ใช้คีมช่วยคลอด

 

ย่างที่บอกไว้คราวก่อนแล้วไงครับว่า พอหมอบอกว่าจะใช้คีมช่วยคลอด คุณแม่ก็คงกลัวกันขาสั่นแล้ว พูดถึงคีมช่วยคลอดหลายๆคนก็คงหลับตานึกถึงเครื่องมือเครื่องไม้ที่คุณสามีใช้ทำงานช่างงานซ่อมที่บ้าน นึกภาพว่าเบ่งไม่ออกคุณหมอก็จะเอาคีมที่เป็นเหล็กเข้าไปคีบแล้วดึงเอาเด็กออกมา นึกดูแล้วน่าหวาดเสียวจะตายไป

แต่คีมที่คุณหมอใช้ทำคลอดมันก็ไม่ได้มีหน้าตาเหมือนคีมที่นึกเอาไว้หรอกครับ การใช้คีมช่วยคลอด ในภาษาอังกฤษเขาจะเรียกว่า Forceps Extraction คีมจะมีลักษณะเป็นเหล็กสเตนเลสเนื้อดีเรียบลื่นวาววับ(แพงด้วย) มีขาสองข้างถอดแยกจากกันได้ มีที่ล็อคกันได้ตรงกลางเป็นจุดหมุน แต่ละข้างก็จะยาวประมาณ สี่สิบเซนติเมตร มันจะยาวมากกว่าคีมที่ใช้กันทั่วๆไปมาก ปลายด้านหนึ่งเป็นด้ามจับ ส่วนอีกด้านหนึ่งจะประกอบกันแล้วจะจับตามความโค้งของศีรษะเด็กได้พอดี อธิบายมาตั้งนาน แต่รับรองได้ว่านึกภาพกันไม่ออกหรอกครับ เลยต้องเอารูปมาให้ดูกันด้วย




คีมช่วยคลอดที่ว่านี้มันก็ไม่ได้เป็นของสมัยใหม่ที่เพิ่งมีใช้กันตอนนี้นะครับ ว่าไปแล้วเรื่องราวของมันลึกลับยาวนานยิ่งกว่าเรื่องแฮรี่พอตเตอร์ซะอีก ถ้าสร้างเป็นหนังได้คงจะชื่อเรื่องว่า “ความลับแห่งคีมแชมเบอร์เลน” เรื่องราวความลับของเจ้าคีมตัวนี้ก็มีใช้ตกทอดกันมาตั้งแต่สมัยก่อนคริสตกาลโน่นแน่ะ เริ่มใช้กันมากในพวกแขกฮินดูโบราณ หน้าตาของคีมก็จะเหมือนที่คีบขวดนมที่เราใช้กันเดี๋ยวนี้นั่นเองครับ ต่อมาพวกอียิปต์โบราณก็เอาไปใช้ต่อ ถ่ายทอดมาถึงกรีกโบราณ โรมันโบราณ สมัยพระนางคลีโอพัตรานั่นก็มีใช้ แต่ก็ยังไม่เคยขุดค้นเจอคีมช่วยคลอดของสมัยก่อนเลยซักอัน หลักฐานช่วงนี้ก็ขาดหายไป มามีหลักฐานบันทึกชัดเจนอีกทีก็สมัยศตวรรษที่ 10 โน่นแน่ะ


หลังจากนั้นการใช้คีมช่วยคลอดก็เงียบหายสาบสูญไปหลายร้อยปี ไม่มีใครรู้เรื่องเกี่ยวกับการใช้คีมช่วยคลอดอีกเลย จนมาถึงศตวรรษที่ 16 การใช้คีมช่วยคลอดก็กลับมาโด่งดังอีกทีที่อังกฤษ โดยตระกูลแชมเบอเลน ซึ่งไม่รู้แกไปขุดค้นเจอเจ้าคีมช่วยคลอดนี้ที่ไหนทั้งๆที่มันสาบสูญไปกว่า 600 ปีแล้ว ตระกูลนี้ก็เป็นตระกูลหมอตำแยเก่าแก่ เวลาเจ้านายใหญ่โตจะคลอดลูกก็ต้องพึ่งพาตระกูลแชมเบอร์เลนกันทั้งนั้น การคลอดลูกในสมัยนั้นก็จะทำในห้องที่ห้ามใครเข้าออกไปรบกวน จะทำคลอดยังไงก็เป็นความลับของตระกูลเท่านั้น ...ความลับเรื่องคีมช่วยคลอดก็อยู่กับตระกูลนี้มาหลายรุ่นเป็นเวลากว่าร้อยปี

