อยากรู้จัง...คลอดยากหรือง่าย
ตอนท้องแก่ใกล้คลอด คุณแม่ทุกคนก็คงมีเรื่องตื่นเต้นกังวลคล้ายๆกัน
โดย เฉพาะเรื่อง "การคลอด"
คุณแม่ทุกคนก็คงภาวนาในใจขอให้ลูกช้างคลอดง่ายๆนะ ขออย่าให้คลอดยากคลอดเย็นเลย
คุณแม่ที่อยากคลอดง่ายๆบางคนก็ต้องอาศัยวิธีไทยๆ
ก็คือ ไปเป่ากระหม่อม ไปลอดท้องช้างให้คลอดง่ายๆ บางคนก็ว่าให้ต้มน้ำหัวปลีกินให้คลอดง่าย
บางคนก็ว่าให้กินจับซาไท้เป้า จะได้บำรุงครรภ์แล้วทำให้คลอดง่ายด้วย
แต่ก็แปลกที่ไม่เห็นมีใครไปออกกำลังกาย
ฝึกการผ่อนคลายกล้ามเนื้อเพื่อให้คลอดง่ายเลย
จริงๆ
แล้วคุณแม่ท้องแรกแต่ละคนก็ไม่มีใครรู้หรอกว่าถึงเวลาคลอดแล้วมันจะคลอดยากหรือคลอดง่าย
แต่คุณแม่ตัวเล็กๆก็มักจะคิดว่าตัวเองน่าจะคลอดยาก
คุณแม่ตัวใหญ่ๆก็มักคิดว่าตัวเองคลอดง่าย มันก็มักเป็นเช่นนั้น
แต่บางทีคุณแม่ตัวนิดเดียวก็คลอดลูกหนักเกือบสี่กิโลได้โดยเบ่งแค่ทีเดียวก็ได้
แล้วบางทีแม่ตัวใหญ่อย่างกับช้างน้ำเบ่งลูกออกมาตัวเท่าลูกแมว แต่กลับเบ่งไม่ออก
คลอดยากก็มี ..เรื่องอย่างนี้มันก็ไม่มีอะไรที่แน่นอนร้อยเปอร์เซนต์หรอกครับ
คุณแม่ท้องสองท้องสาม
ก็มักคลอดง่ายกว่าท้องแรกๆ ลูกยิ่งเยอะทางก็ยิ่งสะดวก ก็ยิ่งคลอดง่ายขึ้น
จนบางทีก็ยังมีพูดเล่นกันบ่อยๆว่า ไอทีเดียวลูกก็ไหลออกมาแล้ว คุณแม่ท้องสามท้องสี่ก็ต้องเตรียมตัวให้ดีตอนท้องแก่ๆ
เพราะมีโอกาสที่จะมาโรงพยาบาลไม่ทันเยอะด้วยเหมือนกัน...แต่ก็อย่างที่ว่านั่นเองครับที่ไม่มีอะไรร้อยเปอร์เซนต์
เคยมีคุณแม่ท้องสองที่คลอดเองไม่สำเร็จต้องจบลงที่การผ่าตัดคลอด
ทั้งๆที่ท้องแรกก็คลอดเองสบายๆ
สมัยตอนเป็นนักเรียนแพทย์ที่ศิริราช หน้าตาก็ละอ่อนกว่านี้เยอะ ตึกคนไข้แต่ละตึกก็เก่าๆพื้นไม้ เพดานสูงกลางคืนก็มีค้างคาวบินกันพรึบพรับ อาจารย์ที่สั่งสอนมาแต่ละท่านก็ดูอาวุโสน่าเกรงขาม เรียกว่าเวลาเราเดินเข้าไปใกล้แล้ว รู้สึกเหมือนตัวหดลงมาเหลือนิดเดียว ถ้าเป็นหนังกำลังภายในก็คงเรียกท่านอาจารย์เหล่านี้ว่า ท่านปรมาจารย์เจ้าสำนัก ท่านอาจารย์เหล่านี้ก็สอนเคล็ดวิชาให้จำกันง่ายๆว่า เหตุที่ทำให้คุณแม่คลอดยาก ก็มีแค่สามอย่างเท่านั้นเอง นั่นก็คือ Power, Passage, Passenger ท่านอาจารย์ดันใช้เคล็ดวิชาภาษาอังกฤษ
