เครื่องดูดสูญญากาศ!

 


คุณแม่ส่วนมากแล้วก็ไม่ได้คลอดยากเย็นอะไร มีเพียงส่วนน้อยนิดเดียวเท่านั้นเองครับที่อาจจะมีปัญหาเรื่องคลอดยาก แต่ยังไงก็เตรียมตัวเตรียมใจกับเรื่องยากๆเอาไว้บ้างก็ดีเหมือนกันครับ เผื่อว่าส่วนน้อยนิดนั้นดันป็นเราขึ้นมา จะได้เตรียมพร้อมรับสถานการณ์ไปกันได้อย่างราบรื่น ..ยิ่งของที่ได้มายากของนั้นก็ยิ่งมีค่า..คนเรารักกันยามเหนื่อยยากก็มักจะรักกันยาวนาน ..คุณแม่ที่คลอดยากก็มักจะรักผูกพันธ์กับลูกคนนั้นมาก   ... จริงๆนะครับ


คุณแม่หลายคนก็อาจรู้จักแค่ คลอดเองกับ ผ่าท้องคลอด แค่นั้น 

ถ้าต้องผ่าตัดคลอด ความรู้สึกของแม่ก็ดูจะไม่ยากเย็นอะไร ยังไงคุณหมอก็ต้องล้วงเอาลูกออกมาจากมดลูกของคุณแม่จนได้แน่ๆ 

แต่ถ้าต้องเบ่งออกมาเองนี่สิไม่ใช่ว่าจะเบ่งออกมากันได้ง่ายๆซะทุกรายนะครับ มีเยอะเหมือนกันเจ็บท้องคลอดมาทั้งวัน จนมาถึงตอนจบ.. ถึงเวลาเบ่ง เบ่งยังไงมันก็เบ่งไม่ออก หัวของลูกก็ตุงคาอยู่ในช่องคลอด เจ็บท้องก็เจ็บ เหนื่อยก็เหนื่อย แต่เบ่งเท่าไหร่ก็ไม่ออกซักที 

ไม่มีอะไรในโลกที่มันจะทรมานไปมากกว่าการเบ่งไม่ออกนี้แล้วล่ะครับ! ถึงตอนนี้เอาอะไรมาแลกก็ยอมทุกอย่าง ขอให้เบ่งออกมาได้สำเร็จแค่นั้นก็พอ


ในสถานการณ์ในห้องคลอดจริงๆ

หมอคลอดลูก นั่งเหงื่อตกอยู่ตรงกลางระหว่างขา คอยลุ้น คอยเชียร์ให้คุณแม่เบ่งตามแรงบีบตัวของมดลูก เบ่งกันอยู่นานจนเหนื่อย เหนื่อยทั้งหมอ เหนื่อยทั้งคนไข้   

เรี่ยวแรงของคุณแม่ก็เริ่มแผ่วลงเรื่อยๆ 

หันไปดูสีหน้าคุณหมอเริ่มส่อแวววิตกกังวล 

เสียงต่างๆในห้องเงียบไปเฉยๆ ... (ช่วงนี้เรียกว่าช่วงเว้นวรรคตัดสินใจ) 

ตอนนี้แหละครับที่คุณแม่เริ่มรู้แล้วล่ะว่าการคลอดของเราชักจะมีปัญหาเสียแล้ว 

ปกติแล้วในท้องแรกถ้าปากมดลูกเปิดหมดก็ให้เบ่งกันไม่เกิน 2 ชั่วโมง แต่ถ้าในท้องหลัง ก็ให้เบ่งแค่ชั่วโมงเดียวก็พอ ถ้าเกินกว่านี้แล้วไม่ออก ก็ควรหาตัวช่วยอย่างอื่นได้แล้ว 