จนวันนึงลูกหลานตระกูลนี้เกิดถังแตก แต่ก็กลัวว่าความลับของคีมช่วยคลอดจะรั่วไหลในอังกฤษ ก็เลยหอบหิ้วเจ้าคีมช่วยคลอดนี้ไปปารีสเพื่อประกาศขายความลับของคีมแชมเบอร์เลน ตอนนั้นบังเอิญที่ปารีสก็มีหญิงสาวนางนึงเกิดเจ็บท้องคลอดมาสามวันสามคืนแล้วก็ยังคลอดไม่ออกเสียที นายแชมเบอร์เลนคนนี้ก็เลยประกาศว่าเขาสามารถทำคลอดผู้หญิงคนนี้ได้ภายใน 8 นาที ...แต่ด้วยความโชคร้าย ผู้หญิงคนนี้เขาใช้คีมเข้าไปช่วยคลอดใช้เวลากว่าสามชั่วโมงก็ไม่สามารถทำคลอดออกมาได้ 

สุดท้ายผู้หญิงคนนี้ก็มดลูกแตกตายในวันรุ่งขึ้น เขาก็เลยต้องหอบหิ้วคีมช่วยคลอดกลับอังกฤษไปด้วยความอับอายขายหน้า (ตอนนั้นอาชีพทนายความยังไม่มีมั๊ง ไม่งั้นคงโดนฟ้องไปแล้ว) ..พอไปถึงอังกฤษก็เอาคีมตัวนี้ใส่กล่องไม้ไปเก็บไว้ในห้องใต้หลังคาของปราสาท ปล่อยทิ้งไว้จนวันเวลาผ่านไป...

ห้าสิบปีต่อมา ตอนนั้นก็แก่ชรามากแล้ว เขากลับไปปารีสอีกครั้ง แต่ก็ได้รับการปฏิเสธจากหมอที่นั่นอีกเช่นเคย ด้วยความท้อแท้ก็เลยต้องออกจากเมืองเดินทางไปเรื่อยๆ แต่สุดท้ายที่อัมสเตอร์ดัม หมอคนนี้ก็สามารถใช้คีมช่วยคลอดนี้ทำคลอดหญิงคลอดยากได้ประสบความสำเร็จ  คีมช่วยคลอดก็เลยแจ้งเกิด โด่งดังตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา

คีมต้นแบบที่อัมสเตอร์ดัมอันนั้นก็ทำให้ความลับที่แอบซ่อนกันมาหลายร้อยปีกลายเป็นความไม่ลับไปซะแล้ว มีหมออีกหลายคนประดิษฐ์ปรับปรุงคีมช่วยคลอดออกมาหลากหลายรูปแบบ ถึงวันนี้ก็มีกว่า 600-700 ชนิดแน่ะ แต่ที่นิยมใช้กันจริงๆก็มีไม่กี่แบบหรอกครับ



เล่าเรื่องตำนานของคีมช่วยคลอดแก้เบื่อ บางทีอ่านอะไรที่เป็นเรื่องวิชาการล้วนๆนานๆก็น่าเบื่อเหมือนกัน ..ไม่น่าเชื่อเลยนะว่า คีมช่วยคลอด มี่หมอคลอดลูกอย่างเราใช้กันอยู่ทุกวี่ทุกวัน จะมีเรื่องราวความเป็นมายาวนานตั้งแต่สมัยพระเยซู แถมยังตื่นเต้นซับซ้อนยิ่งกว่าเรื่องจอกศักดิ์สิทธิ์ในหนังเรื่องอินเดียน่า โจนส์ซะอีก .. มันเป็นโบราณวัตถุจริงๆ

คีมช่วยคลอด ชื่อของมันก็บอกอยู่แล้วนะครับว่า เอาไว้สำหรับช่วยให้สามารถคลอดลูกออกมาได้ หน้าตาของมันอธิบายยากจริงๆ ถ้าไม่เห็นของจริง ให้นึกภาพยังไงก็คงนึกไม่ออก ดูรูปเอาเองก็แล้วกัน ดูแทบไม่น่าเชื่อเลยว่าจะสามารถเอาใส่เข้าไปในช่องคลอด แล้วคีบเอาหัวเด็กออกมาได้

