เตรียมพร้อมรับมือกับการเจ็บท้องคลอด
ธรรมชาติเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่ไม่รู้ว่าใครเป็นคนกำหนด ใครเป็นคนสร้าง ที่ทำให้คุณแม่ต้องมีอาการท้องแข็งบ่อยๆก่อน มีอาการเจ็บเตือนก่อน ยิ่งท้องแก่... ก็ยิ่งมีอาการเจ็บเตือนถี่ขึ้น
การที่ให้รู้สึกรับรู้การบีบตัว ให้รับรู้ความรู้สึกเจ็บจากการบีบ ค่อยๆให้เรียนรู้ถึงความเจ็บปวดทีละนิดทีละหน่อย เหมือนเป็นการซ้อมมือ เหมือนเป็นการpreview ให้คุณแม่ได้ฝึกความอดทน เตรียมพร้อมกับการรับมือการเจ็บท้องคลอดที่กำลังจะมาถึง
คุณแม่ที่คลอดเองทุกคนต้องผ่านการเจ็บครรภ์นี้ไปให้ได้นะครับ
นี่ถ้าคนเราไม่มีอาการเจ็บเตือนมาก่อน มดลูกไม่เคยบีบตัวมาก่อนเลย ถึงเวลาจะคลอดอยู่ๆก็เกิดอาการเจ็บท้องคลอดบัดเดี๋ยวนั้นเลย คุณแม่คงจะตั้งตัวไม่ทัน คงจะรู้สึกเจ็บท้องคลอดมากมายกว่าปกติ คงทุรนทุรายจากความเจ็บปวดมากกว่านี้ ....
ดังนั้น เจ็บเตือน ก็คือสิ่งที่ธรรมชาติเตือนคุณแม่แล้ว....เรียนรู้จากความรู้สึกนี้ไว้ ก่อนเจอของจริง
ทำไมต้องเจ็บท้องคลอด
ที่จริงธรรมชาติก็ไม่น่าจะโหดกับว่าที่คุณแม่อย่างนั้น ถ้าคนเราคลอดลูกง่ายๆ เบ่งออกมาง่ายๆเหมือนผายลมก็คงจะดี...555
แต่ธรรมชาติที่สร้างเรามาคิดลึกซึ้งกว่านั้น เพราะคนเรากลัวความเจ็บปวด และความเจ็บปวดก็ทำให้คนเราจดจำ ตรงนี้แหละที่ทำให้คนเราต้องเจ็บปวดในยามคลอดลูก ความเจ็บปวดที่ทำให้คุณแม่ต้องคิดแล้วคิดอีกหากจะต้องตั้งครรภ์อีกครั้ง หากไม่มีความเจ็บปวดคนเราก็คงไม่เข็ด ป่านนี้คนเราก็คงเกิดมาล้นโลกแล้วล่ะครับ
ความเจ็บปวดนี่แหละที่เป็นตัวคุมกำเนิดที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด มากกว่าวิธีใดๆ ที่มีอยู่ในโลกนี้
แล้วของอะไรที่ได้มาง่ายๆ ก็มักดูเหมือนของไม่มีค่า อะไรที่ยิ่งได้มายากมันก็ย่อมมีค่ามากกว่า หากยากด้วย แถมเจ็บด้วยอีกต่างหาก มันก็ยิ่งรู้สึกว่าของนั้นๆเป็นของสำคัญอย่างหนึ่งในชีวิตเลยทีเดียว นอกจากนี้ความเจ็บปวดยังเป็นตัวสำคัญที่ช่วยจุดประกายความรัก ความหวง ความห่วง ... เป็นตัวสร้างสายสัมพันธ์แม่ลูกที่เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติอีกด้วย
