แท้งคุกคาม..เรื่องต้องลุ้น

 



หลายๆคนคงสงสัยกันว่า“ความเป็นแม่”ของเรานั้นเริ่มต้นกันตั้งแต่เมื่อไหร่?   คนส่วนมากมักจะคิดว่าความเป็นแม่นั้นเริ่มต้นหลังจากที่ให้กำเนิดลูกออกมาแล้ว  แต่ตามความรู้สึกของผมแล้ว ความเป็นแม่เริ่มต้นทันทีเมื่อรู้ว่าตัวเองตั้งครรภ์ รู้ว่ามีลูก รู้ว่ามีชีวิตอีกชีวิตหนึ่งอยู่ในตัวเรา ... 


เวลาที่ทำอุลตร้าซาวด์ คุณแม่ที่เพิ่งจะมาฝากครรภ์ ได้เห็นตัวอ่อนในท้อง ได้ยินเสียงหัวใจเด็กเต้น ...ก็บอกคุณแม่ทุกครั้งว่า “จำวันนี้ไว้นะครับ วันที่ได้เห็นชีวิตลูกเป็นครั้งแรก ได้ยินเสียงหัวใจลูกเต้นเป็นครั้งแรก จำความรู้สึกตอนนี้เอาไว้”  เพราะมันเป็นความรู้สึกดีดีในชีวิตที่ควรจดจำ คุณแม่หลายคนมีน้ำตาเอ่อล้น  รับรู้ความรู้สึกของความเป็นแม่ตั้งแต่วินาทีนั้น มีความรู้สึกมีห่วง ความรู้สึกที่ต้องรัก  ดูแล และปกป้องเกิดขึ้นมาเองโดยสัญชาติณาน อันนี้แหละครับที่ผมถึงบอกว่า “ความรู้สึกของความเป็นแม่เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อรู้ว่าตั้งครรภ์”  ..

เมื่อตั้งครรภ์..คุณแม่ทุกคนก็มักคาดฝันแต่สิ่งที่ดีดี  ฝันถึงลูกที่จะเกิดขึ้นมาในวันข้างหน้า วันของครอบครัวที่มีความสุข  ฝันถึงวันที่ลูกจะเติบโต ..คุณแม่หลายๆคนวาดฝันไว้ยาวไกล  บางทีความฝันอาจจะยาวไกลกว่าตอนมีรักครั้งแรกด้วยซ้ำไป…!

 

แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น.......

อยู่ๆก็มีเลือดไหลซึมออกมาทางช่องคลอด  

ฝันต่างๆอยู่ๆก็มืดดับลงเป็นสีเลือดบนกระดาษชำระในฝ่ามือ!!!    

คุณแม่ทุกคนมักจะตกใจ กระวนกระวายใจเพราะมันเป็นสัญณานอันตรายอย่างหนึ่งของการตั้งครรภ์    สิ่งที่คุณแม่มักจะกังวลกันมากก็คือ กลัวว่าจะเกิดการแท้ง  กลัวหัวใจจะไม่เต้น  กลัวลูกจะเป็นอะไร จะมีอะไรพิการหรือเปล่า   ….

ถึงตอนนี้แล้วสิ่งที่ดีที่สุดก็คือ ควรรีบไปพบคุณหมอทันทีเลยดีกว่าครับ

 

เลือดออกทางช่องคลอดในระหว่างตั้งครรภ์พบได้ประมาณ 20-25 เปอร์เซ็นต์ของการตั้งครรภ์ทั้งหมด ตั้ง 1 ใน 4 แน่ะเยอะเหมือนกันนะ แต่ในจำนวนนี้จะมีเพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้นที่จะมีการแท้งตามมา…อีกครึ่งก็จะสามารถตั้งครรภ์ต่อไปได้ตามปกติ…คงต้องลุ้นกันหน่อย!