แต่ก็ไม่ใช่ว่าคิดอยากจะคีบมันออกมาก็คีบกันได้ง่ายๆนะครับ จะใช้คีมช่วยคลอดเมื่อมีเหตุจำเป็นจริงๆเท่านั้น เหตุที่ว่าก็คล้ายๆกับในการใช้เครื่องดูดสูญญากาศที่เล่าให้ฟังในบทที่แล้ว ซึ่งก็คือ การคลอดชักจะเนิ่นนานจนเกินปกติ เบ่งแล้วเบ่งอีกก็ยังคลอดไม่สำเร็จเสียที ช่วยดันยอดมดลูกแล้วก็ยังไม่สำเร็จ หรือบางทีก็อาจมีเหตุฉุกเฉินที่ต้องช่วยทำคลอดให้เด็กออกมาให้เร็วที่สุด อย่างในกรณีที่เด็กมีอาการขาดออกซิเจน ปล่อยทิ้งไว้ไม่คลอดซะทีเดี๋ยวจะมีอันตรายต่อเด็กได้ โดยเฉพาะผลที่มีต่อสมอง ดังนั้นหากพบว่าเด็กมีอาการขาดออกซิเจนก็ต้องช่วยทำคลอดออกมาให้เร็วที่สุดไม่ว่าจะด้วยวิธีใด

ในกรณีที่ปากมดลูกยังเปิดไม่หมด จะให้คลอดออกมาเองก็คงไม่ได้ ดังนั้นหากพบว่าทารกในครรภ์มีการขาดออกซิเจนถ้าจะรอให้ปากมดลูกเปิดหมดแล้วคลอดเองก็คงต้องใช้เวลาอีกนาน ทารกในครรภ์คงขาดออกซิเจนไปจนขาดใจเรียบร้อยไปแล้ว ในกรณีนี้ก็คงต้องรีบช่วยผ่าตัดคลอดสถานเดียว

แต่ถ้าปากมดลูกเปิดหมดแล้ว หัวเด็กลงมาต่ำแล้ว อยู่ๆหัวใจเด็กที่เต้นอยู่ดีๆก็เกิดเต้นอ่อนระทวยขึ้นมา นี่ก็เป็นสิ่งบอกเหตุว่ามีการขาดออกซิเจนแล้วนะ อาการขาดออกซิเจนตอนใกล้คลอดโดยมากก็มักเกิดจากสายสะดือพันคอ ตอนอยู่ในท้องดีๆก็ไม่มีปัญหาหรอกครับ สายสะดืออยากจะพันก็พันไป เพราะโดยมากมักจะพันคล้องหลวมๆเท่านั้น แต่พอเด็กเลื่อนต่ำลงมาเรื่อยๆที่พันอยู่ดีดีก็จะรั้งตึงแน่นขึ้นเรื่อยๆเหมือนถูกแขวนคอ ยิ่งเด็กเลื่อนลงมาใกล้คลอดเท่าไหร่ สายสะดือมันก็ยิ่งพันรัดแน่นขึ้นเท่านั้น

ถึงตอนนี้ก็ต้องรีบช่วยให้คลอดให้เร็วที่สุดแล้วครับ แต่จะให้ผ่าท้องคลอดก็ใช่ที่เพราะเกือบจะออกอยู่แล้ว หาวิธีช่วยให้คลอดออกมาเองดีกว่า ก็มีเครื่องดูดสุญญากาศกับคีมช่วยคลอดนี่แหละครับ แต่จะเลือกใช้อันไหนก็แล้วแต่เหตุการณ์ แล้วแต่ความถนัด 

การใช้เครื่องดูดสุญญากาศเป็นหัตถการที่ต้องใช้เวลาค่อนข้างมาก กว่าจะใส่หัวดูด กว่าจะเปิดเครื่องดูดจนได้แรงดูดที่กำหนด นับๆดูแล้วอย่างเร็วก็ 6 นาที อย่างช้าหน่อยก็ 8 นาที แต่ถ้าใช้คีมช่วยคลอดก็ใช้เวลาน้อยกว่าเยอะ ใส่คีมปั๊บ จับล็อคปุ๊บ เช็คตำแหน่งให้ดี แล้วก็ดึงออกมาได้เลย เร็วๆหน่อยใช้เวลาไม่ถึงนาทีด้วยซ้ำไป