แต่ในชีวิตจริงจะให้เบ่งกันถึงสองชั่วโมงก็คงเป็นไปได้ยาก เพราะให้คุณแม่เบ่งไปได้แค่ 6-7 ทีก็หมดแรงซะแล้ว อันนี้ก็จะเรียกกันว่าหมดแรงเบ่ง หลังจากนั้นไปแล้วแรงเบ่งก็จะแผ่วลงไปเรื่อยๆ หรือถ้าหากมีสถานการณ์อื่นมาเร่งให้จบเร็ว เช่นอยู่ๆหัวใจเด็กในท้องก็เต้นช้าลง หรือเต้นไม่สม่ำเสมอ ส่ออาการว่าหนูไม่ไหวแล้ว เริ่มมีอาการขาดออกซิเจนแล้ว กรณีนี้ก็ต้องรีบให้คลอดเสร็จสิ้นโดยเร็วด้วยเหมือนกัน

 

แล้วจะช่วยคลอดยังไงดีล่ะ...! 

หากคุณแม่เบ่งไม่ออก หรือเบ่งมาตั้งนานจนหมดแรงแล้ว ...

ตัวช่วยตัวแรก...คุณหมอก็จะให้คุณพยาบาลที่ตัวบึ๊กๆแข็งแรงหน่อยช่วยออกแรงดันยอดมดลูกตามจังหวะการเบ่ง สองแรงแข็งขันทั้งแรงเบ่งทั้งแรงดันก็สามารถช่วยให้คลอดออกมาได้ง่ายขึ้น การช่วยดันยอดมดลูก หรือบางทีก็เรียกกันว่าช่วยดันก้นเด็กก็ต้องทำกันอย่างถูกวิธีด้วยนะครับ คือต้องช่วยดันเมื่อมดลูก มีการบีบตัวแข็งเต็มที่ พร้อมๆกันนั้นก็จะให้แม่ช่วยเบ่งให้เต็มที่ด้วย ตอนช่วยดันก็ให้ใช้ผ่ามือกางกว้างๆเพื่อกระจายแรงกด ออกแรงดันเพิ่มขึ้นช้าๆเมื่อมดลูกมีการบีบตัว ผ่อนแรงกดช้าๆเมื่อมดลูกคลายตัว ถ้าขึ้นไปขย่ม หรือดันไม่ถูกวิธีก็อาจทำให้คุณแม่เจ็บยอดอกเจ็บมดลูกมากๆได้ ใช้วิธีนี้ก็สามารถช่วยให้คลอดได้เยอะเหมือนกัน แต่ถ้าทั้งเบ่งทั้งดันก็ยังเบ่งไม่ออกอยู่ดี เห็นทีต้องใช้วิธีสุดท้าย

 

ถ้าเบ่งก็แล้ว ....ช่วยดันก็แล้ว....ลูกก็ยังไม่รู้ติดใจอะไรข้างใน ให้ออกก็ไม่ยอมออกซักที ก็คงต้องใช้แรงดึงช่วยอีกแรง 

แล้วจะใช้อะไรดึงออกมาดีล่ะ..?

สมัยก่อนก็คิดค้นหาวิธีกันอยู่ตั้งนานว่าจะทำยังไงดีถึงจะมีเครื่องมือที่ไปช่วยดึงหัวเด็กให้คลอดออกมาได้ หัวเด็กมันก็กลมๆเกลี้ยงๆ แถมมีไขมีมูกทำให้ลื่นจับยากอีกต่างหาก  จะเอามือล้วงเข้าไปจับหัวออกมาก็ไม่ได้  เพราะหัวเด็กก็ฟิตพอดีในช่องคลอดอยู่แล้ว ไม่มีที่พอจะให้มือล้วงเข้าไปได้หรอกครับ  สรุปแล้วก็คงต้องใช้อะไรสักอย่างที่ดูดยึดติดกับหัวของเด็กได้ แล้วก็ต้องดูดติดได้แน่นสามารถลากเด็กออกมาได้โดยที่ดูดไม่หลุดไปเสียก่อน ที่สำคัญเครื่องมือที่ว่านี้ ก็ต้องไม่ทำให้หัวลูกของเขาเสียหายเป็นรอยบอบช้ำอีกด้วย 