 

ในการตั้งครรภ์ปกติ บางครั้งในช่วงแรกๆก็อาจมีเลือดซึมออกมาทางช่องคลอดได้  ออกเพียงนิดเดียว สีแดงเรื่อๆไม่เข้มมาก  ออกนานวันสองวันแล้วก็หายไปได้เอง มักเกิดขึ้นในช่วง 15-19 วัน หลังการปฏิสนธิ เลือดออกแบบนี้ถ้าเรียกกันตามภาษาไทยๆเราก็เรียกกันว่า “เลือดล้างหน้า”   ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าใครเป็นคนแรกที่ตั้งชื่อนี้  แต่ก็คาดกันว่า คนไทยเราสมัยก่อนเวลาจะทำอะไรก็มักจะมีฤกษ์มียาม ก่อนออกไปทำงานก็ต้องล้างหน้าก่อนเพื่อเป็นศรี ศิริมงคลให้กับตัวเอง พอมีการตั้งครรภ์เกิดขึ้นก็บอกว่า นี่แหละ..เลือดล้างหน้า  เด็กในท้องก็มีการเอาฤกษ์เอาชัยเหมือนกัน    แต่ถ้าพูดกันตามภาษาแพทย์แล้ว เลือดออกลักษณะนี้เกิดจากการฝังตัวของตัวอ่อนลงบนผนังของมดลูกที่อ่อนนุ่มเต็มไปด้วยเส้นเลือดมาเลี้ยงมากมาย  ถ้าเรียกตามภาษาแพทย์อย่างเป็นทางการ ก็จะเรียกว่า         Implant Bleeding” ซึ่งในระหว่างการฝังตัวนี้เอง บางทีก็ทำให้มีเลือดซึมออกมาได้

 

แต่ถ้าเลือดออกมากขึ้นกว่าปกติ  ไม่ใช่แค่หยดสองหยด   อาจจะมีอาการปวดท้องน้อยคล้ายกับปวดประจำเดือน หรือไม่มีก็ได้  ถ้าเป็นแบบนี้เราเรียกกันตามภาษาแพทย์ว่า “แท้งคุกคาม”  พอได้ยินชื่อโรค แรกๆก็ฟังดูทะแม่งยังไงชอบกล  จริงๆแล้วน่าจะเรียกว่า “ภาวะเสี่ยงต่อการแท้ง” น่าจะเข้าใจได้ง่ายกว่า

 

คำว่า แท้งคุกคาม ก็แปลมาตรงตัวจากชื่อโรคภาษาอังกฤษของมันว่า  Threatened abort”   คำว่า Threatened  แปลว่าคุกคาม  เราเลยใช้ชื่อ แท้งคุกคาม ตามชื่อดั้งเดิมของมัน  ภาวะแท้งคุกคาม หรือ ภาวะเสี่ยงต่อการแท้ง เกิดขึ้นเนื่องจากมีการลอกตัวของรกที่เกาะติดอยู่บนผนังของมดลูก  พอรกลอกตัวก็จะมีเลือดออกซึมแทรกอยู่ระหว่างตัวรกกับ ผนังมดลูก เลือดบางส่วนก็จะไหลซึมออกมาทางปากมดลูก และออกมาทางช่องคลอดในที่สุด

 

เมื่อไปพบคุณหมอ ก็จะได้รับการตรวจภายในหาดูว่าเลือดออกมาจากตรงไหนกันแน่  เพราะบางครั้งเลือดที่ออกก็อาจไม่เกี่ยวข้องใดๆกับการตั้งครรภ์ก็ได้ บางทีอุตส่าห์ตกใจแทบตาย ที่แท้ก็เป็นแค่ริดสีดวงทวาร เลือดออกมาจากก้นนี่เอง!     แต่ถ้าตรวจพบว่าเลือดที่ออกมานั้นออกมาจากภายในมดลูก คุณหมอก็จะตรวจดูต่อด้วยอุลตร้าซาวด์ เพื่อดูว่าภายในโพรงมดลูกนั้นมีถุงน้ำคร่ำ มีตัวเด็ก เห็นการเต้นของหัวใจ หรือมีสิ่งผิดปกติอย่างอื่นอะไรหรือไม่….ตรงนี้เองแหละครับที่เป็นการตัดสินการรักษา!....ลุ้นกันสุดๆก็ตอนนี้นี่แหละ

