ผ่าคลอด ผ่ากันยังไง
วันนี้ได้มีโอกาสกลับมาเขียนเรื่องสนุกๆน่ารู้ให้คุณแม่มือใหม่อ่านกันอีกรอบ สำหรับคุณแม่มือเก่าๆทั้งหลายก็คงอ่านผ่านตามากันบ้างแล้ว อย่าเพิ่งเบื่อกันก่อนนะครับ ....เรื่องที่คุณแม่เกือบทุกคนเป็นกังวลกันมากที่สุดตอนใกล้จะถึงวันคลอดก็เรื่องนี้ทั้งนั้นแหละครับ หลายคนก็จะกังวลว่าจะคลอดเองได้หรือเปล่า จะต้องผ่าหรือเปล่า แล้วมันจะเจ็บมากมั๊ย
ดูตามสรีระของผู้หญิงมันก็น่าจะกังวลเหมือนกันนะครับ เพราะท้องมันก็โตขึ้นทุกวัน โตจนยันถึงยอดอก แต่ทางออกนี่สิ ดูไปดูมาก็เล็กนิดเดียวเอง ดูแล้วไม่น่าจะมีอะไรที่ใหญ่เกินกว่านิ้วหัวแม่โป้งที่จะผ่านออกมาได้เลย ครั้งสุดท้ายที่ไปตรวจฝากครรภ์..หมอก็บอกว่าเส้นผ่าศูนย์กลางของหัวลูกตอนคลอดจะประมาณสิบเซนติเมตรเชียว ...ใหญ่ขนาดนี้แล้วของรักของหวงมันจะไม่บานหมดเหรอ
ผู้หญิงเราคลอดลูกกันมาเป็นพันเป็นหมื่นปีมาแล้ว คลอดได้บ้างไม่ได้บ้าง หากดูหนังฝรั่ง หนังจีน หนังเกาหลีย้อนยุค จะเห็นได้เลยว่าการตั้งครรภ์เป็นความเสี่ยง มีโอกาสที่คุณแม่จะเสียชีวิตสูงมาก การแพทย์สมัยก่อนก็ยังไม่เจริญ ส่วนมากการเสียชีวิตจากการคลอดก็มักจะเกิดจากการตกเลือด หรือไม่ก็คลอดไม่ออกเด็กตัวโต เด็กขวาง เจ็บท้องกันสามวันสามคืนยังไงก็ไม่ออก มดลูกแตกตายไป จะเริ่มมีการผ่าท้องเอาเด็กออกก็ตอนสมัยโรมันนั่นเอง ตอนนั้นจูเลียส ซีซาร์ ผ่าท้องคลอดให้กับเมียตัวเองที่เจ็บท้องนานสามวันสามคืนแล้วก็ยังไม่คลอดสักที ...แต่ก็ยังไม่มีบันทึกอะไรว่าท่านซีซาร์เย็บแผลเมียกลับเหมือนเดิมหรือเปล่า..555 ที่แน่ๆการผ่าตัดท้องคลอดตั้งแต่บัดนั้นมาจนถึงทุกวันนี้เลยเรียกว่าการผ่าซีซาเรียน (Cesarean section)
การผ่าตัดคลอดก็ทำกันในวงจำกัดในประเทศแถวๆยุโรปในยุคกลาง สำหรับในเอเชีย ในจีน ในเกาหลี ในไทยยังไม่มีความรู้ทางการแพทย์สมัยใหม่อะไรเลย การคลอดก็จะคลอดที่บ้านโดยฝีมือหมอตำแยกันทั้งนั้น คลอดไม่ได้ก็จนปัญญา เลยคลอดลูกตายกันเยอะ ในเมืองไทยก็มีผ่าตัดคลอดครั้งแรกกันในสมัยรัชกาลทืี่ 5 นี่เอง โดยคณะมัชชันนารีที่หมอบัดเลย์นำมา หลังจากนั้นการผ่าตัดคลอดก็มีทำกันมาเรื่อยๆ ผ่านวิวัฒนาการทางการแพทย์มาจนถึงปัจจุบัน
ถ้าคนสมัยก่อนสามารถข้ามเวลามาถึงปัจจุบันได้ก็คงตกใจกันน่าดู เพราะเดี๋ยวนี้การผ่าท้องคลอดกลายเป็นการผ่าตัดที่ทำกันมากที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้ เมื่อมีการผ่ากันมาก ก็ทำให้สูติแพทย์ทั้งหลายต่างก็มีความชำนาญมากขึ้นตามมาด้วย การผ่าตัดคลอดในปัจจุบันก็เลยดูเหมือนเป็นการผ่าตัดที่ดูน่าจะปลอดภัยมากที่สุดเลยก็ว่าได้
แล้วตอนนี้คุณแม่ก็คงเริ่มสงสัยแล้วสินะว่า ตกลงคุณแม่จะคลอดเอง หรือจะผ่าดี ....อย่างไรก็ตามถ้าคลอดเองได้ก็ควรจะคลอดเองก่อนจะดีกว่า เพราะธรรมชาติสร้างช่องคลอดของผู้หญิงเอาไว้ให้คลอดลูก ถึงเรียกช่องนี้ว่าช่องคลอด ไม่ได้เอาไว้ทำอย่างอื่น แต่ในบางรายที่จำเป็น หากคลอดเองจะมีความเสี่ยงอันตรายต่อแม่หรือลูก หรือมีแนวโน้มว่าจะคลอดไม่สำเร็จก็ต้องผ่า ....แล้วจะผ่าในกรณีไหนบ้างล่ะ