แต่ก็สรุปง่ายๆว่า “จะคลอดยาก หรือคลอดง่ายมันก็อยู่แค่ 3 อย่างนี้เท่านั้น นั่นก็คือ แรงเบ่ง ทางคลอด ตัวเด็ก”
แรงเบ่ง...เบ่งไม่เป็น ยิ่งคลอดยาก
คนเราจะคลอดลูกออกมาได้ มดลูกก็ต้องมีการบีบตัว ส่งแรงให้หัวของเด็กลงไปกดขยาย เอาชนะแรงรัดตัวของปากมดลูก แรงส่ง หรือ แรงดันที่ทำให้ลูกถูกดันออกมาจากมดลูกนั้นมาจากสองส่วน
ส่วนแรกก็มา จากการบีบรัดตัวของมดลูก พอมดลูกบีบตัวปั๊บ แรงบีบจะส่งแรงดันให้หัวของเด็กไปกดถ่างขยายปากมดลูก ทำให้ปากมดลูกเปิดกว้างขึ้นเรื่อยๆ จากปากมดลูกเหมือนจุกส้มโอ ก็จะขยายกว้างขึ้นเป็น 1 เซนต์ สองเซนต์ ไปจนเปิดหมดเท่าขนาดหัวเด็ก คือ 10 เซนต์ พอปากมดลูกเปิดหมด หัวเด็กก็ผ่านออกมาเข้าสู่ช่องคลอด ตอนที่ส่วนกว้างที่สุดของหัวเด็กผ่านพ้นปากมดลูกพอดี หัวเด็กก็จะอยู่ห่างจากปากช่องคลอดประมาณ 5 เซนต์ ......5เซนต์สุดท้ายที่ไกลที่สุดในโลก มดลูกก็จะบีบตัวต่ออีกหน่อย หัวเด็กก็จะเลื่อนต่ำลงมาเรื่อยๆ จนลงมาตุงที่ปากช่องคลอด สุดท้ายมดลูกก็มาส่งเด็กได้เพียวเท่านี้เองแหละ
ต่อจากนี้ไปก็ต้องอาศัยแรงเบ่งของแม่ช่วยด้วยอีกแรง
ลำพังแรงบีบตัวของมดลูกอย่างเดียว ก็จะไม่สามารถทำให้ลูกคลอดได้
ถ้าแม่ไม่เบ่งช่วยเลย แล้วการที่หัวลูกมาตุงที่ปากช่องคลอดก็จะทำให้คุณแม่รู้สึกอยากจะเบ่งขึ้นมาเองโดยอัตโนมัติ
ไม่อยากเบ่งก็ไม่ได้อีกต่างหาก
คุณแม่บางคนก็อาจรู้สึกอย่างเบ่งตั้งแต่หัวลูกเพิ่งโผล่พ้นมดลูกออกมาเลยก็ได้
แต่ตอนนั้นหัวลูกก็อยู่ลึกเข้าไปค่อนข้างมาก ถ้าจะเบ่งก็เบ่งได้
แต่ส่วนใหญ่ก็ยังเบ่งไม่ออกหรอกครับ ที่สำคัญคุณแม่แทบทุกคนมีลมเบ่งอันจำกัด
เบ่งสัก 6-7 ทีก็หมดแรงแล้ว แรงเบ่งก็จะแผ่วลงเรื่อยๆ
จนหากไม่คลอดสักทีก็จะเกิดอาการหมดแรงเบ่งขึ้นมาดื้อๆ..เดือดร้อนหมออีกสิคราวนี้
ดังนั้น..ใจเย็นๆไว้ก่อน หมอสอนไว้! รอให้หัวลูกลงมาตุง ความรู้สึกอยากเบ่งมันท่วมท้นกว่าตอนแรกเยอะ อาศัยแรงเบ่งไม่กี่ที หัวลูกก็พุ่งปรู๊ดออกมาสบายๆ เหลือแรงเอาไว้ทำอย่างอื่นต่อได้เยอะแยะ