ในทางการแพทย์ความเจ็บปวดจากการคลอดมาจากสองส่วนสำคัญ ส่วนแรกจากการบีบรัดตัวของมดลูก ก็คล้ายๆกับที่เราปวดประจำเดือนนั่นล่ะ แต่ตอนที่ปวดประจำเดือนมดลูกเรามีขนาดเท่าไข่ไก่เท่านั้น แต่ตอนเจ็บท้องคลอดมดลูกมันใหญ่กว่าแตงโมอีก ความปวดก็เลยมากกว่าไม่รู้กี่เท่า เมื่อมดลูกมีการบีบรัดตัว กล้ามเนื้อของมดลูกก็จะหดรัดจนเกร็งแข็ง ทำให้เลือดไหลเข้าไปหล่อเลี้ยงกล้ามเนื้อของมดลูกได้น้อยลง เยื่อบุช่องท้องรอบๆ มดลูกก็ถูกรั้งตึงจากการบีบ หลายๆองค์ประกอบรวมกันทำให้มีความเจ็บปวดทุกครั้งที่มดลูกบีบตัว
ส่วนที่สองที่ทำให้เกิดความเจ็บปวดก็มาจากความไม่พอดีของเด็กกับช่องทางที่เด็กจะคลอดผ่านออกมา ก็ธรรมชาติเล่นให้เด็กทั้งคนคลอดผ่านทางช่องทางเล็กนิ๊ดเดียวนี่ ทำให้คุณแม่รู้สึกทั้งตึง ทั้งคับ บางคนบอกเหมือนตัวจะแยกออกจากกัน
แต่ก็ยังใจดีนะที่ให้คนเราใช้เวลาในการคลอดนานหน่อย พอมดลูกบีบตัว เด็กจะถูกบีบดันลงมา หัวของเด็กก็จะไปกดถ่างขยายปากมดลูก ขยายช่องทางคลอดไปเรื่อยๆ ค่อยเป็นค่อยไป จึงต้องใช้เวลาคลอด 6-8 ชั่วโมงกว่าที่ปากมดลูกจะขยายพอที่จะคลอดออกมาได้ นี่ถ้าเจ็บท้องปุ๊บ แล้วเบ่งออกมาปั๊บทันทีโดยที่ช่องทางคลอดไม่ได้มีการยืดขยายตัวเสียก่อน รับรองช่องคลอดระเบิดพังเสียหายยับเยินป่นปี้เป็นปากแตรแน่เลยครับ ดังนั้นหากคุณแม่ใช้เวลาในการคลอดค่อนข้างนานก็ไม่ต้องเสียอกเสียใจ ของของเราอาจจะเล็กไปหน่อยเท่านั้นเอง
แล้วผู้หญิงแต่ละคนก็มีควาอดทนต่อความเจ็บปวดไม่เท่ากันด้วย คุณแม่ที่ทำงานหนัก ค้าขาย ขายข้าวเหนียว ส้มตำไก่ย่าง ขายข้าวมันไก่ ขายอุปกรณ์ก่อสร้าง ขายอิฐขายปูน คุณแม่ประเภทนี้ก็ต้องทำงานหนัก คุณแม่ประเภทนี้ก็จะมีแรงอึดเยอะ แรงเบ่งก็เยอะ แถมยังทนทานต่อความเจ็บปวดได้ดีอีกด้วย แต่ถ้าคุณแม่หน้าตาขาวผ่อง เอวบางร่างน้อย ทำงานนั่งโต๊ะ เป็นสาวออฟฟิส เป็นครู เป็นแอร์โฮสเตส เป็นพยาบาล ยิ่งเป็นหมอยิ่งแย่สุดครับ พวกนี้มักจะไม่อึดสักเท่าไหร่ ทนเจ็บก็ไม่เก่ง เบ่งก็ไม่เก่งอีกด้วย โดยเฉพาะคุณแม่ที่เป็นหมอมาคลอดลูกนี่แหละที่ความอดทนต่ำสุด
เตรียมกายเตรียมใจลดความเจ็บ