เหตุผลแรกที่พบเยอะที่สุดก็เนื่องจาก เด็กตัวโต แต่แม่ตัวเล็ก ตรวจท้องดูกะขนาดแล้วตัวเด็กมักจะดูใหญ่กว่าความกว้างระหว่างปุ่มกระดูกด้านหน้าของอุ้งเชิงกราน คลำดูตรงหน้าสะเอวตรงนั้นแหละครับ เมื่อลูกใหญ่กว่าก็เลยคลอดผ่านออกมาไม่ได้ ตอนตรวจภายในจะรู้เลยครับว่าหัวเด็กจะอยู่สูงขึ้นไปจนเกือบสุดนิ้ว แล้วหัวเด็กก็มักวางขี่ซ้อนอยู่บนกระดูกหัวหน่าว เวลามดลูกบีบตัวหัวเด็กจะกดลงบนกระดูกเชิงกรานมากกว่าจะกดลงมาที่ปากมดลูก กรณีนี้ตรวจภายในตรวจแล้วตรวจอีก ปากมดลูกก็จะไม่ค่อยเปิด รออีกนานแค่ไหนปากมดลูกก็ยังไม่เปิดวันยังค่ำ
ที่เป็นเหตุที่พบบ่อยก็คือ เด็กไม่กลับหัว ปกติแล้วตอนครบกำหนดคลอดแล้วเด็กก็มักจะเอาหัวลง เวลาคลอดจะได้มุดเอาหัวออกมาเป็นส่วนนำ คลอดเองได้ไม่ยากไม่เย็น แต่เดี๋ยวมันจะง่ายไป เด็กประมาณ 3 เปอร์เซนต์ก็เลยเอาก้นลง แล้วถ้าเป็นท่าก้นท้องแรกคุณหมอก็มัจะผ่าออก เพราะขนาดเอาหัวออกก็ไม่ได้ว่าจะคลอดออกมาง่ายๆเสียเมื่อไหร่ แล้วถ้าถอยหลังเอาก้นออกแล้วหัวดันคลอดออกมาไม่ได้ ลองนึกดูสิครับว่ามันจะหายนะสักแค่ไหน นี่เองครับที่หมอทั้งหลายกลัวกัน เพราะในกรณีนี้เด็กจะมีโอกาสเสียชีวิตสูงมาก แล้วในกรณีที่เอาขาลง จะลงข้างเดียวหรือขาลงสองข้างก็แล้วแต่ก็จะมีความเสี่ยงที่สายสะดือจะไหลออกมาข้างนอก แล้วเด็กก็จะมีอันเป้นไปจากการขาดออกสิเจนเสียก่อน ดังนั้นถ้าเด็กไม่กลับหัวก็มักจะต้องผ่าตัดคลอด ยกเว้นในท้องหลังๆที่คาดว่าจะคลอดง่าย หรือไม่ตอนมาถึงโรงพยาบาลก็จวนจะคลอดอยู่แล้ว เอาไปผ่าไม่ทัน กรณีอย่างนี้ก็คลอดเองได้ครับ
บางทีที่ต้องผ่าก็เป็นเหตุจากรกก็มี ปกติแล้วรกมันจะเกาะติดกับผนังมดลูกทางด้านหน้าบ้าง หลังบ้าง ด้านบนบ้าง แต่มีประมาณ 3 ถึง 5 ในพันที่ดันอุตริมาเกาะติดทางด้านล่างขวางทางคลอด ทำให้ไม่สามารถคลอดเองได้ หรือบางทีแม่อาจมีสุขภาพไม่แข็งแรง มีภาวะแทรกซ้อน เช่น เป็นโรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง หรือเด็กในครรภ์กำลังมีปัญหา มีภาวะการขาดออกสิเจน หากรอช้าปล่อยให้คลอดเอง เด็กในครรภ์อาจมีอันตรายได้
ที่ว่ามานี้ก็เป็นเหตุผลทางการแพทย์นะครับ แต่ที่ผ่าเพราะไม่มีเหตุผลทางการแพทย์ก็มี ในกรณีที่คลอดที่โรงพยาบาลของรัฐ ถ้าจะผ่าก็มักตรงไปตรงมาตามเหตุผลทางการแพทย์เป็นส่วนใหญ่ จะมาอยากผ่าอยากเอาฤกษ์รับรองว่าไม่มีทาง แต่ในโรงพยาบาลเอกชนที่คนไข้เป็นใหญ่ คนไข้ก็มีสิทธิเลือกเองได้ว่าจะคลอดเอง หรือจะอยากผ่า อันนี้ก็ไม่รู้ว่าเป็นสิทธิผู้ป่วยหรือเปล่าที่จะสามารถเลือกทางเลือกในการให้การรักษาได้ เหตุที่อยากผ่าก็หลากหลาย ที่สำคัญก็เพราะกลัว โดนขู่เอาไว้ว่ามันเจ็บมากเลยนะ หัวเด็ดตีนขาดยังไงก็ไม่ยอมคลอดเอง
ที่ปวดหัวกันนิดหน่อยก็เรื่องผ่าเอาฤกษ์นี่แหละ คนไทยเราจะเกิดทั้งทีจะไม่ให้ผูกฤกษ์ผูกยามก็เห็นจะไม่ดี คลอดเองก็กลัวไม่ได้ฤกษ์ เดี๋ยวจะไม่ได้เป็นใหญ่เป็นโต ถ้าผ่ากันตอนครบกำหนดแล้วก็ไม่ว่า นี่บางทียังไม่ครบดีเลยจะให้ผ่าซะแล้ว แล้วถ้าเลยวันนี้ไปแล้วกว่าจะมีฤกษ์อีกทีก็อีกตั้งสามเดือนหน้าแน่ะ เจอไม้นี้ก็ต้องใจแข็งยืนยัน นั่งยันครับว่า ยังไงก็ไม่มีการผ่าก่อนครบกำหนดเพื่อเอาฤกษ์นะครับ หัวเด็ดตีนขาดยังไงก็ไม่ยอม เพราะเดี๋ยวลูกปอดไม่ทำงานต้องใช้เครื่องช่วยหายใจก็จะมาบอกว่า หมอไม่เห็นบอกก่อนเลยว่าจะเป็นอย่างนี้...ต่างคนต่างกลุ้ม