แรงเบ่งไม่ดีไม่ว่าจะมาจากส่วนไหน ก็ทำให้คลอดยากได้ทั้งนั้น หากมดลูก บีบตัวไม่ดี บีบห่างเกินไป บีบแรงน้อยเกินไป หรือบีบสั้นไป ปากมดลูกก็เปิดช้า เสียเวลาในการคลอดมาก คุณแม่ก็เริ่มอ่อนเพลีย หมดแรงไปก่อนที่จะออกแรงเบ่งเสียด้วยซ้ำ ดังนั้นใน ระหว่างการคลอดถ้ามดลูกให้ความร่วมมือกับคุณแม่ดี มดลูกควรมีการบีบรัดตัวประมาณทุก สามนาที บีบแรงเต็มที่ และบีบนานประมาณอย่างน้อย 45 วินาที ถ้ามดลูกบีบตัวได้ไม่ดี คุณหมอก็จะใช้ยาช่วยเร่งคลอด เพื่อทำให้มดลูกบีบตัวได้ดีขึ้น ถ้ามดลูกทำงานได้ดีแล้ว ก็คงคลอดได้ไม่ยากหรอกครับ
แรงบีบของมดลูกก็สำคัญในช่วงแรกของการเจ็บครรภ์คลอด แต่พอถึงโค้งสุดท้ายที่ต้องเบ่งออกมา แรงเบ่งของคุณแม่นี่สิที่สำคัญที่สุด ถึงเวลาต้องเบ่งแล้วคุณแม่ก็ต้องเบ่ง เพื่อให้ลูกคลอดออกมา แต่คุณแม่บางคนก็ไม่ยอมเบ่งกันดื้อๆ บางคนก็เอาแต่ร้อง บางคนเอาแต่บ่นฟูมฟาย ไม่มีแรงเบ่งๆ เบ่งไม่ไหว ต้องงอน ง้อกันตั้งนานกว่าจะมาช่วยกันเบ่งได้....ก็ต้องบอกกันก่อนว่า ถ้าแม่ไม่ช่วยเบ่ง ลูกก็ไม่มีวันได้คลอด แล้วจะให้คนอื่นเบ่งแทนก็ไม่ได้อีกต่างหาก
ถึงเวลาเบ่ง ต้องตั้งสติ ให้ดี
..นี่คือนาทีที่สำคัญที่สุดในชีวิต นาทีที่จะทำให้ลูกได้เกิดมา นาทีที่เฝ้ารอคอยมานานกว่า
9 เดือน ไม่ว่าจะเจ็บจะอึดอัดอย่างไร ต้องตั้งใจ ต้องตั้งสติ ตอนฮึดสู้
จะมัวร้องไปก็ไม่มีประโยชน์ ตั้งหน้าตั้งตาเบ่งให้ออกจบๆซะ
คลอดแล้วเดี๋ยวก็สบายเอง
จะเบ่งแบบไหนให้ถูกวิธี
ก็ลองเปิดกลับไปอ่านบทที่แล้วอีกทีก็แล้วกันนะครับ กดตรงนี้
เชิงกรานกว้าง ได้เปรียบจริงหรือ
กระดูกเชิงกรานของคนเรา เป็นส่วนของโครงสร้างที่ทำหน้าที่รับน้ำหนักเป็นหลัก ถ้าเป็นรถยนต์ก็เปรียบเหมือนช่วงล่าง แต่เชิงกรานของเรานอกจากจะต้องรับน้ำหนักแล้ว ยังต้องมีรูตรงกลางสำหรับให้เด็กลอดออกมาได้ทั้งคนอีกด้วย โพรงตรงกลางของเชิงกรานนี้ ในยามปกติทางด้านหน้าก็จะเป็นกระเพาะปัสสาวะ ตรงกลางเป็นมดลูก ด้านหลังเป็นทวารหนัก เวลาคลอดเด็กก็ต้องเป็นเคลื่อนที่จากช่องท้องผ่านโพรงตรงกลางของอุ้งเชิงกรานออกมา อุ้งเชิงกรานก็เลยเป็นเหมือนประตูทางออกของช่งท้อง ประตูใหญ่ก็ออกง่าย ประตูเล็กก็ออกยากหน่อย