ไหนๆเราก็หลีกเลี่ยงการคลอดลูกไปไม่ได้อยู่แล้ว แล้วเราก็รู้อยู่แล้วว่าการคลอดลูกก็ไม่ได้เจ็บนิดเจ็บหน่อยซะเมื่อไหร่ ดังนั้นการปล่อยเวลาให้ผ่านไป ให้การคลอดใกล้เข้ามาโดยไม่ทำอะไรเลยก็คงจะไม่ดีแน่ ..การเตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อมก่อนการคลอดก็จะช่วยให้เราเผชิญหน้ากับการเจ็บครรภ์อันน่าหฤหรรษ์นี้ไปได้ไม่ยาก แต่ก่อนอื่นก็คงต้องเตรียมใจก่อน ใจนี่แหละสำคัญที่สุด การคลอดลูกเป็นเรื่องธรรมชาติ ผู้หญิงทั้งโลกก็ต้องมีภาระหน้าที่ในการคลอดลูกแทบทุกคน แล้วทุกคนก็สามารถผ่านพ้นไปได้ด้วยดี มีส่วนน้อยมากที่อาจจะมีปัญหาบ้าง แต่ถ้าอยู่ในความดูแลของหมอก็ไม่มีอะไรเหลือบ่ากว่าแรง ดังนั้นคุณแม่ต้องเตรียมตัวเตรียมใจในการฝ่าฟันการคลอดไปด้วยความเชื่อมั่น ตั้งความหวังว่าเราจะทำให้ดีที่สุด เพื่อจะได้พบหน้าลูกซึ่งเรารอคอยมาตั้ง 9 เดือน
ถ้าเราคิดว่าการคลอดก็คือการที่เราจะได้ให้ลูกออกมาอยู่ข้างนอก ให้ลูกออกมาอยู่ในอ้อมอก เราก็จะรู้สึกมีความสุข คิดถึงความสุข คิดถึงสิ่งดีดีที่จะมาถึง อย่าไปนึกถึงแต่ว่าต้องไปเผชิญกับความเจ็บปวดเพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมง มันก็แค่เสี้ยวเล็กๆเสี้ยวหนึ่งในชีวิตเท่านั้นเอง
มีครั้งนึงเคยได้มีโอกาสไปอบรมการสร้างกำลังใจให้กับตัวเอง ของ แอนโทนี่ รอบบิน ที่สิงคโปร์ อบรมวันแรกหนักมาก ตั้งแต่เก้าโมงเช้าถึงตีหนึ่ง ตอนค่ำๆเขาก็จุดกองไฟลุกโชนดูน่ากลัว พอดึกๆหน่อยมันก็เป็นกองถ่านแดงคุกรุ่น ยาวประมาณ 6 เมตร แล้วเขาก็ให้เราเดินลุยกองไฟ ตอนแรกก็กลัวๆกล้าๆ ไม่แน่ใจว่าเราจะทำได้หรือเปล่า แต่จะถอยก็กลัวเสียหน้า สาวๆสิงคโปร์ข้างหน้าเขาเดินลุยกันหน้าตาเฉย เขาบอกว่า “ให้คิดเสมอว่าเราทำได้” --- “ก้าวแรกคือก้าวที่สำคัญที่สุด” --- “อย่ามองอุปสรรคระหว่างทาง” --- “ยึดมั่นกับชัยชนะที่ปลายทาง” โอ้โห! แค่เดินลุยไฟ มันได้ข้อคิดตั้งหลายอย่าง ตอนเดินลุยไฟ มองให้รู้ว่ามันคือไฟจริงๆ แต่พอก้าวขาไปแล้วอย่าไปสนใจไฟ มองตรงไปที่ปลายทางข้างหน้าเสมอ พอข้ามไปได้แล้ว คนในสเตเดี่ยมเป็นหมื่นคนก็จะตบมือโห่ร้องให้เรา เขาบอกให้เราหลับตา ชูกำปั้นทั้งสองข้างขึ้นบนท้องฟ้า ทำท่าให้เหมือนตอนร๊อกกี้ชกมวยชนะ ฟังเสียงตบมือโห่ร้องรอบตัวเรา ซึมซับความรู้สึกจดจำมันไว้ให้นานเท่านาน