ฤกษ์อีกอย่างที่หมอสูติกลัวนักกลัวหนา ประเภทพอบอกฤกษ์ปั๊บ...หมอหงายหลังเอามือกุมขมับเลย ก็ฤกษ์ประเภท “ตีสามเก้านาที" มีฤกษ์เดียว
“กลางดึกค่อนสว่างนี่เองครับ เวลาอื่นเยอะแยะก็ไม่ยอม ฤกษ์แบบนี้หมอสูติก็ต้องตื่นมาผ่าครึ่งหลับครึ่งตื่น ที่ต้องมาอดหลับอดนอนด้วยกันก็มีทั้งหมอเด็ก หมอดมยา ผู้ช่วยผ่าตัด พยาบาลส่งเครื่องมือ พยาบาลวิสัญญี เจ้าหน้าที่ต่างๆรวมแล้วเป็นสิบที่ต้องมาตื่นเพื่อเอาฤกษ์ ในกรณีอย่างนี้ทีมงานก็มักจะทำงานได้ไม่ร้อยเปอ์เซนต์เหมือนเวลาทำงานปกติหรอกครับ แล้วถ้าหากมีภาวะแทรกซ้อนอะไร จะตามหมอเด็ก หมอดมยาที่ไหนก็ตามกันยาก ...ไม่ครบเครื่องFull team เหมือนตอนกลางวันหรอกครับ
ยังไงก็ขอฝากเรียนเกจิอาจารย์ทั้งหลายมา ณ ที่นี้เลยก็แล้วกันครับว่า หากจะให้ฤกษ์ ก็ขอให้ฤกษ์เวลากลางวันดีกว่าครับ จะเป็นพระคุณอย่างสูง
อีกสาเหตุหนึ่งที่คุณแม่ไม่อยากคลอดเอง...ก็เพราะกลัวเสียศูนย์! ....คนไข้บอกผมอย่างนี้จริงๆ..กลัวคลอดเองแล้วกระบังลมจะหย่อน ช่องคลอดจะหลวมอะไรทำนองนี้แหละครับ ซึ่งก็จริงเหมือนกันที่คลอดเองแล้วกล้ามเนื้อต่างๆในอุ้งเชิงกรานมันจะยืดหย่อนไปบ้าง ช่องคลอดจะยืดขยายไปบ้าง แต่ถ้าหากบริหารร่างกายดีก็จะสามารถกลับเข้าที่เป็นปกติได้ไม่ยากในเวลาไม่ถึงสามเดือนด้วยซ้ำไป ...คลิก ตรงนี้ลองอ่านดูก็ได้
ถึงเวลาต้องผ่ากันแล้ว ... มาดูกัน ว่าเขาผ่ากันยังไง ...
ถึงแม้ว่าคุณแม่บางคนอาจจะมีประสบการณ์การผ่าตัดคลอดมาก่อนแล้ว แต่พอลองถามเข้าจริงๆ คุณแม่ส่วนมากก็ไม่รู้หรอกครับว่าตอนผ่าตัดเขาทำยังไงกันบ้าง จะมองก็มองไม่เห็น เพราะจะมีฉากกั้นไว้ พอเด็กคลอดออกมาแล้ว คุณแม่ก็มักจะถูกฉีดยานอนหลับหลับแหง๋แก๋ มารู้ตัวอีกทีก็ผ่าเสร็จไปเรียบร้อยแล้ว ประสบการณ์การคลอดก็เลยดูกระท่อนกระแท่นไปสักหน่อย ....วันนี้เรามาเริ่มเรื่องกันแบบสมมติว่าคุณแม่กำลังนอนบนเตียงที่กำลังเข็นเข้าไปในห้องผ่าตัดดีกว่า
เริ่มต้นลืมตาขึ้นมาคุณแม่ก็กำลังนอนอยู่บนเตียงเข็นทำจากสแตนเลสวาววับ มองขึ้นไปก็เห็นขวดน้ำเกลือแขวนแกว่งไกวบนเสาน้ำเกลือที่ติดมากับเตียงเข็น ที่ปลายเตียงบุรุษพยาบาลก็ตั้งหน้าตั้งตาเข็นเตียงมุ่งหน้าไปสู่ห้องผ่าตัด ....ไฟบนเพดานแสงสว่างจ้าผ่านสายตาไปเรื่อยๆจนมาหยุดอยู่ใต้โคมไฟอันใหญ่..... “ถึงห้องผ่าตัดแล้วครับ คุณแม่ช่วยเลื่อนตัวมาที่เตียงนี้เลยครับ” เกิดมายังไม่เคยต้องนอนบนเตียงผ่าตัดแบบนี้มาก่อน ทั้งตื่นเต้นทั้งกลัว แต่มันก็เหมือนสิ่งที่เราวิ่งหนีมันไปไม่ได้ เพราะภารกิจที่ยิ่งใหญ่ คือการได้เป็น “แม่” กำลังรอคอยเราอยู่