พวกฝรั่งช่างคิดก็เอาไปนั่งคิดนอนคิดอยู่จนผมหงอกไปทั้งหัว ลองผิดลองถูกกันเป็นสิบปี หัวดูดก็ทำออกมาหน้าตาหลายสิบแบบ บางอันก็เป็นยาง บางอันก็เป็นเหล็ก แรกๆก็ใช้ไม่ค่อยได้ผลกันหรอกครับ เพราะสมัยโน้นก็ไม่มีเครื่องมือที่สร้างแรงดูดได้แรงมากพอ อีกทั้งถ้วยดูดก็ดูดได้ไม่ค่อยติด ออกแรงดึงหน่อยก็หลุด จนเมื่อประมาณ 50 ปีที่แล้วนี่เองถึงได้ประดิษฐ์สร้างถ้วยดูดสูญญากาศที่ติดหนึบแน่น หน้าตาเหมือนถ้วยตื้นๆ มีโซ่เอาไว้ดึงที่ตูดถ้วยสำหรับใช้ดึง หลังจากนั้นก็มีการออกแบบหัวดูดออกมาหลายรุ่น แต่ก็ใช้งานสู้รุ่นดั้งเดิมที่ว่านี้ไม่ได้ ทุกวันนี้หัวดูดรุ่นโบราณนี้ก็ยังนิยมใช้อยู่กันทั่วโลก


ถ้วยดูดสูญญากาศ

ส่วนตัวเครื่องสร้างแรงสูญญากาศ เดี๋ยวนี้ก็เป็นเครื่องไฟฟ้าหน้าจอเป็นดิจิตอล แค่กดปุ่ม เครื่องมันก็จะทำงานของมันไปจนได้แรงดูดกำลังดีในเวลาที่กำหนด ปกติเราจะไม่เปิดเครื่องให้มันดูดเต็มที่เลยทีเดียวนะครับ เราจะค่อยๆเพิ่มแรงดูดทีละนิดเพิ่มแรงดูดทีละหน่อย ค่อยเป็นค่อยไป กว่าจะดูดเต็มที่ก็ใช้เวลา 6-8 นาที ซึ่งการเพิ่มแรงดูดช้าๆก็จะทำให้หัวถ้วยดูดเกาะติดศีรษะของเด็กได้ดีกว่าดูดแรงเต็มที่เลยตั้งแต่แรก

 

เครื่องดูดสูญญากาศ กับหัวดูดแบบยางซิลิโคน


คราวนี้..มาดูกันตอนโดนดูดดีกว่าว่าคุณหมอเค้าดูดกันยังไง! 

ท่าที่ใช้ในการคลอดก็เหมือนกับท่าคลอดลูกมาตราฐานนั่นเองครับ นั่นก็คือท่านอนหงายบนเตียงขาหยั่ง ก่อนที่จะใช้เครื่องดูด คุณหมอก็จะต้องอธิบายบอกกล่าวกันก่อนว่าทำไมถึงจำเป็นต้องใช้เครื่องดูด เดี๋ยวคุณแม่จะตกใจว่าทำไมถึงมีสายยางสายโน่นสายนี่เต็มไปหมด

คุณหมออาจจะบอกว่า ...คุณแม่ครับตอนนี้หมอตรวจพบว่าลูกในครรภ์กำลังมีภาวะขาดออกซิเจน ซึ่งหมอจำเป็นต้องช่วยให้คลอดให้เร็วที่สุด หากทิ้งไว้นานก็อาจมีอันตรายต่อเด็กได้.. หรือ บางสถานการณ์ที่คุณแม่เบ่งกันมาตั้งนานแล้วไม่ออกซักที ก็ต้องอธิบายให้เข้าใจก่อนทุกครั้ง พอพูดอธิบายได้แค่คำสองคำ คุณแม่ก็โวยแล้ว ..."จะดูดก็รีบดูดเร็วๆเข้า พูดมากเสียเวลา..เจ็บจะตายอยู่แล้ว" 