แต่การใช้คีมช่วยคลอดก็มีข้อจำกัดที่ว่าหัวเด็กต้องอยู่ในแนวตรงกลางเท่านั้น อาจจะเอียงซ้ายขวาได้นิดๆหน่อยๆเท่านั้น ถ้าหัวตะแคงมากๆ หรืออยู่ในแนวขวางก็จะใช้คีมไม่ได้ แต่ถ้าหากใช้เครื่องดูด เด็กจะตะแคงหัวไปซ้ายไปขวาได้ทั้งนั้น ขอให้เอาหัวลงมามีที่ให้ดูดเป็นใช้ได้ ดูดแล้วดึงไปหมุนไปก็ไม่มีใครว่า

สุดท้ายก็ต้องขึ้นกับความชำนาญของหมอด้วยนะครับ โรงเรียนแพทย์บางที่ก็ชอบใช้เครื่องดูดสูญญากาศ แต่บางที่ก็ชอบใช้คีมคีบ แต่ก็ต้องพิจารณาตามเหตุเฉพาะหน้าตอนนั้นมากกว่า

สมมติว่าตอนนี้คุณแม่กำลังนอนบนเตียงคลอด ขาแยกจากกัน กำลังเบ่งหน้าดำหน้าแดง แต่ก็ไม่ออกซะที เครื่องฟังเสียงหัวใจเด็กก็ได้ยินเสียงหัวใจเต้นช้าลงเป็นช่วงๆ บางทีเต้นช้าจนใจหายเหลือแค่แปดสิบครั้งต่อนาทีเท่านั้นเอง คุณหมอตรวจดูแล้วหัวเด็กก็ลงมาต่ำดี หัวก็อยู่ในแนวก้มหน้าตั้งตรงดี เห็นท่าจะใช้คีมคีบออกมาจะง่ายสุด เร็วสุด ปลอดภัยที่สุด...หลังจากบอกกล่าวเล่าแจ้งให้คุณแม่เข้าใจแล้วคราวนี้ก็ถึงภาคปฏิบัติแล้ว ...มาดูซิว่าเขาเอาคีมเข้าไปคีบหัวเด็กออกมาได้ยังไงกัน

คีมช่วยคลอดหนึ่งอันก็จะมีสองขาถอดแยกออกจากกันได้ เวลาใส่คีมเข้าไปในช่องคลอดก็ต้องใส่แยกกันทีละข้างนะครับโดยจะใส่ข้างซ้ายก่อน แล้วตามด้วยข้างขวา ตรงกลางจะเป็นที่สำหรับขาสองข้างล็อคกันได้ เวลาใส่คีมแต่ละข้างคุณหมอจะสอดนิ้วนำเข้าไปก่อนเข้าไปอยู่ระหว่างผนังช่องคลอดกับหัวของเด็ก ใช้มืออีกข้างจับด้ามคีมสอดเข้าไปตามแนวของนิ้วจนคีมเข้าไปอยู่ด้านข้างของหัวเด็กพอดี อีกข้างก็ใส่เหมือนกัน พอล็อคกันแล้วมันจะบีบจับหัวเด็กได้พอดี



การใช้คีมช่วยคลอดต้องใส่คีมนี้ให้ถูกตำแหน่งจริงๆนะครับ เวลาใส่ครบสองข้างแล้ว ล็อคด้ามสองข้างเข้าหากันแล้วก็ต้องสอดนิ้วเข้าไปตรวจดูว่าคีมอยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้องหรือเปล่า คีมต้องจับด้านข้างของหัวเด็กพอดี ถ้าใส่ไม่ดี ไม่ถูกตำแหน่งก็จะไปบีบโดนส่วนอื่นๆของใบหน้า เป็นรอยกดรอยแผลได้ การใช้คีมก็เลยต้องระวังเรื่องตำแหน่งการจับของคีมให้ดีที่สุด ก็เอาเหล็กแข็งๆไปจับเนื้อเด็กนิ่มๆนี่ครับ แต่ก็มีให้เห็นบ่อยๆเหมือนกันที่ใช้คีมช่วยคลอดแล้วเป็นแผล หรือเป็นรอยที่หน้าเด็กได้ แต่ก็ไม่ต้องกลัวนะครับ เพราะรอยที่เกิดขึ้นก็มักจะหายได้เองในเวลาไม่นาน ...เด็กกำลังขาดออกซิเจนอยู่ช่วยให้เด็กคลอดออกมาก่อนดีกว่า เป็นรอยนิดๆหน่อยๆก็อย่าไปคิดมากเลยครับ