เชิงกรานของผู้หญิงเรามีหลายแบบหลายรูปทรง ถ้าให้ผู้หญิงลองนอนหงายบนเตียง แล้วแยกขาชันเข่าทั้งสองข้าง แล้วลองมองจากปลายเตียงขึ้นไป ...ว้าว เห็นแต่หอยแมงภู่ตัวเบ้อเริ่ม... ขอโทษที ลืมบอกไปว่าให้ตัดเนื้อหนังมังสาออกไปให้หมด แล้วจินตนาการให้เห็นแค่กระดูกอุ้งเชิงกรานล้วนๆอย่างเดียว ช่องตรงกลางกลวงโบ๋นี่แหละที่ลูกต้องมุดผ่านออกมา เรียกตรงนี้ว่า โพรงอุ้งเชิงกราน
โพรงอุ้งเชิงกรานที่สมบูรณ์แบบจะต้องกลมกลึงรีแบนเล็กน้อย ลูกสามารถมุดลอดออกมาได้สบายๆไม่ติดขัด คุณแม่ที่สะโพกใหญ่ เชิงกรานก็จะกว้างโอ่โถงตามไปด้วย หัวเด็กก็จะผ่านออกมาได้ง่ายก็มักจะประสบความสำเร็จในการคลอดมากกว่าคุณแม่ที่เอวเล็กเอวน้อยช่องทางแคบ คุณแม่สะโพกเล็ก ก็มักมีปัญหาว่าหัวไม่ค่อยลงมาในอุ้งเชิงกราน หรือบางทีก็เรียกว่าหัวลอยนั่นเองครับ เวลาคลอดกว่าหัวจะมุดออกมาได้ก็ต้องลุ้นแล้วลุ้นอีก
ตอนคุณแม่เจ็บท้องมาโรงพยาบาล
พอเข้าห้องคลอดปั๊บ หมอก็จะตรวจภายในดูว่าหัวลงมาหรือยัง ปากมดลูกเปิดเท่าไหร่แล้ว
ตอนตรวจ ถ้าแหย่นิ้วเข้าไปนิดเดียวก็เจอหัวเด็กเลย...อย่างนี้ก็สบายมาก
โอกาสคลอดสำเร็จสูง เจ็บท้องไม่นานก็คลอดแล้ว
แต่ถ้าตรวจภายในแล้วพบว่าหัวเด็กอยู่สูงลิบ ดันมือเข้าไปสุดแล้วยังไม่ถึงหัวเด็กเลย
อันนี้เขาเรียกว่าหัวลอย บางทีก็คลอดเองได้สำเร็จ แต่โอกาสที่จะต้องผ่าคลอดก็สูง
ดังนั้นเวลาคุณหมอตรวจแล้วคุณแม่รู้สึกว่าหมอใส่นิ้วเข้าไปนิดเดียว
แล้วก็นั่งยิ้ม..อย่างนี้ก็สบายใจ หมอยิ้ม เราก็ยิ้มตามไปด้วย เดี๋ยวก็ได้คลอดแน่
แต่ถ้าหากหมอมาตรวจภายใน แล้วรู้สึกว่า นิ้วต้องเข้าไปลึกมากๆ
แถมหมอนั่งหน้านิ่วคิ้วชนกันอีกต่างหาก เห็นทีคุณแม่ต้องทำหน้านิ่วคิ้วชนกันไปด้วย
..เพราะคงอีกนานกว่าจะคลอด หรืออาจจะคลอดลำบากสักหน่อย ก็คงต้องช่วยกันลุ้นต่อไป
แต่จะใช่ว่าคนที่เชิงกรานกว้างๆแล้วจะคลอดง่ายเสมอไปนะครับ
ถ้าสะโพกกว้าง เชิงกรานกลมสมบูรณ์แบบอย่างนี้ทุกคน
หมอคลอดลูกอย่างเราก็คงไม่มีอะไรตื่นเต้นให้ทำ
คุณแม่บางคนสะโพกกว้างก็จริงแต่ดันก้นแบนแฟบ เชิงกรานก็กว้างแต่แบนตามไปด้วย
เด็กหัวกลมๆก็เลยมุดผ่านออกมาไม่ได้ หรือได้เหมือนกันแต่ก็ยากกว่าปกติ
ผู้หญิงบางคนสะโพกกว้าง