คุณแม่เมื่อเข้าสู่ระยะคลอดก็คงรู้สึกกลัวๆกล้าๆไม่แตกต่างกันนักหรอกครับ อย่างแรกก็ต้องให้กำลังใจตัวเองก่อน “ให้คิดเสมอว่าเราทำได้” ถึงแม้จะเจ็บท้องในระหว่างการคลอด ก็คิดแต่เพียงว่านี่แหละความเจ็บปวดเพื่อทดสอบความอดทนของการเป็นแม่ ความเจ็บปวดก็เพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมงนี้เองเท่านั้น แล้วมันก็ผ่านไป “อย่าไปสนใจความเจ็บปวดระว่างทาง” สุดท้ายเมื่อการคลอดสิ้นสุด ...ลูกที่เราดูแลฟูมฟัก ก็ออกมาให้เราได้กอดได้หอมได้ให้แม่ได้ดีใจ ..คุณแม่ลองหลับตานึกถึงความสุข ความภูมิใจที่ได้คลอดลูกออกมาสิครับ มันเหมือนเป็นชัยชนะครั้งสำคัญ ครั้งหนึ่งในชีวิตทีเดียว
ถ้าตอนลุยไฟเรามัวแต่มองพื้น มองไฟ เราก็จะรู้สึกร้อน รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาทันที ตอนคลอดลูกก็เหมือนกันครับ ถ้าเรามัวนึกถึงแต่ความเจ็บปวด เราก็จะได้ความกลัวเป็นสิ่งตอบแทน ความกลัวนี่เองแหละครับที่จะยิ่งทำให้เราต้องเจ็บปวดมากขึ้น ความกลัวทำให้กล้ามเนื้อส่วนต่างๆ รวมทั้งกล้ามเนื้อในอุ้งเชิงกรานเขม็งเกร็งขึ้นมากกว่าปกติ ยิ่งเจ็บมากก็ยิ่งเกร็งมาก กล้ามเนื้อยิ่งเกร็งลูกในท้องก็ผ่านออกมาได้ยากขึ้น ก็เลยต้องเจ็บมากขึ้น ยิ่งเจ็บจะยิ่งทำให้กลัว—ยิ่งกลัวก็ยิ่งเกร็ง-- ยิ่งเกร็งก็ยิ่งเจ็บ เป็นวงจรไม่รู้จบ ถ้าคุณแม่เตรียมพร้อม เตรียมตัวเตรียมใจไว้ดี ได้ฝึกการหายใจ ฝึกการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้อก็ไม่เกร็ง เวลาคลอดก็สบายมากขึ้น แล้วก็เจ็บน้อยลง
วิธีที่ทำให้คลอดแล้วเจ็บน้อยลงมีหลายรูปแบบ หลายวิธี แต่ก็มีสองกลุ่มใหญ่ๆ อย่างแรกก็คือการช่วยตัวเอง อีกอย่างก็ต้องให้คุณหมอช่วย ..เอาแบบไหนดีล่ะ
ลดปวด ด้วยตัวเอง
การลดความเจ็บปวดด้วยตัวเอง ต้องอาศัยความมุ่งมั่นความเข้มแข็งของคุณแม่เป็นอย่างมาก เป็นการลดความเจ็บปวดโดยตัวเองล้วนๆ ไม่ได้ใช้ยา ไม่ได้ฉีดยาช่วยใดๆ ทั้งสิ้น หรือบางทีก็เรียกกันว่า "คลอดสดๆ" ดูชื่อมันน่ากลัวนะแต่ก็ภูมิใจที่ได้คลอดลูก เบ่งออกมาได้ด้วยตัวเอง วิธีแบบนี้พวกฝรั่งนิยมกันมาก โดยเฉพาะพวกสแกนดิเนเวีย ซึ่งอะไรก็เอาแบบธรรมชาติไว้ก่อน คุณแม่ชาวสแกนดิเนเวียนก็มักจะมีการฝึกเกี่ยวกับการคลอดอย่างเข้มข้น ไม่ใช่ฝึกกันแค่วันสองวัน แต่เขาฝึกกันทุกวัน เป็นเดือนๆ เพื่อการคลอดเพียงแค่วันเดียว เวลาคลอด น้ำเกลือก็ไม่ต้องให้ ยาแก้ปวดก็ไม่เอา ตอนคลอดก็นั่งยองๆคลอดแบบถ่ายอุจจาระแบบนั้นเลย ไม่ได้นอนคลอดแบบสบายๆอย่างเรา ...อย่างนี้ก็เรียกว่า คลอดธรรมชาติแท้ๆ ตัวจริงเสียงจริง!!