หลังจากตรวจดูตำแหน่งการจับของคีมดีแล้ว ตอนนี้ก็ถึงตอนสำคัญแล้วครับ คุณหมอก็จะจับด้ามของคีมช่วยคลอดให้มั่น บีบที่ด้ามของคีมเพื่อให้คีมจับหัวเด็กได้กระชับ รอจนคุณแม่เริ่มมีแรงเบ่ง ถึงตอนนี้ก็ออกแรงดึงพร้อมๆกัน พอจะคลอดก็ตัดฝีเย็บเหมือนการคลอดปกติ พอหัวของเด็กคลอดแล้วก็เอาคีมออกทีละข้างแล้วทำคลอดต่อเหมือนปกติ

ดูมันเหมือนง่ายนะครับ แต่ที่จริงแล้วการใช้คีมช่วยคลอดต้องอาศัยทักษะความชำนาญมากกว่าการใช้เครื่องดูดมาก เครื่องดูดสูญญากาศใส่ไม่ยากใช้ไม่ยาก เด็กนักเรียนแพทย์ก็ทำได้ แต่ถ้าเป็นคีมช่วยคลอด ใส่ไม่เข้าก็มี ใส่แล้วล็อคไม่ได้ก็มี ใส่แล้วจับหัวเด็กได้ไม่พอดีก็มี การใช้คีมช่วยคลอดเลยดูเหมือนหัตถศิลป์ หมอที่ใช้คีมเก่งๆเวลาทำคลอดก็จะดูนิ่มนวลท่าสวยไม่มีติดขัด แป๊บเดียวก็คลอดเรียบร้อยแล้ว

ถึงเวลาต้องคลอด ยังไงคุณหมอก็ต้องช่วยให้คลอดออกมาจนได้แหละครับ แต่ถ้าเบ่งออกมาได้เองก็คงจะดีกว่า ดังนั้นตอนคลอดคุณแม่ต้องพยายามออกแรงตั้งใจเบ่งให้เต็มที่ ถึงแม้จะเจ็บหน่อยก็ต้องพยายามเบ่งนะครับ เพราะถึงตอนคลอดแล้วถ้าคุณแม่ไม่ช่วยออกแรงเบ่งเลย ก็ไม่มีทางคลอดได้ง่ายๆหรอกครับ มีคุณแม่อีกหลายคนที่ถึงเวลาเบ่งแล้ว เกิดปัญหาว่าเบ่งไม่เป็น เบ่งสั้นไปบ้าง เบ่งขึ้นหน้าบ้าง พอเบ่งนานๆเข้าก็มักจะเหนื่อย หมดกำลังใจที่จะเบ่ง สุดท้ายก็ต้องมาจบลงที่ใช้เครื่องดูด หรือไม่ก็ใช้คีมคีบดึงออกมา

ผู้หญิงเราเกิดมาก็ไม่ได้เบ่งเป็นกันทุกคนนะครับ อย่าไปคิดว่าถึงเวลาจะคลอดมันก็เบ่งของมันได้เองนะครับ ถึงเวลาจริงๆก็ท่าดีทีเหลวซะเยอะ เดี๋ยวนี้แทบจะทุกโรงพยาบาลก็จะมีการสอนการอบรมกันก่อนว่าจะต้องเตรียมตัวคลอดกันยังไง มีการฝึกการออกกำลังกาย ฝึกหายใจ สำคัญที่สุดก็ฝึกเบ่งนี่แหละ ถ้าเบ่งได้ดี เบ่งเก่งๆเบ่งดีดีทีสองทีก็ออกแล้ว..คลอดลูกใครบอกว่าเรื่องยาก ใช่มั๊ยครับ/.

ความคิดเห็น