 

การตรวจอุลตร้าซาวด์ในกรณีนี้ก็มักจะใช้อุลตร้าซาวด์ผ่านทางช่องคลอด ซึ่งก็มักจะเห็นได้ชัดเจนกว่า ซึ่งก็ทำให้ช่วยในการตัดสินใจได้ดีกว่าเช่นกัน   โดยปกติแล้วเราจะเห็นถุงน้ำคร่ำจากการอุลตร้าซาวด์เมื่ออายุครรภ์ได้ 5 สัปดาห์ เห็นตัวอ่อนได้ตอน 6 สัปดาห์ เห็นหัวใจเด็กเต้นได้ตอน 7 สัปดาห์ เห็นเด็กดิ้นได้ตอน 8 สัปดาห์ และเห็นโครงสร้างทุกอย่างครบตอน 12 สัปดาห์

 

ในกรณีแท้งคุกคาม หลังจากอุลตร้าซาวด์แล้ว ถ้าตรวจพบว่าภายในมดลูกมีถุงน้ำคร่ำ แต่ไม่มีตัวเด็ก แต่อายุครรภ์ยังน้อย ถุงน้ำคร่ำก็กลมสวยดี  ถ้าคุณแม่ไม่มีเลือดออกมาก ไม่มีอาการเร่งด่วนอะไร  คุณหมอก็มักจะใจเย็นคอยดูต่อไป  

แต่ถ้าอายุครรภ์ก็เยอะแล้ว  น่าจะเห็นตัวเด็กได้แล้ว หรือถุงน้ำคร่ำยุบตัวเหี่ยวลง และแน่ใจแล้วว่าไม่มีตัวเด็กแน่ ก็จะกลายเป็น “ท้องไม่มีตัว” หรือ “ท้องลม” ซึ่งก็มักจะสิ้นสุดลงด้วยการแท้งเสมอ

 

สาเหตุที่ทำให้เกิดท้องไม่เป็นตัว หรือท้องลม นั้น ก็เกิดจากการที่ตัวอ่อนมีการสลายตัวไป ซึ่งโดยมากแล้วก็มักจะเกิดจากความผิดปกติของตัวเด็กเอง  ความผิดปกติที่ว่านี้ก็มักจะเป็นเรื่องของโครโมโซม  ถ้าจะอธิบายกันอย่างง่ายๆก็คือ ทารกในครรภ์ก็เกิดมาจากการปฏิสนธิกันระหว่าง ไข่ของคุณแม่ กับ ตัวอสุจิของคุณพ่อ ..ต่างฝ่ายต่างก็ส่งโครโมโซมมากันคนละครึ่ง  มารวมตัวกันเป็นโครโมโซมของตัวเด็กที่สมบูรณ์  มนุษย์เรามีรายละเอียดต่างๆในร่างกายมากมาย ซึ่งก็ต้องควบคุมการสร้างส่วนประกอบต่างๆนี้โดยรหัสทางพันธุ์กรรมกว่าสามพันล้านชุด แต่ถ้าหากกลไกตรงจุดนี้บกพร่อง  โครโมโซมมีไม่ครบตามจำนวน หรือมีเกินไปจากที่ควรมี  โครงสร้างส่วนต่างๆของเด็กก็จะผิดปกติไปด้วย  เด็กก็ไม่สามารถเจริญเติบโตมีพัฒนาการได้ตามปกติ ก็จะฝ่อตัวลง และสลายตัวไปในที่สุด

 