แต่ถ้าคุณแม่แบบไทยๆ ความมุ่งมั่นตั้งใจในการคลอดแบบนี้จะสู้เขาไม่ได้หรอกครับ ไม่ว่าตั้งใจยังไง พอถึงเวลาเจ็บขึ้นมา ใจก็ไม่สู้เท่าเขา! เคยเปิดการอบรมคุณแม่เพื่อเตรียมการคลอด เชิญวิทยากรเรื่องการฝึกหายใจมือหนึ่งมาสอน สอนแทบเป็นแทบตาย พอถึงเวลาคลอดที่ฝึกมาก็ลืมไปหมด ทำจริงๆไม่ได้สักที แล้วแบบไทยๆเราถ้าคลอดลูกแล้วเจ็บ แสดงว่าหมอไม่ได้เรื่อง แถมเจ็บหน่อยนึงแล้วหมอบอกให้อดทนอีกนิดนึง ญาติๆก็จะมาโวยเลยว่า จะปล่อยให้เจ็บให้ตายหรือไง??แต่ที่จริงแล้วคนไทยเราน่าจะอึด น่าจะอดทนกว่าเขา...แต่ในเรื่องของความตั้งใจแน่วแน่อาจจะสู้เขาไม่ได้
แต่ถ้าคุณแม่มีความตั้งใจ มีความแน่วแน่ ว่าอยากคลอดเอง คลอดแบบธรรมชาติ อยากได้ความรู้สึกของการคลอดลูกแท้ๆแบบดั้งเดิม เป็นความภาคภูมิใจส่วนตัว ก็ลองศึกษาหลักการดู ฝึกฝน ปฎิบัติ หาคนที่คอยดูแล คอยให้กำลังใจ เพื่อไม่ให้เรายอมแพ้มันง่ายๆ บอกญาติพี่น้องทุกคนว่าเราตั้งใจจะคลอดธรรมชาติอย่างนี้จริงๆ แล้วอย่าลืมบอกคุณหมอด้วยว่า คุณแม่ตั้งใจคลอดธรรมชาติจริงๆ ไม่เอายาแก้ปวด ไม่เอาบล๊อคหลัง....แล้วคุณหมออย่าใจอ่อนเป็นอันขาดเชียว
การลดความเจ็บปวดด้วยตัวเองหลักของมันก็คือ ต้องผ่อนคลาย อย่าเกร็ง พยายามเบี่ยงเบนความสนใจ อย่าไปนึกถึงแต่ความเจ็บปวด มีสิ่งดีๆที่ต้องคิดถึงอีกเยอะ คิดถึงแค่ “อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา” ความเจ็บไม่มีตัวไม่มีตน มีอยู่ แล้วก็แตกดับหายไป สิ่งที่มีอยู่คือ ตัวเรา คือลูกเรา กำหนดจิตที่ลมหายใจ พอเจ็บก็ให้ท่อง พุทโธ..พุทโธ....พุทโธ ไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็หายเจ็บเอง
แต่เดี๋ยวนี้วิธีการลดความเจ็บปวดด้วยตัวเองได้พัฒนาเป็นเรื่องเป็นราวขึ้น มีทั้งวิธีของ “ลามาส” ทั้ง “แอ็กทีฟเบิร์ท” ที่ใช้กันบ่อยๆ ซึ่งก็ใช้หลักกำหนดการหายใจเพื่อทำให้มีสมาธิช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย ช่วยเบี่ยงเบนความสนใจ จริงๆแล้วความเจ็บอาจเท่าเดิม แต่ก็อย่าไปสนใจมันเท่านั้นแหละครับ แต่ที่สำคัญคือคุณแม่ควรฝึกการหายใจให้พร้อม ให้ชำนาญตั้งแต่ก่อนครบกำหนดคลอด มาฝึกวันสองวันแล้วมาคลอดมักจะไม่ค่อยได้เรื่องอะไร
การฝึกหายใจเตรียมพร้อมการคลอด
ในช่วงที่เริ่มเจ็บครรภ์น้อยๆเมื่อมดลูกเริ่มบีบตัว ให้หายใจลึกๆ แล้วหายใจออกหมดล้างปอด 1 ครั้งต่อจากนั้นหายใจเข้าช้าๆ ลึกๆ ทางจมูก นับ 1-2-3 ในใจ แล้วหายใจออกทางปากช้าๆนับจังหวะ 1-2-3 ในใจ หายใจแบบนี้ในจังหวะ 6-9 ครั้งต่อนาที พอมดลูกคลายตัวเต็มที่ก็ให้หายใจล้างปอด 1 ที