แต่โครงสร้างร่างกายใหญ่ ล่ำบึ้ก ดูดูแล้วก็น่าจะคลอดง่าย ทั้งหุ่นก็ให้
แรงก็น่าจะดี ... แต่เจอมาหลายคนกลับคลอดยากกว่าสาวหุ่นที่เล็กกว่า
ผู้หญิงหุ่นใหญ่ๆแบบนี้ อุ้งเชิงกรานก็มักมีรูปร่างหน้าตาเป็นแบบเชิงกรานแบบผู้ชาย
กระดูกก้นกบนูนสูงมากกว่าปกติ ทำให้เบียดกินเนื้อที่เข้ามาโพรงทางออกก็เลยไม่กลม
แต่เป็นรูปหัวใจแทน หรือที่เจอบ่อยๆในคุณแม่ใหญ่ล่ำบึ้กก็ประเภทที่เรียกว่า
“ขื่อกว้างคานขวาง” ก็คือคานกระดูกหัวหน่าวใหญ่กว้าง ปากมดลูกชี้ไปทางด้านหลังเยอะ
เวลามดลูกบีบตัว หัวของลูกก็มักจะกดลงบนกระดูกหัวหน่าว
ไม่ค่อยมากดถ่างขยายปากมดลูกทางด้านหลัง ปากมดลูกก็เลยไม่ค่อยเปิด
แล้วถ้าหากปากมดลูกเปิดสำเร็จ เวลาคลอดหัวเด็กก็ต้องมุดลอดใต้คานหัวหน่าวนี้ออกมา
ตอนเบ่งก็เลยต้องกระดกก้นช้อนขึ้น เพื่อยกหัวหน่าวให้สูงพ้นแนวการคลอด
...นึกภาพยากจัง ก็อธิบายเอาไว้พอเป็นแนวทาง เวลาคลอดแล้วหมอสั่ง
“คุณแม่ครับ..กระดกหน่อยครับ กระดกอีกนิดครับ..” จะได้เข้าใจว่ากระดกอะไร
แล้วกระดกทำไม?
คุณแม่หุ่นนี้อยู่บ้านว่างๆก็ลองซ้อมๆกระดกดูก็ได้นะ
เผื่อเวลาไปคลอดจริงๆจะได้ทำเป็น แล้วอย่าลืมบอกหมอด้วยว่า... “หนูซ้อมมาดีค่ะ”
คลอดง่ายหรือยาก ลูกก็มีส่วนนะ
เรื่องสุดท้ายที่ทำให้คลอดยากก็เป็นเรื่องของตัวเด็กเอง
เด็กตัวเล็กก็ย่อมต้อง คลอดง่ายกว่าเด็กตัวใหญ่เป็นธรรมดา
แต่ก็แปลกนะที่มักจะเจอแต่คุณแม่ที่ชอบกลัวลูกจะตัวเล็ก
เลยบำรุงกินโน่นกินนี่กันยกใหญ่ แต่เชื่อผมเถอะครับให้ลูกคลอดออกมาแค่สองโลแปด
ถึงสามโลสอง ก็พอแล้ว จะได้คลอดไม่ยาก ไม่ต้องลุ้น ถึงแม้จะคลอดมาสามโล
แปดเกือบสี่กิโล เลี้ยงไปเลี้ยงมาซักหกเดือนก็โตทันกันแล้ว
แต่คุณแม่ที่ลูกตัวโตๆก็ต้องเจ็บท้องนานกว่า ต้องเบ่งนานกว่า คลอดก็ยากกว่า
แถมบางทีต้องใช้เครื่องดูดหรือคีมคีบช่วย คลอดอีกต่างหาก
ดีไม่ดีเจ็บสองต่อต้องเอาไปผ่าตอนจบด้วยซ้ำไป
ท่าคลอดของเด็ก ปกติแล้วตอนลอยอยู่ในท้อง
เด็กก็จะคว่ำหน้าเอียงขวาหรือเอียงซ้ายบ้างเล็กน้อย
ในระหว่างการคลอดหัวจะก้มลงตอนเข้าเชิงกราน
แล้วเงยหัวขึ้นตอนคลอดหัวโผล่ออกมาพ้นปากช่องคลอด ถ้าเด็กมุดออกมาท่านี้ ก็เรียกว่าท่า