มนุษย์เรานั้นค่อนข้างจะเข้มงวดในการถ่ายทอดเผ่าพันธุ์กันมากกว่าสิ่งมีชีวิตอื่นๆมากทีเดียว สัตว์อื่นๆอาจจะออกลูกมามี สามขา สองหัว หรือมีอะไรแปลกๆที่เห็นกันบ่อยๆ แต่ของคนเรา หากมีอะไรผิดปกติไปหน่อยนึงก็จะคัดทิ้งเสมอ  จะมีความผิดปกติหลุดรอดออกมาน้อยมาก ยกเว้นว่าความผิดปกตินั้นไม่ได้มีอันตรายรุนแรงอะไร เช่น อาจมีนิ้วโป้งเกินมาเล็กๆนิดนึง  หรืออาจจะมีปากแหว่ง หรือ เพดานโหว่ ก็ยังไม่ค่อยแท้ง  เด็กที่มีความผิดปกติของโครโมโซม เช่น ดาวน์ ซินโดรม ก็จะแท้งออกไปเองกว่า เก้าสิบ เปอร์เซนต์  มีหลงเหลือคลอดออกมาไม่ถึง 10 เปอร์เซนต์ของทั้งหมด

 

แท้งคุกคามอีกกรณีหนึ่ง  คือเมื่อตรวจอุลตร้าซาวด์แล้วพบมีตัวเด็ก เห็นหัวใจเต้นชัดเจน  กรณีนี้ตัวเด็กเองมักจะปกติ เพียงแต่มีการฝังตัวของรกไม่ดีเท่านั้นเอง อย่างนี้ค่อยใจชื้นขึ้นมาหน่อย  เพราะโอกาสที่จะตั้งครรภ์ต่อไปอย่างปกติมีค่อนข้างสูง  การรักษาที่ดีที่สุดในกรณีนี้ก็คือ “นอน”   การนอนนิ่งๆ ขยับตัวน้อยๆ งดทำงานหนัก งดเดินเยอะก็จะช่วยทำให้รกค่อยๆประสานติดเข้ากับผนังมดลูกเหมือนเดิม   ลองนึกภาพดูสิครับว่าถุงน้ำคร่ำที่เกาะติดกับผนังของมดลูก ก็เหมือนเอาก้อนเยลลี่มาวางบนผ่ามือ พอเราเขย่ามือ ก้อนเยลลี่ก็จะโยเย้เด้งไปเด้งมาบนผ่ามือ   ถุงน้ำคร่ำภายในโพรงมดลูกก็เช่นกัน ยิ่งเดินมา กระโดด กระแทกกระเทือนมาก ถุงน้ำคร่ำก็จะโยกเยกเด้งคลอนไปมามากภายในโพรงมดลูก ก็ยิ่งทำให้รกเกิดการปริแยกได้มากขึ้น เลือดก็จะออกมาขึ้น หากลอกตัวออกมามากก็จะเกิดการแท้งตามมาในที่สุด  แต่ถ้าหากคุณแม่พักผ่อนเต็มที่ เดินน้อยๆ สะเทือนน้อยๆ รกก็จะเกาะติดดีขึ้น และเมื่ออายุครรภ์มากขึ้น ถุงน้ำคร่ำก็จะโตขึ้นเรื่อยๆ จนถึงอายุครรภ์ 12 สัปดาห์ ก็จะโตจนเต็มช่องว่างภายในโพรงมดลูกไม่มีที่ให้ขยับโยกเยกอีกต่อไป โอกาสแท้งหลังจาก 12 สัปดาห์จึงลดน้อยลง          ดังนั้นถ้าคุณแม่มีภาวะแท้งคุกคาม แล้วตรวจดูแล้วพบว่าลูกในครรภ์ยังดูเป็นปกติดีอยู่ ก็ควรหยุดงาน พักอยู่บ้าน อย่าทำงานเยอะ อย่าเดินเยอะ การอยู่นิ่งๆจะช่วยทำให้รกไม่ลอกตัวเพิ่มขึ้น ส่วนที่ลอกตัวไปก็จะสมานติดกลับเหมือนเดิมได้   ปกติแล้วก็จะให้นอนอยู่เฉยๆ แล้วเริ่มกลับมาทำงานเบาๆได้เมื่อเลือดหยุดออกแล้ว 48 ชั่วโมงขึ้นไป

 

ในระหว่างนี้ ก็ควรติดตามดูอาการ 3 อย่างที่สำคัญ

 