· ช่วงเจ็บครรภ์ถี่ มดลูกจะบีบตัวแรงขึ้นถี่ขึ้นก็แปลว่าต้องเจ็บมากขึ้นด้วย พอเริ่มเจ็บก็ให้หายใจเข้าลึก แล้วหายใจออกหมดล้างปอด 1 ครั้งต่อมาให้หายใจเข้าช้าๆ ลึกๆ
· พอมดลูกบีบตัวเต็มที่เจ็บมากขึ้นให้หายใจเข้าออกตื้นๆเร็วๆเบาๆ พอมดลูกเริ่มคลายตัวก็กลับไปหายใจช้าๆลึกๆเหมือนเดิม พอมดลูกคลายตัวเต็มที่ก็หายใจลึกล้างปอดอีก 1 ครั้ง
· ช่วงปากมดลูกเปิดเกือบหมด ตอนนี้เองที่ทั้งเจ็บท้องทั้งปวดถ่วงลงล่าง สุดฤทธิ์สุดเดชก็ตอนนี้แหละ เมื่อมดลูกเริ่มมีการบีบตัวก็ให้เริ่มด้วยการหายใจล้างปอด 1 ครั้ง แล้วหายใจตื้นๆ เร็วๆ เบาๆ ติดกัน 3-4 ครั้งแล้วเป่าลมออกทางปากยาวๆทำท่าคล้ายเป่าเทียน ทำอย่างนี้ตลอดจนมดลูกคลายตัว พอมดลูกคลายตัวเต็มที่ก็หายใจล้างปอด 1 ครั้ง
· ระยะเบ่งคลอด ตอนนี้จะรู้สึกเหมือนมีลมเบ่ง เมื่อมดลูกเริ่มบีบตัวให้หายใจล้างปอด 1 ครั้ง แล้วหายใจเข้าทางจมูกลึกๆ 2-3 ครั้งแล้วหายใจลึกเต็มที่ กลั้นลงหายใจไว้ แล้วก้มหน้าคางชิดอกพร้อมกับเบ่งส่งลมลงไปทางช่องคลอด เบ่งยาวๆต่อเนื่องจนสุดลมเบ่ง พอมดลูกคลายตัวก็ให้หายใจล้างปอดอีก 1 ครั้ง เบ่งไปแบบนี้จนคลอด
พอคลอดออกมาปุ๊บ มันเหมือนความเจ็บปวดจะหายไปเป็นปลิดทิ้งถ้านึกไม่ออกว่าคลอดเสร็จแล้วจะรู้สึกอย่างไร...วันนี้พอปวดท้องถ่ายก็ให้อั้นไว้ก่อน อั้นไว้เรื่อยๆจนปวดมากทนไม่ไหวถึงตอนนั้นแหละก็รีบเข้าไปถ่ายให้เกลี้ยง พอถ่ายสุดแล้วมันโล่งสบายท้องไปหมด...นี่แหละครับความรู้สึกที่ใกล้เคียงกับอาการสบายท้องหลังคลอดที่ผู้ชายอย่างผมสามารถทดลองได้..สบายท้องจริงๆน่า บอกก่อน
คุณหมอช่วย...ลดปวด
ผู้หญิงบ้านเราหากคลอดลูกแล้วเจ็บมากมักจะโยนความผิดไว้กับหมอก่อนทุกที ถ้าคลอดแล้วเจ็บแสดงว่าหมอไม่เก่งบ้างล่ะ มือหนักบ้างล่ะ คนไหนคลอดลูกแล้วไม่เจ็บนั่นแหละถึงจะถือว่าเก่ง สุดท้ายคุณหมอก็เลยต้องพยายามทำให้คุณแม่เจ็บน้อยที่สุด กลัวโดนเอาไปบ่นทีหลัง ถ้าเป็นอย่างนี้คงจะปล่อยให้คุณแม่นอนสวดพุทธโธ พุทธถังหรือให้เป่าลมไปเรื่อยๆ เห็นจะไม่เป็นผล ก็เลยต้องใช้ยาแก้ปวด หรือ ใช้วิธีการอื่นช่วย ยาแก้ปวดที่ใช้ก็เป็นยาคล้ายๆกับยานอนหลับที่ชื่อว่า "เพทติดีน"(Pethidine) ใช้ฉีดเข้ากล้ามหรือฉีดเข้าเส้น พอฉีดปั๊บถ้าลืมตาอยู่จะรู้สึกเหมือนทีวีภาพล้ม ของรอบๆตัวดูเหมือนจะโคลงเคลงแกว่งไปแกว่งมา แล้วก็จะเวียนหัวหลับไปเองในที่สุด บางคนอาจรู้สึกเหมือนตกจากที่สูง วูบๆยังไงบอกไม่ถูก สุดท้ายก็หลับเหมือนกัน