มาตรฐาน คลอดง่ายที่สุด แต่ถ้าลูกทำเท่ห์ออกมาท่าพิสดาร เช่น
เงยหน้าหันหน้ามองท้องฟ้าเหมือนว่างน้ำตีกรรเชียง หรือ ไม่คว่ำไม่หงาย
ขวางออกมาซะเลยเหมือนพวกขวางโลกก็จะทำให้คลอดยากมากๆๆ แต่ลูกจะออกมาท่าไหน
เราก็ไปสั่งเอาไว้ก่อนล่วงหน้าไม่ได้ มันอยากจะออกท่าไหนก็ต้องตามใจมัน
โตขึ้นมาค่อยมาทำโทษกันทีหลัง ฐานจะคลอดแล้วยังท่ามาก ทำให้แม่คลอดยาก
เจ็บมากกว่าปกติ
ไขตามตัวลูก ช่วยให้คลอดง่าย
เรื่องสุดท้ายยอดฮิตตลอดกาล ก็เรื่อง
“กินน้ำมะพร้าวล้างไขให้ตัวสะอาดนี่แหละ”
คนไทยเรามีความเชื่อความเข้าใจผิดๆเกี่ยวกับเรื่องนี้กันทั้งประเทศ ไม่รู้ว่าใคร
เป็นคนต้นคิดเรื่องนี้เป็นคนแรก จะจับไปประหารชีวิตซะเลย
ไขของเด็กเป็นสิ่งที่เกิดขึ้น เองโดยธรรมชาติ
โดยจะเริ่มสร้างขึ้นโดยผิวหนังของเด็กเองประมาณ 1 เดือนก่อน ครบคลอด
จะมีมากหรือมีน้อยก็แตกต่างกันไปบ้าง แต่ถ้าเป็นการคลอดก่อนกำหนดก็มักมีไขน้อย
หรือ ไม่มีไข นอกจากนั้นไปลองค้นคว้าตำราเยอะแยะ เปิดเนทหา ก็ยังเห็นมีใครวิจัย
หรือเขียนเอาไว้ในตำราสักเล่มเลยว่ากินน้ำมะพร้าวแล้ว ไขของเด็กจะน้อยลง
สงสัยคนคิดเรื่องนี้คงนั่งเทียนคิดเอาเองเป็นแน่
แล้วไขเด็ก มันมาเกี่ยวกับเรื่องคลอดยากยังไงกันเนี่ย
..ก็ไขเป็นสิ่งที่ธรรมชาติ สร้างขึ้นมาเพื่อช่วยให้มีการหล่อลื่นในระหว่างการคลอด
ถ้าเด็กมีไขเยอะเวลาเบ่ง เด็กก็จะลื่นปลื้ดออกมาได้โดยง่าย
ส่วนเด็กที่ไม่มีไขคงต้องเบ่งแบบฝืดๆ เบ่งเหนื่อยแล้ว เหนื่อยอีก
ก็ยังไม่ค่อยจะขยับออกมากันเลย
ไขเด็กก็เปรียบเสมือนครีมบำรุงผิวธรรมชาติที่เหมาะกับผิวพรรณของคนเรามากที่สุด
ดูดซึมเข้าสู่ผิวคนเราได้ดีที่สุด
ครีมบำรุงผิวยี่ห้อที่ไม่แพงนักก็มักทำมาจากไขมะพร้าว หรือ ไขปลาวาฬ ราคาไม่แพง
แต่ก็ดูดซึมได้ไม่ดีนัก ครีมยี่ห้อแพงๆบางยี่ห้อก็ใช้ไขนกอีมู
ซึ่งมีโครงสร้างโมเลกุลคล้ายคลึงมนุษย์มากที่สุด
แต่ครีมที่มีโครงสร้างเหมือนของคนเราเป๊ะ ..ก็คือ ไขเด็กนั่นเอง
เครื่องสำอางยี่ห้อแพงสุดๆเขาก็บอกมาว่าทำจากไขเด็ก(ไม่รู้จริงหรือเปล่า)
เด็กที่เกิดมามีไขเยอะผิวก็จะตึงฟูเป็นสีชมพู ส่วนเด็กที่เกิดมาไม่มีไข
ผ่านไปวันสองวันผิวจะแห้งเหี่ยว เหมือนผิวคนแก่ ...