เตียงผ่าตัดดูค่อนข้างแคบ นอนได้พอดีตัวเป๊ะเลย เตียงตั้งอยู่กลางห้องที่เย็นจนหนาวเหน็บเลยก็ว่าได้ ห้องผ่าตัดขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็กแต่โอ้โหมีไฟบนเพดานเป็นสิบเลยก็ว่าได้ แสงในห้องก็เลยดูสว่างจ้ามากกว่าปกติ ....สักครู่ก็มีคุณหมอใส่ชุดเขียวๆ ใส่หมวกใส่หน้ากากปิดปากเห็นแต่ลูกกะตามาแนะนำตัวว่าเป็นวิสัญญีแพทย์ ก็หมอดมยานั่นเองไง ...หมอคนนี้ก็จะช่วยดูแลเราทำให้เราไม่เจ็บไม่ปวด คอยดูแลความดันโลหิต คอยฉีดยาโน่นยานี่ให้เราตลอดเวลาที่ผ่าตัด
จะว่าไปแล้วหมอดมยาก็เป็นหมอประเภทปิดทองหลังพระ เพราะต้องดูแลทุกอย่างในยามวิกฤต ดูแลชีวิตของคุณแม่ตลอดการผ่าตัด แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครจดจำคุณหมอดมยาได้สักคน ชื่อยังไม่รู้จักเลย จำได้แต่ดวงตาที่คอยห่วงใยคอยดูแลเราเท่านั้นเอง
เวลาเราผ่าท้องคลอดก็ต้องอาศัยวิสัญญีแพทย์ทำให้ไม่รู้สึกเจ็บกันก่อนครับ จะผ่ากันสดๆแบบที่ยังรู้สึกอยู่ไม่ได้ ดูมันจะโหดร้ายไปหน่อย วิธีทำให้ไม่รู้สึกก็อาจจะใช้วิธีดมยาสลบ หรือบล๊อกหลังก็ได้ แต่ปัจจุบันก็จะนิยมบล๊อกหลังกันมากกว่า ลองมาดูเหตุผลกันดีกว่า
การดมยาสลบก็จะฉีดยาให้คุณแม่หลับก่อน เสร็จแล้วก็จะใส่ท่อหายใจเข้าไปในหลอดลม แล้วใช้เครื่องดมยาเป่าลมเข้าไปแทนที่จะหายใจเอง ซึ่งในอากาศจากเครื่องดมยาสลบนี้ก็จะมีก๊าซที่ทำให้สลบปนอยู่ด้วย ยาต่างๆที่แม่ได้ก็จะเข้าสู่กระแสเลือดและสามารถผ่านรกไปสู่ลูกได้ แม่สลบ ลูกก็สลบได้เหมือนกัน ลูกที่ออกมาก็มักจะง่วงหงาวหาวนอนมากกว่าปกติ ถ้าดมยาสลบหมอเด็กก็มักจะไม่ค่อยชอบเพราะกว่ามันจะร้องก็ต้องออกแรงปล้ำกันนานหน่อย ...ระหว่างที่คุณแม่สลบอยู่คุณแม่ก็จะไม่รู้สึกเจ็บปวดอะไรทั้งนั้นครับ แต่พอผ่าเสร็จ ก็จะต้องถอดท่อหายใจออก คุณแม่ก็จะฟื้นจากการสลบ ...พอฟื้นปั๊บก็จะเจ็บแผลปุ๊บ ทรมานกว่าการบล็อกหลังเยอะ แต่ก็ใช้ได้ดีในรายฉุกเฉินเพราะจะทำอะไรได้เร็วกว่า
ส่วนการบล็อกหลังต้องใช้เวลา แล้วก็ห้ามเร่งด้วย เดี๋ยวหมอมือสั่นแล้วต้องบล็อกกันหลายรอบ ตอนบล๊อกคุณหมอก็จะให้คุณแม่นอนตะแคง ขดตัวงอให้เหมือนกุ้ง นอนนิ่งๆแป๊บเดียวก็เสร็จ พอเริ่มชาคุณแม่ก็จะรู้สึกว่าขามันหนักขึ้นเรื่อยๆ แล้วขามันก็เหมือนละลายหายไปในอากาศ ไล่ขึ้นมาเรื่อยๆ จนถึงระดับสะดือพอดี คุณหมอดมยาก็จะคอยทดสอบความรู้สึกว่าชาได้ระดับดีแล้วหรือยัง
ก่อนผ่าตัดคุณหมอที่เป็นคนผ่าก็จะทดสอบอีกที “รู้สึกมั๊ยครับ”... “เจ็บมั๊ยครับ” จนแน่ใจว่าไม่เจ็บจริงๆแล้วถึงค่อยผ่า หมอรุ่นใหม่ๆเดี๋ยวนี้ก็มักจะผ่าแนวขวางตามรอยขอบกางเกงใน ผ่าแบบนี้ก็ดีกว่าในแง่สวยงามกว่า แข็งแรงมากกว่า แต่ก็จะผ่ายากกว่า เสียเลือด เสียเวลามากกว่า..ส่วนผ่าตามยาวก็จะง่ายกว่า เร็วกว่า เสียเลือดน้อยกว่า ..ก็ขึ้นกับความถนัดของหมอ ขึ้นกับสถานการณ์ขณะนั้นด้วยเหมือนกันครับ