การหลับนี่แหละเป็นยาแก้ปวดที่ดีที่สุด เพราะตอนหลับเราจะไม่รู้สึกเจ็บปวดอะไร หลับสบาย แต่ยานี้ก็อาจกดความปวดไม่ได้ทั้งหมด บางคนอาจจะไม่หลับ มีอาการเบลอๆเหมือนเมาเหล้า บางคนก็ควบคุมจริตของตัวเองไม่ได้ มีการแสดงออกของจิตใต้สำนึก ก็คือ เจ็บแล้วโวยวายหลุกโลกไปเลยก็มี
ยาแก้ปวดแบบฉีดนี้มีผลต่อลูกที่จะคลอดพอสมควร พอฉีดแล้วแม่หลับสบาย ลูกก็เลยถือโอกาสหลับด้วยเพราะยาสามารถผ่านรกไปสู่เด็กได้ จะมีผลต่อเด็กมากที่สุดที่ประมาณ 1 ชั่วโมงหลังฉีดยาที่แม่ หลังจากนั้น 3-4 ชั่วโมงยาก็จะต่อยๆหมดฤทธิ์ไปเอง ช่วงที่ยากำลังมีผลต่อเด็กมากๆ พอแม่เบ่งออกมาแทนที่ลูกจะร้องบางทีอาจยังหลับไม่ตื่น คอพับคออ่อนไม่ยอมหายใจโดยดี ต้องออกแรงกระตุ้นกันยกใหญ่ ...เวลาฉีดยาแก้ปวดนี้ทีไร เด็กก็มักไม่ค่อยร้องดั่งใจ หมอเด็กบ่นกระปอดกระแปดทุกที
วิธีสุดท้ายที่ได้ผลดีก็คือการฉีดยาชาเข้าไขสันหลังหรือที่เรียกกันติดปากว่า "บล็อกหลัง" วิธีนี้เป็นวิธีที่ทำให้คุณแม่รู้สึกเหมือนกับว่าคลอดลูกอยู่บนสวรรค์ ท่ามกลางสวนดอกไม้ ไม่รู้สึกเจ็บปวดอะไรเลย คลอดลูกชิวๆ เจ็บน้อยกว่าโดนแมวข่วนซะอีก แต่เป็นที่น่าเสียดายที่เมืองไทยมีอะไรขึ้นมาก็ด่าหมอไว้ก่อน มีการฟ้องร้องเรียกร้องค่าเสียหายชนิดที่ว่าหมอทำงานมาทั้งชีวิตยังไม่มีทางหาเงินมาได้ขนาดนั้นเลย หมอวิสัญญีในประเทศไทยทั้งหมดจึงยกเลิกการบล๊อคหลังเพื่อการคลอด ไม่ทำอีกแล้ว อยากรู้อะไรมากกว่านี้ก็เปิดหาจากกูเกิ้ลอ่านเองละกันนะครับ
ประเทศไทยก็เลยเป็นประเทศที่มีการแพทย์ก้าวหน้ามาก หัวแถวของเอเซีย แต่คลอดลูกก็ยังคงต้องเจ็บปวดเท่ากับสมัยน่านเจ้า....ไม่รู้จะโทษใครดี
เมื่อถึงเวลาที่คุณแม่ต้องไปคลอด ดีที่สุดก็คือพยายามอดทน พยายามช่วยเหลือตัวเอง ทดสอบตัวเองว่าจะอดทนเพื่อลูกได้มากแค่ไหน ถ้าไม่ไหวจริงๆ ค่อยขอความช่วยเหลือจากคุณหมอ
เมื่อถึงจุดหมายปลายทาง ลูกได้คลอดออกมาด้วยน้ำพักน้ำแรงของคุณแม่ และแม้ว่าความเจ็บปวดจะยังไม่มลายหายสิ้นไปในทันที แต่ความรู้สึกดีใจ ภูมิใจ ความรู้สึกของความเป็นแม่จะเอ่อล้นออกมา
ความรู้สึกสุดท้ายมันคุ้มค่ากับที่ต้องอดทนกับความเจ็บปวดจริงๆ....ไม่ลองไม่รู้นะครับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น