยั่ง พอเจ็บท้องทีไรก็มักจะยกขาออกจากขาหยั่งซะทุกที พอยกขาออกมาแล้วก็ไม่รู้จะเอาขาไปวางที่ไหน คุณหมอหลายๆคนก็โดนคุณแม่เอาขามาพาดคอบ่อยๆ .. เลยจำเป็นที่จะต้องใช้สายรัดรีดขาคุณแม่ไว้กับขาหยั่ง ก็ไม่ต้องตกใจนะครับ ..ก็เพื่อความปลอดภัยของคุณหมอก็เท่านั้นแหละ 

 

ถึงเวลาต้องเบ่งกันแล้ว...


การเบ่งที่ถูกวิธีต้องทำตามลำดับดังนี้ 



 

ตั้งสติรอจังหวะให้ดี พอมดลูกเริ่มมีการบีบตัวให้คุณแม่สูดลมหายใจเข้ายาวๆ ลึกๆ เข้าไปให้เต็มปอด 

ยิ่งสูดลมหายใจเข้ามากเท่าไหร่ ... ลมเบ่งก็จะยิ่งมากเท่านั้น 

ถ้าหายใจเข้าไปสั้น ... ลมเบ่งก็ยิ่งสั้นเช่นกัน

 

พอมดลูกมีการบีบตัวเต็มที่ ให้ก้มหน้าคางชิดอก เบ่งลงก้นเหมือนกำลังเบ่งถ่ายอุจจาระ เวลาเบ่งก็ให้เบ่งยาว ๆ…ยาวที่สุดเท่าที่จะยาวได้ 

เวลาเบ่งก็ให้เอามือจับยึดข้างเตียงไว้ดึงเข้าหาตัว 

ระหว่างเบ่งคุณพยาบาลก็จะคอยให้เสียงเชียร์เบ่ง อื้ด..อื้ดดดดด ยาวๆ ก็ให้เบ่งตามเสียงเชียร์เบ่งไปเรื่อยๆจนสุดเสียง หากรู้สึกหมดลมเบ่งก่อนแต่มดลูกยังคงแข็งตัวอยู่ก็ให้หยุดพักหายใจแป๊บนึง…แล้วสูดลมหายใจเข้าไปใหม่ยาวๆเร็วๆ แล้วเบ่งต่อ…จนมดลูกคลายตัว

 

ในขณะที่เบ่งคุณแม่ต้องหุบปากให้สนิทอย่าให้มีเสียงเล็ดลอดออกมาทางปากได้เป็นอันขาด หากเบ่งไปอ้าปากร้องไป ลมเบ่งก็จะหายไป 

คนเราไม่มีทางที่จะเบ่งไปร้องไปได้ ตอนเบ่งต้องไม่ร้อง ตอนร้องก็จะไม่มีลมเบ่ง ...ไม่เชื่อลองดูได้

 

เมื่อมดลูกคลายตัวแล้วคุณแม่ควรหายใจยาวๆ ผ่อนคลายให้สบาย พยายามเก็บสะสมพลังงานเอาไว้สำหรับการเบ่งครั้งต่อไป 


ท่าดีก็มีชัยไปกว่าครึ่ง ...ในขณะที่เบ่ง คุณแม่ก็ควรแยกขาออกให้กว้างมากที่สุด ตั้งตัวให้ตรงอย่าบิดไปบิดมา ช้อนก้นขึ้นเล็กน้อยเพื่อที่กระดูกหัวหน่าวจะได้ยกขึ้นพ้นจากแนวการเคลื่อนตัวของหัวลูก

 

ที่สำคัญในระหว่างการคลอดคุณแม่ต้องตั้งสติให้ดี ตั้งใจในการเบ่ง ทำตัวให้สงบไว้ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเจ็บแค่ไหน เพราะคุณแม่เป็นคนที่สำคัญที่สุดในการออกแรงเบ่งลูกให้คลอดออกมา ไม่มีใครจะสามารถไปเบ่งแทนคุณแม่ได้ คุณแม่บางคนพอเจ็บแล้วก็อาจมีอาการหลุดโลก ขาดสติ เอะอะโวยวาย ดิ้นไปดิ้นมา 

แทนที่จะคลอดกันง่ายๆ  ก็กลับการเป็นเรื่องคลอดยากไปซะงั้น




เมื่อเบ่งจนหัวของลูกโผล่พ้นออกมาแล้ว ให้หยุดเบ่งทันที หายใจยาวๆ เจ็บแค่ไหนอยากเบ่งออกมาแค่ไหนก็ต้องอั้นไว้ก่อน ช่วงเวลานี้เขาก็เรียกว่าช่วง "ไล่น้ำ" 