แผลผ่าตัดก็จะยาวประมาณ 10 เซนต์ เล็กกว่านี้เด็กก็มุดออกมาไม่ได้ ยาวไปหน่อยเดี๋ยวคุณแม่ก็บ่น เวลาผ่าก็จะผ่าโดยใช้มีดไฟฟ้า เนื้อจะขาดออกจากกันเหมือนผ่าด้วยมีดคมๆ แต่เลือดจะไม่ออก ตอนผ่าจะมีกลิ่นไหม้เหมือนหมูย่าง ได้กลิ่นแล้วท้องร้องจ๊อกๆ...กลิ่นนี้ก็ไม่ใช่ของไครคนไหนหรอกครับ เป็นกลิ่นเนื้อของคุณแม่ที่โดนเครื่องจี้ไฟฟ้านั่นเองครับ ผ่านผิวหนังชั้นนี้ลงไปก็จะเจอไขมัน คนไหนผอมๆไขมันชั้นนี้ก็บางนิดเดียว คนไหนอ้วนมากหมอก็จะผ่าไปบ่นไป บางคนอ้วนๆไขมันหนาถึงสามนิ้วเลยก็มี เห็นแล้วกลุ้มใจ ...ผ่านชั้นไขมันลงไปก็จะเป็นชั้นกล้ามเนื้อ ลองนึกภาพตอนกินหมูสามชั้นแล้วจะนึกออกเลยครับ ชั้นสุดท้ายของผนังหน้าท้องก็เป็นเยื่อบุช่องท้อง ผ่านชั้นสุดท้ายนี้ก็จะถึงมดลูกแล้วครับ
ปกติแล้วจะใช้เวลาผ่าตัดตั้งแต่จรดมีดลงบนผิวหนังจนถึงเด็กคลอดจะใช้เวลาประมาณ 9 นาที ถ้าคุณแม่เอาฤกษ์ยอดนิยม 9 โมง 9 นาที ก็จะเริ่มลงมือผ่าตอน 9 โมงพอดีเด๊ะ ถึงมดลูกแล้วเริ่มกรีดตัวมดลูกตอน 9 โมง 8 นาที ถ้าตามเวลานี้ก็จะคลอด 9 โมง 9 นาทีพอดี ....ปกติแล้วจะนับเวลาคลอดเมื่อคลอดออกมาครบหมดทั้งตัวทุกส่วนอย่างสมบูรณ์แล้วครับ ถ้าบังเอิญวันไหนผ่าเร็วไปหน่อย เกิดล้วงออกมาตอนเวลาแค่ 9 โมง 8 นาทีเร็วไปหน่อย ก็เอาขาแหย่ไว้ในมดลูกข้างนึงก่อน พอ 9 โมง 9 นาทีค่อยดึงขาตามออกมากนับว่าคลอด 9 โมง 9 นาทีครับ
พอตัดสายสะดือเรียบร้อย ก็จะส่งลูกให้หมอเด็กที่มาคอยยืนรอรับเอาไปดูดน้ำในปากในคอให้เกลี้ยงอีกทีให้เด็กได้หายใจสะดวกตัวแดงดี เช็ดตัวห่อผ้าให้ความอบอุ่น ตรวจร่างกายเบื้องต้น ตรวจเรียบร้อยแล้ว ก็ตะโกนมาบอก “แข็งแรงดี” ..ได้ยินแค่นี้ก็สบายใจแล้วครับ
หลังจากเด็กคลอดออกไปแล้ว คุณหมอก็จะเอามือล้วงเข้าไปในมดลูก แซะรกให้ลอกตัวแล้วทำคลอดรกออกมาจนหมด เสร็จแล้วก็จะเอาผ้าเข้าไปเช็ดถูภายในมดลูกจนเกลี้ยง ...ดังนั้นคุณแม่ที่ผ่าท้องคลอดก็มักจะมีน้ำคาวปลาออกไม่มาก ออกไม่กี่วันก็หมด ต่างจากการคลอดเองที่เยื่อบุต่างๆที่หลงเหลืออยู่ต้องหลุดลอกออกมาเอง ก็เลยต้องออกมากกว่า ออกนานกว่า ดังนั้นคุณแม่ที่ผ่าคลอดน้ำคาวปลาก็จะหมดเร็ว ก็ไม่ต้องตกใจก็แล้วกันนะ มีคุณแม่หัวโบราณหลายคนครับที่รู้สึกว่าถ้าน้ำคาวปลาไม่ออกแล้วมันจะไม่ดี ไปซื้อยาขับ ยาชักมดลูกอะไรมากินเยอะแยะไปหมด ..ขับให้ตายก็ไม่มีอะไรจะออกครับ ....บอกแล้วบอกอีกว่าขัดเช็ดถูไปหมดแล้ว
ตอนผ่าเข้าไปก็ใช้เวลาแป๊บเดียว 9 นาทีก็เสร็จแล้ว ..แต่ตอนเย็บกลับให้เหมือนเดิมนี่สิใช้เวลานานมากกว่า ตั้งเยอะ ที่ผนังมดลูกก็จะเย็บ 2 ชั้นแข็งแรงมาก เย็บกลับขึ้นมาเรื่อยๆรวมแล้วก็ 8 ชั้น แต่ละชั้นก็อยู่คนละแนวกัน แนวขวางบ้าง แนวตั้งบ้างเหมือนตอนเราปิดฝากล่องกระดาษอย่างไงอย่างงั้นเลยครับ แผลก็จะมีความแข็งแรงค่อนข้างมาก ขนาดสิบล้อทับแผลยังไม่แตกเลย ..แต่อย่าไปลองเลยดีกว่า .....หวาดเสียว
แผลชั้นบนสุดก็จะสอยใต้ผิวหนัง เหมือนเนาชายกางเกง ทำให้แผลไม่เป็นรอยตะเข็บ อย่าหาว่าคุยก็แล้วกันนะว่าหมอสูติส่วนมากมือจะเหมือนผู้หญิง แล้วก็เย็บแผลจะสวยกว่าหมอไหนๆ ..ยอมแพ้ก็แค่หมอศัลยกรรมตกแต่งเท่านั้นเอง ..เย็บแผลเสร็จก็ติดพลาสเตอร์เป็นเสร็จ รวมเวลาในการผ่าตัดก็ประมาณ 40 นาที ถึง 1 ชั่วโมง ย้ายออกจากห้องผ่าตัดก็จะมานอนต่อที่ห้องพักฟื้น ตรวจวัดความดัน ตรวจดูการเสียเลือด อยู่ห้องพักฟื้น 1 ชั่วโมง หากดูแล้วปกติดีก็ย้ายกลับห้องพัก เป็นเสร็จสิ้นขบวนการการผ่าตัดคลอด ...