อธิบายกันเสร็จก็เตรียมเครื่องมือ อุปกรณ์สำคัญก็คือ ถ้วยดูดสูญญากาศ เป็นเหล็กสเตนเลสวาววับ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 5 เซนต์ ตรงด้านหลังมีท่อยางต่อออกมาไปยังเครื่องดูด ด้านหลังของถ้วยดูดก็จะมีโซ่เอาไว้สำหรับดึงด้วย 

ก่อนจะใส่ถ้วยดูด คุณหมอก็จะตรวจดูเป็นครั้งสุดท้ายอีกทีว่าหัวตะแคงอยู่ยังไง กระหม่อมอยู่ตรงไหน หัวอยู่ลึกเข้าไปแค่ไหน ดูตำแหน่งเรียบร้อยแล้วก็เอาเจ้าถ้วยหัวดูดที่ว่านี้ใส่เข้าไปในช่องคลอด คุณแม่อาจตกใจว่าใส่เข้าไปได้ไงเนี่ยอันใหญ่ตั้ง 5 เซนต์ แต่ที่จริงมันก็ไม่ยากเลยนะครับ ใส่ง่ายจะตายไป ถึงจะใหญ่แค่ไหน มันก็จะมีท่าของมัน ถ้วยดูดนี่ก็ต้องตะแคงเข้าทางด้านข้างถึงจะเข้าง่าย ครอบเข้าไปตรงๆไม่มีทางทำได้หรอกครับ พอตะแคงเข้าไปแล้วก็วางถ้วยดูดให้คว่ำอยู่ตรงแนวกลางค่อนไปทางทุยทางด้านหลังของหัว โดยพยายามหลีกเลี่ยงไม่ติดถ้วยดูดแถวกระหม่อม เล็งได้ที่ดี กดถ้วยให้สนิทกับหนังศีรษะ แล้วก็เริ่มเปิดเครื่องดูดเลยครับ แล้วถ้าจะใช้เครื่องดูดก็ต้องใจเย็นๆ เพราะขั้นตอนการใช้งานของเจ้าเครื่องดูดนี่มักจะชักช้าไม่ทันใจ คือ มันต้องดูดแรงน้อยๆก่อน แล้วค่อยๆเพิ่มแรงดูดขึ้นทีละนิดทีละหน่อย จนได้แรงดูดเต็มที่ใช้เวลารวมแล้วประมาณ 6-8 นาที ที่ต้องเพิ่มแรงดูดช้าๆก็เพราะตัวถ้วยจะดูดหนังหัวของลูกเข้าไปอยู่ในถ้วยช้าๆ จนสุดท้ายแล้วหนังหัวตรงนั้นก็จะเป็นรูปถ้วยติดแน่นอยู่กับด้านในถ้วยด้วยแรงสูญญากาศ ซึ่งก็จะติดได้แน่นมากทีเดียว ช่วงที่รอนี่แหละครับที่ต้องฝึกความอดทนกันหน่อย หากรีบร้อนเกินไปถ้วยก็จะติดไม่แน่น ดึงแล้วก็มักหลุดง่าย ต้องเสียเวลาเริ่มต้นดูดกันใหม่ แล้วถ้าหากดึงแล้วหลุด ดึงอีกหลุดอีกก็อาจมีผลทำให้เกิดรอยแผลบนหนังศรษะเด็กได้

 