ตอนที่ลูกอยู่ในท้อง ในปาก ในจมูก ในหลอดลม ในปอดของเด็กก็จะมีน้ำคร่ำอยู่เต็มไปหมด ช่วงที่หัวเด็กโผล่ออกมา ช่องคลอดอันทรงพลังของคุณแม่ก็จะบีบรัดอยู่ทีทรวงอกของเด็ก น้ำในปอด ในหลอดลม ในคอ ก็จะทะลักออกมา หมอก็จะเอาลูกยางแดงดูดน้ำเหล่านี้ออกให้หมด พอทางเดินหายใจโล่งสะดวกดีแล้วก็จะให้คุณแม่เบ่งอีกที คุณหมอก็จะคลอดลำตัวทั้งหมดออกมา พอลำตัวโผล่พ้นออกมา ปอดก็ขยายตัวขึ้น ดูดเอาอากาศเข้าไปแทนที่ นั่นก็คือ ลมหายใจครั้งแรกของชีวิต 

ปอดจะขยายตัวเต็มที่เมื่อลูกแหกปากร้องได้ 5 ครั้ง

 

นับจากวินาทีนี้เองที่ความเป็นแม่ได้เริ่มต้น ...

เมื่อได้ยินเสียงลูกร้องเป็นครั้งแรก ...

สีหน้าของคุณแม่ทุกคนก็เปี่ยมล้นไปด้วยความดีใจ สุขใจ ภูมิใจในสิ่งที่เราได้สร้างออกมาด้วยตัวเอง หลายคนอาจจะร้องไห้น้ำตาไหลพราก ก็ร้องไปเถอะครับไม่ต้องอาย…ทุกคนต่างก็รับรู้ถึงความดีใจที่คุณแม่ได้กลั่นออกมาเป็นหยดน้ำตานี้ 

ระหว่างนี้คุณหมอก็สาละวนอยู่กับการผูกสายสะดือ ตัดสายสะดือ 

 


ส่วนลูกหลังจากตัดสายสะดือแล้วก็จะส่งต่อให้กุมารแพทย์เป็นผู้ดูแลต่อไป 

กุมารแพทย์ก็จะดูดน้ำคร่ำ น้ำเมือกออกจากปากจากคอให้หมดอีกที 

ตรวจร่างกายหาสิ่งผิดปกติเบื้องต้น 

เช็ดตัวให้แห้งเดี๋ยวเด็กจะหนาว ห่อตัวเด็กให้เรียบร้อย แล้วก็นำมาให้แม่ได้ชื่นใจอีกที 

 

ระหว่างนี้คุณหมอก็จะทำคลอดรก อาจจะรู้สึกอึดอัดบ้างตอนที่คุณหมอกดที่ท้องน้อยเพื่อให้รกลอกตัว เมื่อรกคลอดแล้วคุณหมอก็จะเย็บแผลให้เข้าที่เหมือนเดิม เดี๋ยวนี้ส่วนใหญ่ก็จะเย็บแผลด้วยไหมละลายซึ่งจะดีที่ว่าไม่ต้องเสี่ยเวลากลับมาให้คุณหมอตัดไหมอีกที

 

 

ปัญหาที่พบบ่อยๆในการเบ่งคลอด

 

เบ่งเร็วไป คุณแม่บางคนปากมดลูกยังเปิดไม่หมดเลยก็เกิดอาการอยากเบ่งซะแล้ว ถ้าคุณแม่เบ่งตอนที่ปากมดลูกยังเปิกไม่หมด ก็จะมีผลทำให้ปากมดลูกบวมได้ ยิ่งคลอดลำบากไปกันใหญ่ คุณแม่หลายคนก็เบ่งกันตั้งแต่หัวลูกยังลงมาไม่สุดเลย ปกติแล้วก็จะให้เริ่มเบ่งเมื่อเห็นหัวลูกอยู่ในระดับเดียวกับปากช่องคลอดพอดี ถ้าหัวลงมาถึงตรงนี้ เบ่งสองสามทีก็ออกแล้ว ถ้าหัวยิ่งอยู่สูงมากเท่าไหร่ก็ยิ่งต้องออกแรงเบ่งมากเท่านั้น แล้วการเบ่งนี่มันก็เหนื่อยจริงๆนะ ปกติแล้วคุณแม่ก็จะเบ่งได้แค่ 6-7 ทีเท่านั้น เกินกว่านี้ก็จะหมดแรง หรือที่เรียกกันว่า หมดลมเบ่งนั่นเอง 