ถ้าหลังคลอดออกมาแล้วเห็นลูกมีไขติดตัวออกมาเยอะก็อย่าลืมปาดมาป้ายตามรอยตีนกา
บ้างก็ดีนะของเค้าดีจริงๆด้วย...
ที่คนเรารังเกียจรังงอนไขกันนักก็เพราะว่าไขพอมันแห้งจะติดตามหัวตามคิ้ว
เหมือนสังคตังล้างออกยาก ยิ่งล้างด้วยน้ำ ฟอกด้วยสบู่
ด้วยแชมพูก็ยิ่งแข็งติดแน่นไปกันใหญ่ ยิ่งล้างก็จะยิ่งติด
..นั่นก็เพราะไขพอโดนน้ำก็จะยิ่งแข็งตัวเกาะแน่นขึ้น ล้างไขก็ต้องใช้ไขล้างสิครับ
แค่เอาเบบี้ออยล์ หรือน้ำมันมะกอกทาชโลมไว้ก่อนสักแป๊บนึง
เอาผ้าชุบเบบี้ออยล์นิดหน่อยเช็ดทีเดียวก็ออกง่ายจะตายไป
เห็นมั๊ยล่ะว่าครับว่า
คลอดลูกบทมันจะง่ายมันก็ง่าย เวลามันยาก มันก็ยากจริง
สิ่งที่สำคัญที่สุดเท่าที่แม่จะทำได้ก็คือ ความตั้งใจ ความแน่วแน่ และความอดทน
ถ้าช่วยกันเดี๋ยวมันก็คลอดออกมาจนได้ แต่ถ้าบังเอิญเกิดโชคร้ายมากๆ
เบ่งแล้วเบ่งอีกก็ไม่ออก คราวนี้คงต้อง เรียกตัวช่วยแล้วล่ะครับ
คงต้องใช้เครื่องมือช่วยเช่น เครื่องดูด หรือไม่ก็คีมคีบหัวออก มาซะเลย
โดยต้องอยู่ในดุลพินิจของคุณหมอ แต่มีเหมือนกันที่ตัวช่วยก็ช่วยไม่ได้ สุดท้าย
เลยต้องเจ็บสองต่อ แบบทูอินวัน นั่นคือ ผ่าออกเป็นคำตอบสุดท้าย
หากไม่อยากคลอดยากคุณแม่ก็ควรหัดฝึกซ้อมการเบ่งเอาไว้บ้าง
คุมน้ำหนักไม่ให้ขึ้นมากเกินไป แม่จะได้ไม่อ้วนมาก ลูกจะได้ไม่ตัวใหญ่เกินไป
...จะได้คลอดง่ายๆ แม่ก็ไม่เหนื่อย หมอก็สบาย
เรื่องต่อไป..ก็เป็นเรื่องคลอดยากๆ
เหนื่อยทั้งแม่ เหนื่อยทั้งหมอ ..ไปต่อกันเลย..
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น