หลังจากติดหัวดูด เปิดเครื่องดูด จนแรงดูดได้ที่ดีแล้ว ก็จะจับโซ่ที่ติดอยู่กับก้นถ้วยดูด ลองดึงทดสอบดู ดูว่าติดสนิทมั๊ย มีเสียงลมรั่วตรงไหนบ้าง ขั้นต่อไปก็ต้องเตี๊ยมคุณแม่ไว้ให้พร้อม ...คุณแม่ครับ คราวนี้ต้องออกแรงช่วยกันหน่อยนะครับ พอมดลูกแข็งตัวแล้วให้ออกแรงเบ่งเต็มที่เลยนะครับ ...เดี๋ยวถึงเวลาเบ่งแล้วคุณแม่ไม่ยอมเบ่ง ให้หมอดึงอยู่คนเดียวก็กินแรงกันเปล่าๆ เดี๋ยวหมอหมดแรงไปซะก่อนก็ดึงไม่ออกกันพอดี

 

ถ้าคุณแม่ช่วยกันเบ่งดีๆ บวกกับแรงดึงของคุณหมอ “สองแรงแข็งขัน” อาจจะมีคุณพยาบาลมาช่วยดันท้ายเด็กอีกแรง เป็น “สามแรงช่วยกัน” ส่วนมากก็เบ่งกันทีสองทีก็ออกแล้ว ส่วนใหญ่แล้วก็สามารถคลอดได้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี แต่บางครั้งเคราะห์หามยามร้าย ดึงเท่าไหร่ก็ดึงไม่ออก เด็กอาจจะตัวโตเกินไป หรือเชิงกรานอาจจะเล็กเกินไป มีเหมือนกันที่ยอมแพ้ ไม่ออกก็คือไม่ออก ยังไงมันก็ไม่ออกก็ต้องกลับไปช่วยผ่าออกทางหน้าท้องแทน …แต่แบบนี้เท่าที่ผ่านมาก็เจอน้อยมากๆๆๆ

 

ไม่ว่าจะคลอดเอง หรือคลอดโดยใช้เครื่องดูดสูญญากาศ ก็ต้องตัดฝีเย็บเหมือนกันครับ แต่ก็ทำใจไว้ได้เลยว่าคุณหมออาจจะตัดฝีเย็บกว้างกว่าปกติอีกนิดหน่อย จะได้เบ่งออกมาได้ง่ายขึ้น แล้วไม่ต้องกลัวครับเดี๋ยวหมอก็เย็บกลับเข้าที่ให้เหมือนเดิม การดูแลแผล ดูแลส่วนอื่นๆในช่วงพักฟื้นหลังคลอดก็ไม่ค่อยแตกต่างกันกับคลอดปกติหรอกครับ อยู่ในโรงพยาบาล หรือพักฟื้นอยู่บ้านก็ดูแลเหมือนๆกับการคลอดปกตินั่นแหละครับ

 

พูดถึงลูกบ้างดีกว่า เพราะคนโดนดูดน่ะมันคือลูก หัวดูดมันไม่ได้ไปดูดที่ตรงไหนของแม่เลย เด็กที่โดนดูดออกมาตรงบริเวณที่โดนดูดก็จะเป็นรอยจากการดูดได้ ถ้าดูดได้นิ่มนวลดี ดึงออกง่ายๆไม่ยากเย็นก็อาจเป็นรอยแค่วงแดงๆนูนๆนิ่มๆนิดหน่อย แล้วก็หายได้เองในสองวัน ..แต่ถ้าดูดยากดูดเย็น หรือดึงแล้วหลุด หลุดแล้วใส่ใหม่ ดึงๆหลุดๆ หัวของเด็กก็จะดูน่วมบวมไปหมด ตรงรอยดูดก็อาจจะเป็นแผลถลอกได้ แต่อย่างไรก็ตามก็มักจะช้ำแต่แค่หนังหัวภายนอกเท่านั้น ส่วนสมองมันอยู่ใต้กระโหลกแข็งๆอีกทีก็เลยไม่ค่อยเจอว่ามีผลกระทบต่อสมองซักเท่าไหร่ แต่ก็เคยมีพบเหมือนกันครับที่ทำให้เกิดเลือกออกในสมองได้ แต่มันก็เกิดขึ้นน้อยมากจน ไม่ต้องเก็บมาวิตกหรอกครับ