ปริมาณเลือดที่ออก 

ต้องออกน้อยลงเรื่อยๆ จนหมดไปในที่สุด ถึงจะสบายใจ  หากออกมากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ จนไหลลงมาตาหน้าขา ถือเป็นสัญญาณไม่ดี

 

เลือดสีดำ ดีกว่าเลือดสีแดง 

เลือดสีดำๆ แปลว่าเป็นเลือดของเก่าที่คั่งค้างอยู่ หรือปริมาณเลือดที่ออกมา      นั้นน้อยมากไม่มีอะไรน่ากังวล 

เลือดออกมาสีแดงสด  แปลว่า มีเลือดใหม่ๆออกมา รกกำลังลอกตัว อย่างนี้ก็ถือเป็นสัญญาณไม่ดี

 

ปวดท้องน้อย 

ถ้ามีอาการปวดท้องน้อย  ปวดบีบๆเป็นพักๆเหมือนปวดประจำเดือน อาการนี้เป็นสัญญาณที่แย่ที่สุด  มดลูกบีบตัว  ถุงน้ำคร่ำก็จะถูกบีบหลุดออกมาด้วย   ถ้ามีอาการปวดท้องเกิดขึ้นแล้วก็คงต้องทำใจเอาไว้เยอะๆ...เท่านั้นเอง 

 

ถ้ามีเลือดออกแล้ว หากคุณแม่ยังเดินเยอะ ทำงานเยอะ เลือดก็มักจะหยุดยาก ยิ่งหากมีการเบ่งท้อง มีการเพิ่มแรงดันในช่องท้อง ไม่ว่าจะจากการยกของหนัก การงัดตัวเกร็งหน้าท้องขึ้น งัดตัวเกร็งหน้าท้องลงนอน การเบ่งถ่าย ก็จะเป็นเหตุทำให้เลือดออกมากขึ้นได้  ถ้าเลือดออกมาขึ้น รกมีการลอกตัวเพิ่มมากขึ้น จนลอกตัวทั้งหมด หรือลอกตัวมากจนเลือดไม่สามารถส่งไปเลี้ยงตัวเด็กได้อย่างเพียงพอ ...สุดท้าย มันก็ต้องจบลงที่การแท้งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

 

การรักษาหลักๆของภาวะแท้งคุกคาม อย่างที่บอกสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการพักผ่อนเยอะๆ ทำงานน้อยลง  แต่ภาวะแท้งคุกคามบางกรณีก็เกิดจากการที่ รังไข่สร้างฮอร์โมนมาสนับสนุนการทำงานของรกไม่เพียงพอ ซึ่งบางครั้งคุณหมอก็อาจจะให้ฉีดฮอร์โมนโปรเจสเตอรโรน เพื่อช่วยให้รกทำงานได้ดีขึ้น ยาที่ฉีดนี้เราก็เรียกกันภาษาง่ายๆว่า “ยากันแท้ง”   ..ยาฉีดที่ว่านี้ก็ไม่ได้สามารถป้องกันการแท้งได้ทั้งหมดนะครับ  บางคนอาจจะไปโวยหมอว่า ฉีดยากันแท้งแล้วทำไมถึงยังแท้งได้ล่ะหมอ!  ก็ต้องเข้าใจกันก่อนว่า ในกรณีที่การแท้งนั้นเกิดจากความผิดปกติของตัวเด็ก เด็กมีโครงสร้างไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ จะให้ฉีดยากันแท้งร้อยเข็ม มันก็ยังแท้ง  แต่หากการแท้งนั้นเกิดจากรังไข่สร้างฮอร์โมนมาเลี้ยงรกไม่พอ การฉีดยาก็อาจช่วยได้

 