หลังผ่าตัดก็ต้องงดน้ำงดอาหารต่ออีก 24 ชั่วโมงครับ เพราะลำไส้เราพอโดนใครไปแตะต้องมันแล้วมันจะหยุดทำงานไปดื้อๆ 24 ชั่วโมงเต็มๆ ลองแอบกินอะไรเข้าไปก็จะจุกแน่นไปหมด หรือไม่ก็อาเจียนออกมา ถ้าปากแห้งคอแห้งมากก็อมน้ำแข็งสักก้อนก็อาจช่วยได้เยอะ ...ช่วงนี้คุณแม่ก็จะได้ น้ำ เกลือแร่ พลังงานต่างจากน้ำเกลือเข้าทางเส้นเลือดโดยตรงไม่ต้องย่อย ไม่ต้องเคี้ยวกันให้เสียเวลา พอครบ 24 ชั่วโมงก็จะให้คุณแม่เริ่มจิบน้ำได้ ให้จิบน้ำก็ต้องค่อยๆจิบน้ำนะครับ ไม่ใช่ดื่มเข้าไปอั้กๆก็จะจุก แล้วก็อาเจียนออกมาเสียของเปล่าๆ มื้อต่อไปก็จะเริ่มมีรสชาดขึ้นมาหน่อย ก็จะเริ่มได้กินน้ำข้าว น้ำซุป น้ำหวาน มื้อสุดท้ายของวันที่สองนี่แหละถึงได้หายอยากกันซะที เพราะมื้อนี้ก็จะได้กินข้าวต้ม เป็นเรื่องเป็นราวกันเสียที เรื่องกินเรื่องใหญ่ เลยต้องสาธยายกันก่อนให้รู้เรื่อง ที่สำคัญกินเสร็จแล้วห้ามนอน กินเสร็จแล้วต้องนั่งพัก หรือ เดินไปเดินมาสักครึ่งชั่วโมง เพื่อให้ลมที่กินเข้าไปด้วยได้แยกชั้นแล้วเรอออกมา ถ้ากินแล้วนอนเลย ท้องก็จะอืด อึดอัดแน่นท้องไปหมด กว่าลมจะลงไปเรื่อยแล้วระบายออกมาเป็นผายลมก็คงต้องแน่นท้องไปอีกหลายวัน
ผ่าเสร็จแล้วก็มีวิธีดูแลตัวเองง่ายๆ โดยใช้ กฏ 4 ข้อ ดังนี้ครับ
ข้อแรก ต้องไม่มีไข้ตัวร้อน ถ้ามีไข้ขึ้นมาก็แสดงว่าต้องมีอะไรไม่ปกติแอบแฝงอยู่แล้วครับ เช่น แผลอักเสบ มดลูกข้างในอักเสบ แต่ตอนนมคัดมากๆก็อาจทำให้มีไข้ได้เหมือนกัน
ข้อสอง แผลต้องไม่บวม ไม่แดง ไม่เจ็บมากขึ้น ปกติแล้วแผลจะเจ็บน้อยลงเรื่อยๆ แต่บางทีวันที่เริ่มลุกเดินก็อาจเจ็บมากขึ้นบ้างก็ได้ สีของผิวหนังรอบๆแผลก็ต้องดูเหมือนสีเนื้อปกติ ถ้าบวมแดงขึ้นมา ก็แสดงว่า ถึงคราวเคราะห์ สงสัยแผลจะอักเสบซะแล้ว ปกติแล้วถ้ามีการอักเสบเกิดขึ้นก็มักจะเป็นในสามวันแรก เลยจากนี้ไปแล้วก็ไม่ค่อยจะมีปัญหาแล้วครับ
ข้อสาม มดลูกข้างในท้องน้อยต้องไม่เจ็บไม่ปวดมากขึ้น หลังผ่าใหม่ๆมดลูกจะบีบตัวแข็งเกร็ง ยิ่งบีบก็ยิ่งเจ็บ แต่ยิ่งบีบก็ยิ่งดีนะครับ ..เพราะสิ่งที่อันตรายที่สุด และหมอสูติกลัวกันที่สุดของการผ่าตัดคลอดก็คือ การตกเลือดนั่นเองครับ มดลูกยิ่งบีบตัวแข็งเท่าไหร่ เลือดก็ยิ่งออกน้อยลงเท่านั้น คุณแม่ที่ตกเลือดหลังผ่าตัดคลอดบางคนโชคร้ายก็อาจต้องถูกตัดมดลูกก็ได้ บางรายที่โชคร้ายมากๆก็อาจถึงแก่ชีวิตก็มี
เมื่อมดลูกแข็งตัวดี มดลูกก็จะหดตัวเล็กลงวันละหนึ่งนิ้วมือ ยิ่งลูกกินนมแม่มดลูกก็จะยิ่งเข้าอู่เร็ว คุณแม่จะสังเกตุได้เลยว่าตอนลูกดูดนม มดลูกจะบีบตัวเจ็บมากขึ้นกว่าปกติ ....ภายใน 14วัน มดลูกก็จะเล็กลงจนหดเข้าไปในอุ้งเชิงกรานคลำหาไม่เจอทางหน้าท้องแล้วครับ ที่คลำเจอก็จะเป็นไขมันส่วนเกินที่เหลืออยู่ไว้ให้กลุ้มใจ
ข้อสุดท้าย น้ำคาวปลา หรือ เลือดจางๆที่ไหลออกมาทางช่องคลอด ต้องออกน้อยลงเรื่อยๆ โดย 3 วันแรกสีจะค่อนข้างสีแดงสด ต่อมาก็จะจางลงเรื่อยๆจน 10 วันใส 14 วันหมด ตอนนอนอยู่บนเตียงก็ดูเหมือนน้ำคาวปลาจะไม่ค่อยไหล แต่พอลุกขึ้นมาจากเตียงตอนเช้าเท่านั้น ..เลือกก็หล่นหลุดออกมาเป็นยวงเลย ถ้าเป็นอย่างนี้ก็อย่าเพิ่งตกใจนะครับ เพราะปกติแล้วตอนนอนบนเตียง ช่องคลอดจะตั้งขึ้น ทำให้เลือดขังค้างอยู่ในโพรงมดลูก ซึ่งสามารถขังค้างได้ถึง 1 แก้วน้ำใหญ่ๆเลยล่ะ พอลุกขึ้นจากเตียงเลือดที่ขังอยู่นี้ก็ไหลเทออกมาเท่านั้นเอง พอไหลออกมาหมดแล้วน้ำคาวปลาก็ออกอีกไม่มาก ปกติแล้วถ้าผ่าท้องคลอดน้ำคาวปลาจะออกน้อยกว่า หมดเร็วกว่าปกติ ..ในคุณแม่ที่คลอดเอง เยื่อบุต่างๆจะต้องหลุดลอกออกเองตามธรรมชาติ น้ำคาวปลาจึงออกมากกว่า นานกว่า แต่ในกรณีผ่าท้องคลอด คุณหมอจะใช้ผ้าเช็ดถูทำความสะอาดในโพรงมดลูก ถูจนเกลี้ยงหมดจดจนโพรงมดลูกเรียบลื่นเหมือนหม้อหุงข้าวไฟฟ้าอย่างไงอย่างงั้น ไม่เหลือเศษเยื่อใยอะไรติดค้าง ไปกินยาขับน้ำคาวปลา ว่าชักมดลูก สตรีเพ็ญพากต์ ขับยังไงก็ไม่มีออก ..รับรองได้
วันแรกหลังคลอดคุณหมอก็ไม่ให้ทำอะไรมากหรอกครับ นอนรับแขก รับคนเยี่ยมอย่างเดียวก็ยุ่งทั้งวันแล้ว ดังนั้นถ้าอยากนอนพักสบายๆก็อย่างเพิ่งไปบอกใคร คลอดวันแรกให้บอกแค่ญาติสนิทให้คอยมาดูแลเรา คลอดวันที่สองก็ให้บอกเพื่อนสนิทให้ซื้อของกินมาฝาก วันที่สามให้บอกเพื่อนร่วมงานรอเก็บของเยี่ยม วันที่สี่ก็เตรียมตัวกลับบ้าน
ระหว่างที่นอนพักฟื้นอยู่บนเตียงก็มีเคล็ดลับนิดหน่อยที่จะทำให้ไม่ค่อยเจ็บแผล ลองเอาไปทำดูนะครับ ...ช่วยได้เยอะทีเดียวล่ะ อย่างแรกเลยเตียงของโรงพยาบาลจะสามารถปรับให้หัวสูงหัวต่ำได้ ตอนนอนหลังคลอดก็ควรปรับให้หัวเตียงสูงขึ้นสักคืบ อยู่กี่วันกี่คืนก็ปรับหัวเตียงสูงไว้นิดๆตลอด เพราะเวลานอนท่านี้หน้าท้องก็จะหย่อน แผลก็ไม่ตึง แผลก็เลยเจ็บน้อย แต่ถ้านอนราบแบนลงไปเลย หน้าท้องก็จะตึง แผลก็จะถูกรั้งตึงเจ็บ
เวลาลุกขึ้นลุกลงจากเตียงก็ต้องตะแคงขึ้น ตะแคงลงเท่านั้น ถ้าหงายงัดขึ้น หงายงัดลง แผลก็จะถูกรั้งตึงเจ็บ เวลาจะลงนอนก็เอาก้นเข้าข้างเตียงก่อน แล้วเอามือยันตัวตะแคงตัวลงนอน ตอนลุกก็ตะแคงข้างก่อนแล้วค่อยๆถัดยันตัวขึ้นมา ..ถ้าทำท่านี้รับรองลุกไม่เจ็บแผลเลยครับ
เตียงของโรงพยาบาลโดยมากแล้วก็จะสามารถปรับให้สูงต่ำได้ตามใจชอบ หลังผ่าตัดคลอดใหม่ๆก็ควรปรับให้เตียงต่ำที่สุดจะดีกว่าครับ เพราะยิ่งเตียงสูงเวลาคุณแม่จะต้องลงจากเตียงก็จะต้องเขย่งยืดตัวก็จะทำให้เจ็บแผลมาก แต่ถ้าปรับเตียงลงต่ำๆก็จะเจ็บแผลน้อยลงเยอะทีเดียวล่ะครับ
ปกติแล้วแผลก็จะแห้งเปิดแผลได้ใน 7-10 วัน จะเจ็บแผลก็ในช่วง 3-4 วันแรกเท่านั้นเอง หลังจากนั้นก็จะไม่ค่อยเจ็บแล้วครับ จะรู้สึกตึงๆเคืองๆบ้าง จะหายสนิทไม่รู้สึกเลยก็ประมาณ 3 ครับ
การผ่าตัดคลอดในปัจจุบันนี้ก็มีแนวโน้มที่เพิ่มมากขึ้นกว่าเมื่อก่อน คุณแม่เดี๋ยวนี้ก็ชอบที่จะผ่ามากกว่าที่จะคลอดเอง ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะการผ่าคลอดนั้น คุณแม่ไม่ต้องเหนื่อย ไม่ตองออกแรง ไม่ต้องลุ้นอะไรทั้งนั้น คนไทยอย่างเราชอบอะไรที่มันง่ายๆ แล้วยิ่งสมัยนี้คุณแม่จะคลอดกันทั้งทีก็ต้องไปหาฤกษ์หายามให้หมอปวดหัว ถ้าคลอดเองเดี๋ยวจะไม่ได้ฤกษ์ที่ต้องการ โตขึ้นไม่ได้เป็นนายกก็จะมาโทษหมอ ...อีกเหตุนึงที่ผู้หญิงเรากลัวกันเยอะเหมือนกัน ก็กลัวน้องหนูจะหย่อนยานเสียหายนั่นเองครับ กลัวว่าคลอดเองแล้วมันจะหย่อนมันจะหลวม ใครรู้ว่าของเราหลวมแล้วมันจะเสียความมั่นใจ แล้วถ้ายิ่งสามีเจ้าชู้ก็ยิ่งต้องคิดมากกันไปใหญ่ นี่ก็คงจะเป็นสาเหตุที่ทำให้คนไทยเรามีแนวโน้มในการผ่าตัดคลอดสูงขึ้น
แต่ในความเป็นจริงแล้วคุณแม่ทุกคนควรที่จะคลอดเองถ้าคลอดได้ เพราะธรรมชาติสร้างช่องคลอดมาเอาไว้คลอด ....ชื่อมันก็บอกอยู่แล้ว จะผ่าคลอดก็ต่อเมื่อจำเป็นมีเหตุผลทางการแพทย์เท่านั้น เพราะการผ่าตัดคลอดนั้นก็ย่อมต้องมีความเสี่ยงมากกว่าคลอดเองปกติอยู่แล้ว การคลอดเองนั้นเป็นกลไกธรรมชาติ ไม่ใช่ความเจ็บป่วย เป็นเองหายเอง แต่ต้องดูแลกันเยอะหน่อย แต่ถ้าถึงกับต้องผ่าตัดเข้าไปในท้อง ความเสี่ยงก็ต้องย่อมมากกว่า เช่น ความเสี่ยงในการดมยาสลบก็ต้องเพิ่มขึ้น การผ่าตัดก็จะเสียเลือดมากกว่าปกติ 2 เท่า โอกาสในการติดเชื้อ แผลอักเสบก็มากกว่า ฟื้นตัวช้ากว่า ลุกขึ้นมาเลี้ยงลูกได้ช้ากว่าคลอดเองก็ประมาณ 1-2 วัน แล้วแต่ความอึด ต้องอยู่โรงพยาบาลนานกว่า ปกติแล้วการคลอดเองก็นอนโรงพยาบาลประมาณ 2-3 วัน แต่ถ้าผ่าท้องคลอดก็จะนอนนานเพื่มขึ้นอีก 1 วัน ค่าใช้จ่ายก็จะเพิ่มขึ้น โดยเฉลี่ยแล้วในโรงพยาบาลเอกชนทั่วๆไปก็จะเสียค่าใช้จ่ายมากกว่าคลอดเองประมาณหนึ่งหมื่นบาท ..เห็นมั๊ยครับ ถ้าคลอดเอง เบ่งเอง ออกแรงเองบ้างก็จะช่วยประหยัดเงินได้พอดูเหมือนกัน
มีคนถามกันมาเยอะเหมือนกันครับว่า ถ้าเคยผ่าท้องคลอดมาก่อน ท้องนี้อยากจะคลอดเองได้หรือเปล่า...ก็ต้องบอกก่อนว่าบางรายได้ แต่บางรายก็ไม่ได้ เช่นว่าท้องแรกถูกผ่าเพราะเชิงกรานแคบ เด็กตัวโต ท้องสองเชิงกรานมันก็คงยังแคบเหมือนเดิมอยู่ดี คุณแม่บางคนก็เถียงใหญ่เลยว่า นี่มันตั้งสองปีแล้วนะ ป่านนี้เชิงกรานคงโตขึ้นมาอีกหน่อย น่าจะคลอดได้นะ .. อีก 10 ปีเชิงกรานก็ไม่โตขึ้นกว่านี้แล้วครับ ถ้าเชิงกรานแคบมันก็ต้องแคบวันยังค่ำ แต่ถ้าท้องแรกผ่าเพราะลูกเอาก้นลง มาท้องนี้ลูกเอานิสัยดีขึ้นเอาหัวลง อย่างนี้ก็อาจจะคลอดเองได้ครับ...แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของคุณหมอด้วย ....เพราะ ถ้าเคยผ่าตัดคลอดมาก่อน แล้วเอามาคลอดเองก็จะมีโอกาสแผลที่มดลูกแตกได้ประมาณ 1 ใน 200 แล้วถ้าบังเอิญโชคร้ายแตกขึ้นมาจริงๆเด็กในท้องก็จะเสียชีวิตได้ประมาณ 75 % ดังนั้นตัวหมอเองก็ไม่อยากจะต้องไปเจอเรื่องราวยุ่งยากในชีวิต ยิ่งยุคนี้สื่อชอบใช้ความคิดเห็นส่วนตัวและความรู้ทางการแพทย์อันน้อยนิดมาเขียนข่าว หมอทั้งหลายก็ต่างต้องระวังตัวกันมากขึ้น..ดังนั้นถึงแม้ว่าหลายๆกรณีที่เคยผ่าตัดคลอดจะสามารถคลอดเองได้ แต่ความเสี่ยงในการคลอดก็อาจจะสูงกว่าการผ่าตัดคลอดซ้ำอีกที ดังนั้นปัจจุบันนี้มักจะไม่ค่อยนิยมคลอดเองหลังจากเคยผ่าท้องคลอดมาก่อน ยกเว้นว่ามาถึงโรงพยาบาลแล้วหัวจะโผล่พอดี เอาไปผ่าไม่ทัน
เขียนเรื่องผ่าท้องคลอดกันมาหลายตอน สุดท้ายก็อยากสรุปให้คุณแม่ฟังกันอีกรอบนึงว่า การคลอดลูก ก็เหมือนภาระหน้าที่ที่น่าภูมิใจของผู้หญิง เป็นความรู้สึกที่น่าจดจำ เป็นความภูมิใจที่ได้เจ็บปวด ได้ออกแรงเบ่งลูกออกมาเอง ถ้าเกิดมาเป็นผู้หญิงแล้วมีความสามารถคลอดเองได้ ก็ขอลองดูสักครั้งให้เป็นประสบการณ์ที่น่าภูมิใจ ยกเว้นว่าสุดความสามารถจริงๆหรือมีเหตุผลทางการแพทย์ การผ่าตัดคลอดก็ไม่ได้เป็นเรื่องที่น่ากลัวอะไร ..... ไม่ว่าจะคลอดเอง หรือจะผ่าก็ไม่สำคัญ ขอให้ลูกคลอดออกมาสมบูรณ์แข็งแรง แค่นี้แม่ก็ดีใจแล้วครับ
ดูคลิปผ่าตีดคลอดตั้งแต่เริ่มลงมีดเลยครับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น