 

เบ่งขึ้นหน้า ปกติเวลาเบ่งก็จะให้ก้มหน้าคางชิดอกเบ่งลงก้น แรงเบ่งก็จะรวมพลังกันออกไปทางก้น แต่คุณแม่บางคนเวลาเบ่งดันแหงนหน้าขึ้นบนซะนี่ แรงเบ่งก็ขึ้นหน้า เบ่งจนหน้าแดงก่ำ บางคนก็ถึงกับมีเส้นเลือดแตกที่เยื่อบุตาขาวก็มี เบ่งแบบนี้ก็ออกยากเหมือนกัน 

 

เบ่งสั้นเกินไป คุณแม่ที่เบ่งไม่เป็นจะเบ่งสั้น ๆหยุด สั้นๆหยุด อื้ด..อื้ด..เบ่ง ๆ หยุด ๆ เป็นช่วง ๆ พอออกแรงเบ่งหัวเด็กก็ถูกดันออกมาที พอหยุดก็ถอยกลับไปที่เดิม ผลุบ ๆ โผล่ ๆ อยู่ไม่ออกซะที…อย่างนี้เหนื่อยเปล่า พยายามเบ่งยาวๆ เบ่งตามเสียงเชียร์เบ่ง เบ่งดีๆไม่กี่ทีก็ออกแล้ว

 

เบ่งบิดไปบิดมา ยิ่งทางออกตรงมากเท่าไหร่ก็จะยิ่งคลอดง่ายเท่านั้น แต่ถ้าคุณแม่เกิดเจ็บมากจนเสียจริต บิดไปบิดมา ช่องทางที่ลูกต้องคลอดผ่านออกมาก็เบี้ยวเอียงไปเอียงมา แทนที่จะง่ายก็กลับยากไปเลยก็ได้

 

 

เมื่อการคลอดมีปัญหา 

สำหรับคุณแม่บางคนซึ่งในระหว่างการคลอดอาจพบมีภาวะผิดปกติ เช่น ทารกอาจมีภาวะขาดออกซิเจน หัวใจเต้นช้าลงกว่าปกติอันจะเกิดอันตรายได้ หรือคุณแม่ได้ออกแรงเบ่งมานานแสนนานแล้วก็ยังไม่ออกสักที ในกรณีนี้คุณหมออาจจะช่วยอีกแรงโดยใช้เครื่องดูดสูญญากาศ หรือใช้คีมช่วยคลอด ซึ่งก็จะช่วยให้คลอดได้เร็วขึ้น ทั้งนี้ก็ต้องอยู่ในดุลยพินิจของแพทย์

 

แต่ในบางกรณี เช่น รกเกาะต่ำ มีเลือดออกมามาก เชิงกรานของคุณแม่มีขนาดเล็กเกินไป หรือเจ้าตัวน้อยมีขนาดใหญ่ไปจนออกไม่ได้ ปากมดลูกไม่ขยายกว่างขึ้นมากกว่าเดิมเมื่อถึงตอนนี้คุณหมอก็อาจแนะนำให้ทำการผ่าตัดคลอดทางหน้าท้อง…โดยเฉลี่ยแล้ว คุณแม่ที่ตั้งใจจะคลอดเอง แต่สุดท้ายก็คลอดไม่สำเร็จ ต้องผ่าตัดคลอดก็จะมีราว 10-20% เรียกง่ายๆว่า “เจ็บสองต่อ” แต่ที่จริงแล้วประสบการณ์อย่างนี้หาได้ยากมากเลย ในท้องท้องเดียวกันทั้งเบ่งทั้งผ่าทูอินวัน ..ถือว่าเป็นกำไรชีวิตก็แล้วกัน

 

หนทางอีกยาวไกล 

วันคลอดของแม่ หรือ วันเกิดของลูก นับเป็นวันที่สำคัญที่สุดของทั้งแม่และลูก 

เป็นวันที่คุณแม่ได้ทำหน้าที่อย่างแรกที่สุดของการเป็นแม่ 

เป็นจุดเริ่มต้นของการเป็นแม่ หนทางของความเป็นแม่ยังอีกยาวไกลนัก 

เมื่อกลับมามองย้อนถึงวันนี้ วันที่ได้คลอดลูกให้กำเนิดเขาออกมา น้ำตาของความเป็นแม่อาจจะไหลรินออกมาอีกครั้งก็ได้…(โอยๆๆๆโคตรเจ็บ..จำได้แล้ว)

ความคิดเห็น