รอยนูนจากการดูด โดยมากก็มักจะยุบหายไปใน 48 ชั่วโมง
 

แล้วถ้าไม่อยากถูกดูดจะทำยังไงดีล่ะ ...เรื่องนี้ใครจะไปรู้ว่าตอนเบ่งมันจะออกหรือไม่ออกล่วงหน้าได้ล่ะครับ แต่ถ้าหากคุณแม่ดูแลตัวเองดี ควบคุมอาหารการกิน ไม่ให้แม่อ้วนจนเกินไป ลูกก็ตัวไม่ใหญ่จนเกินไป เอาแค่ประมาณ 3 กิโลก็พอแล้ว ไม่ใช่ว่าบำรุงให้ลูกตัวใหญ่ๆแล้วจะได้แข็งแรงเสมอไปหรอกครับ ถึงตอนเบ่งไม่ออกแล้วจะรู้สึก ตอนท้องก็ไม่ใช่ว่านั่งๆนอนๆเป็นคุณนายทั้งวัน ต้องหมั่นกายบริหารบ้าง เข้าคอร์สอบรมการออกกำลังกาย ฝึกการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ฝึกการเบ่งให้คล่อง พอถึงเวลาคลอดจริงก็พยายามเอาที่ฝึกนั่นมาใช้นะครับ ส่วนมากถึงเวลาคลอดจริงๆมักจะลืมหมดทุกที 

ในระหว่างการคลอด ตอนช่วงสุดท้าย บางทีคุณแม่ก็อาจมีความรู้สึกอยากจะเบ่งทั้งๆที่ปากมดลูกยังเปิดไม่หมดดีด้วยซ้ำ พยายามอดทนหน่อยนะครับ อย่าไปเบ่งในเวลาที่ไม่ควรเบ่ง นอกจากจะทำให้หมดแรงข้าวต้มไปก่อนแล้ว บางทียังทำให้ปากมดลูกบวม ยิ่งคลอดยากกันไปใหญ่ 

ถึงแม้ว่าบางทีปากมดลูกเปิดหมดแล้ว แต่หัวลูกยังอยู่ค่อนข้างสูง ก็ยังไม่ให้เบ่งเหมือนกันครับ ถ้าเบ่งตอนนี้อาจต้องเบ่งเป็นสิบครั้งกว่าจะออก ใจเย็นๆรอให้มดลูกบีบตัวขับดันให้หัวของลูกเลื่อนต่ำลงมาเรื่อยๆ จนหัวของลูกลงมาอยู่ปริ่มๆปากช่องคลอดพอดี ตอนนี้แหละให้รวบรวมพละกำลังทั้งหมดที่มี พอมดลูกบีบตัวเต็มที่ก็หายใจเข้าลึกๆ กลั้นลมหายใจไว้ ก้มหน้าคางชิดอก มือจับหลักข้างเตียงไว้ดึงเข้าหาตัว แล้วก็เบ่งยาวๆๆ ...อื้ด..อื้ด..เบ่งสักสองสามทีก็ออกแล้ว ง่ายจะตายไป ..

เบ่งออกมาเองมันน่าภูมิใจจะตายไป แถมไม่ต้องดูดให้ลูกเจ็บหัวด้วย ....คราวหน้ามาคุยกันต่อเรื่องการใช้คีมช่วยคลอดนะครับ แค่หมอพูดว่าจะใช้คีมดึงลูกออกมา คุณแม่ก็กลัวกันจนขาสั่นแล้วล่ะ/.

ใช้คีมช่วยคลอด

ความคิดเห็น