แล้วทำไม ไม่ทำยาที่ฉีดแล้วกันแท้งได้ทั้งหมดล่ะ ได้บุญนะ จะได้ไม่ต้องมาเห็นคุณแม่บางคนเสียใจน้ำตาท่วมโรงพยาบาล ....ก็อยากจะทำอยู่หรอก  แต่ถ้าเราไปยับยั้งสิ่งที่ควรแท้งไม่ให้แท้ง  อีกสิบปี ยี่สิบปีหน้า โลกเราก็คงจะเต็มไปด้วยมนุษย์กลายพันธุ์ มีสองหัว ตาเดียว สามขา สี่มือ คิดแล้ว  ก็ให้ธรรมชาติตัดสินใจเอาเองดีกว่า

 

แล้วเราจะป้องกันการแท้งในท้องต่อไปได้หรือเปล่าล่ะ  ...ไม่อยากจะแท้งอีกแล้วนะ มันเสียอารมณ์จะตาย  โดยปกติแล้วก็จะป้องกันไม่ได้ครับ เพราะเราไม่รู้หรอกว่า ท้องคราวหน้า มันจะเป็นไข่ในท้องใบไหน  ยิ่งตัวอสุจิของสามีตัวไหนยิ่งบอกยากใหญ่ เพราะสามีปล่อยลูกๆออกมาทีก็ตั้ง เป็นหลักสิบ หลักร้อยล้านตัวต่อซีซี  ออกมาทีก็หนึ่งช้อนโต๊ะ ก็รวมๆแล้วก็ประมาณ ห้า หก ร้อยล้านตัว แล้วเราจะไปรู้มั๊ยเนี่ยว่า ไอ้ตัวที่มันเจาะไข่แดงเข้าไปมันจะเป็นตัวไหน แล้วมันจะสมบูรณ์แข็งแรงมั๊ย  ที่จริงแล้วธรรมชาติตั้งใจไม่ให้เราเลือก ให้ทุกอย่างเป็นไปตามกลไกของธรรมชาติ

 

แต่มนุษย์เรา ...ชอบเอาชนะธรรมชาติ เดี๋ยวนี้เทคโนโลยี่ชีวภาคก็ช่วยให้เราสามารถเอาบางส่วนของเซลล์ตัวอ่อนมาวิเคราะห์โครโมโซมก่อนได้  แต่ก็ยังไม่แพร่หลายนัก ที่สำคัญ มันเสียเงินเยอะ..นี่แหละที่เป็นเรื่องใหญ่

 

คุณแม่ที่แท้งก็มักจะเป็นทุกข์ โทษตัวเอง เกิดความรู้สึกผิด  รู้สึกตัวเองด้อยค่าที่ไม่สามารถรักษาลูกไว้ได้ เลยขาดความเชื่อมั่น ในการตั้งครรภ์ครั้งต่อไป  ซ้ำร้ายบางทีญาติ หรือ แม้แต่สามีก็มักจะโทษเธอว่า ดูแลตัวเองไม่ดี  ทำยังไงถึงแท้งได้  เมื่อไม่มีความรู้ความเข้าใจ ก็จะคิดไปต่างๆนาๆเลย คิดไปว่าเพราะเราอดนอนหรือเปล่า เพราะเราทำงานหนักหรือเปล่า เพราะเราเครียดหรือเปล่า  ซึ่งจริง ๆ แล้วการแท้งส่วนใหญ่เกิดขึ้น โดยตัวของมันเอง  ไม่ใช่เพราะตัวแม่  แท้งท้องนี้ ก็ท้องใหม่ได้

 

คุณแม่หลายคนก็กลัวไม่กล้าท้องอีก กลัวท้องแล้วจะเกิดการแท้งอีก เลยไม่ท้องเสียเลยดีกว่า ถ้าการตั้งครรภ์แต่ละครั้งมีความเสี่ยงในการแท้ง 13% ไม่ว่าจะเป็นท้องไหน

 

ถ้าไม่อยากจะท้องแล้ว กลัวท้องแล้วจะแท้งอีก   โอกาสได้ลูก = 0%

 

แต่ถ้าท้องก็ท้อง ไม่ต้องไปกลัวอะไร ทุกอย่างเป็นเรื่องของธรรมชาติ โอกาสแท้ง ก็ 13% โอกาสได้ลูกสำเร็จตั้ง 87%แน่ะ



ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม