ขาหยั่งมหาสนุก

 



สมัยตอนที่เป็นเด็ก ตอนนั้นทั้งเกลียดทั้งกลัวหมอฟันมาก ไปหาหมอฟันทีก็เป็นเรื่องเจ็บตัวซะทุกที แค่รู้ว่าต้องไปทำฟันพรุ่งนี้ คืนนี้ก็นอนไม่หลับทั้งคืนแล้ว ดีไม่ดีฝันร้ายอีกต่างหาก พอไปโรงพยาบาลพอหมอเรียกเข้าห้องขามันสั่นแทบก้าวไม่ออกเลยล่ะ เห็นเตียงทำฟันเหมือนเตียงประหาร คิดแล้วก็ยังกลัวไม่หาย ..ดีนะที่ไม่ได้มีเมียเป็นหมอฟัน

 

เด็กๆรู้สึกกับเตียงทำฟันอย่างไร มันก็คล้ายๆกับผู้หญิงที่มีความรู้สึกกับเตียงตรวจภายในอย่างนั้นเลยครับ แต่เกิดมาเป็นผู้หญิงแล้วจะไม่เคยต้องขึ้นเตียงขาหยั่งเลยก็คงจะเป็นไปไม่ได้ ไม่เหมือนสมัยคุณย่าคุณยายสมัยก่อนที่หากบอกว่าไม่เคยขึ้นขาหยั่งเลยก็อาจจะเชื่อได้ เพราะแต่ก่อนคลอดลูกก็คลอดกันเองที่บ้าน ปูผ้าแล้วก็คลอดกันที่พื้นบ้านตรงนั้นเลยครับ เวลาเป็นตกขาว เป็นเชื้อราก็ป้ายยาม่วงเหมือนที่ป้ายปากเด็ก แป๊บเดียวก็หาย ไม่รู้จักกันหรอกครับว่าขาหยั่งมันเป็นอย่างไร

 

แต่เดี๋ยวนี้ด้วยความห่วงใยในสุขภาพและคุณภาพชีวิต ถึงแม้ว่าไม่ได้เจ็บป่วยอะไรก็ยังต้องไปตรวจภายในเช็คมะเร็งปากมดลูกกันเป็นประจำทุกปีเลย ยิ่งคนที่ปัญหาแถวนี้เยอะ เดี๋ยวตกขาว เดี๋ยวปวดท้องน้อย เดี๋ยวเลือดออก พวกนี้ก็ปีนขึ้นปีนลงเตียงขาหยั่งกันเป็นว่าเล่นทีเดียว

 

ด้วยว่าระบบภายในของผู้หญิงเรานั้นมันเป็นระบบที่ยุ่งยากซับซ้อน มีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน มีไข่ตก มีประจำเดือนมา บอบบางมีการอักเสบติดเชื้อได้ง่าย ดังนั้นก็เลยต้องมีหมอที่ต้องมาตรวจมาดูแลส่วนสำคัญของผู้หญิงตรงนี้โดยเฉพาะ ที่เราเรียกกันว่า สูติ-นรีแพทย์ ก็คือหมออย่างว่าแบบพวกผมนี่เอง แต่หมออื่นๆจะตรวจคนไข้ก็ไม่ลำบากลำบนเหมือนหมอสูติฯ แค่มีเตียงตรวจอันเดียวก็ตรวจตั้งแต่หัวถึงปลายเท้าได้สบายมาก แต่หมอสูติมีที่ให้ตรวจนิดเดียวเอง เป็นช่องเข้าไปขนาดไม่เกินเหรียญห้า แถมอยู่ตรงหว่างขาอีกต่างหาก ตรวจยากอยู่แล้ว บางทีคุณเธอทั้งเกร็งทั้งหนีบอีก กว่าจะตรวจได้ก็เหงื่อตกเหมือนกัน ก็เลยมีใครสักคนในสมัยก่อนหลายร้อยปีมาแล้วนะครับคิดค้นเจ้าเตียงขาหยั่งนี้ขึ้นมา ทำให้หมอสูติรุ่นต่อๆมาสามารถตรวจภายในได้ง่ายขึ้น ไม่รู้ว่าคนคิดค้นเตียงขาหยั่งนี้ชื่อเสียงเรียงนามว่าอะไรนะครับ ไปเปิดหนังสือค้นตั้งหลายวันก็ยังหาไม่เจอ หมอสูติรุ่นหลังๆจะสร้างอนุสาวรีย์ให้ซะหน่อย

 

เตียงตรวจภายใน หรือเตียงขาหยั่งที่ว่าก็มีใช้กันมานานไม่รู้กี่สิบกี่ร้อยปีแล้ว แต่รูปร่างหน้าตาของมันก็ยังคล้ายๆเดิม โดยจะเป็นเตียงตรวจที่ค่อนข้างสูง ความสูงของมันก็ประมาณระดับเอวของคนเรานี่แหละ เวลาตรวจภายในหมอจะได้ยืนตรวจได้ง่ายๆไม่ต้องมาก้มๆเงยๆ ตัวเตียงก็มีแค่ท่อนบนครึ่งเดียวของเตียงปกติ โดยท่อนล่างจะหายไป เวลานอนหลังก็จะนอนอยู่บนเตียง ท่อนขาก็จะต้องไปวางพาดบนขาหยั่ง โดยที่วางขานี้ก็จะบังคับให้นอนในท่าถ่างขาออกจนสุด ที่วางขานี้ก็จะเป็นร่องโค้งเป็นรูปขา วางขาพาดลงร่องนี้ได้พอดีขยับเขยื้อนไปมาอีกไม่ได้ พอนอนในท่านี้เรียบร้อยแล้วรับรองหุบขาไม่ได้แน่

 

คราวนี้เมื่อถึงคราวต้องตรวจภายในจะทำอย่างไรดี ..คิดหนักเหมือนกันนะครับ

 

เมื่อเรามีปัญหาสุขภาพเกี่ยวกับระบบสืบพันธุ์หรือระบบภายในสตรี ก็ต้องไปหาหมอสูติ พอเจอหน้ากันหมอก็ต้องถามก่อนนะครับว่าเป็นอะไรมา เป็นมาอย่างไร อายุเท่าไหร่ มีลูกกี่คนแล้ว คลอดยังไง ประจำเดือนมาครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่....ถามจนได้ข้อมูลจนพอใจแหละครับ แล้วก็อย่าไปรำคาญนะ เดี๋ยวจะหาว่าหมอถามซอกแซกมาก บางทีเรื่องบนเตียงยังถามเลย ..เช่น เวลายุ่งกันแล้วเจ็บมั๊ย? ก็ไม่ต้องไปตกใจที่หมอถามนะครับ ยิ่งหมอรู้มากเท่าไหร่มีข้อมูลมากเท่าไหร่ ก็จะวินิจฉัยได้แม่นยำมากเท่านั้น และก็จะสามารถอธิบายให้คำตอบในปัญหาต่างๆได้ง่ายขึ้น

 

ตอนนั่งคุยกับคุณหมอหางตาก็เหลือบไปเห็นเจ้าเตียงขาหยั่งนี่แล้วแหละ ดูแล้วก็ไม่น่าเชื่อว่าเราจะไปนอนท่าอย่างนั้นได้ ...เอาไงก็เอากัน!

 

ตื่นจากภวังค์คุณพยาบาลก็เชิญเข้าเปลี่ยนชุดในห้องน้ำ ก็ต้องบอกไว้ก่อนล่วงหน้าเลยนะครับว่าเวลาไปหาหมอตรวจภายในก็ควรใส่เสื้อผ้าที่มันถอดง่ายๆหน่อย เคยเจอตรวจสาวอินเดียใส่ส่าหรี กว่าจะเปลี่ยนชุดเสร็จ รอแล้วรออีกหลับไปไม่รู้กี่ตลบ ... พอเข้าห้องน้ำก็ให้ถอดกระโปรง หรือกางเกงแขวนไว้ ถอดกางเกงชั้นในด้วยนะครับ แล้วเปลี่ยนใส่ผ้าถุงที่เตรียมไว้ให้

 

ก่อนตรวจภายในก็ควรถ่ายปัสสาวะออกให้หมดด้วยนะครับ ถ้ายังมีน้ำอยู่เต็มกระเพาะปัสสาวะ เวลาตรวจก็จะตรวจยาก คลำมดลูก คลำอะไรมันก็ยากไปหมด เพราะมีกระเพาะปัสสาวะโป่งขวางอยู่ พอตรวจยากหมอก็ต้องออกแรงกดตอนตรวจมากขึ้น ...โอ๊ย! มันทรมานจะตาย เจ็บก็เจ็บ แถมกดจนปวดปัสสาวะแทบจะเล็ดเลยล่ะครับ ถ้าปัสสาวะจนหมดเกลี้ยง เวลาตรวจก็ตรวจได้ง่าย มีก้อนมีซิสต์ในท้องน้อยก็สามารถคลำเจอได้โดยง่าย ตอนตรวจก็ไม่ต้องกลัวจะปวดปัสสาวะ

  

สำหรับคนที่มาตรวจภายในด้วยเรื่องตกขาวก็ไม่ต้องชำระล้างจนหมดจดเกลี้ยงเกลานะครับ มีตกขาวเท่าไหร่ก็ทิ้งไว้เดิมๆแบบนั้นแหละ ไปล้างหมดเดี๋ยวหมอก็ไม่เห็นว่ามันเยอะขนาดไหน จะเอามาตรวจดูเชื้อก็ไม่มีจะให้ตรวจ ก็เลยอาจมีผลทำให้วินิจฉัยผิดพลาดได้ ไปหาหมอแล้วไม่หายเดี๋ยวก็จะบ่นกันอีก

 

สมมติว่าตอนนี้เตรียมตัวเรียบร้อยแล้ว กำลังเดินขาสั่นออกมาจากห้องน้ำ คุณพยาบาลก็จะพาไปที่เตียงขาหยั่ง หันหลังเอาก้นขึ้นไปนั่งก่อนที่ปลายเตียง แล้วก็ล้มตัวลงนอนพร้อมๆกับยกขาขึ้นพาดที่ขาหยั่ง ตอนนี้แหละครับที่ความเป็นส่วนตัวความลับทั้งหมดที่มีก็ถูกเปิดเผยกลายเป็นของไม่ลับเสียแล้ว แต่ก็ไม่ต้องกลัวนะครับ เพราะการตรวจภายในก็จะตรวจในห้องที่มิดชิด ปิดม่านเป็นส่วนตัว ในห้องก็จะมีแค่คุณหมอกับคุณพยาบาลเท่านั้น ไม่มีใครคนอื่นมาแอบดูได้ และโดยจรรยาบรรณแล้วทุกสิ่งทุกอย่างในห้องก็จะเป็นความลับ พอออกจากห้องไปแล้วทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นของลับ ก็จะเป็นความลับต่อไปเหมือนเดิม ....หลังจากนอนบนขาหยั่งเข้าที่ดีแล้วก็ให้นอนสบายๆ ท่องคาถาปลงสังขารเข้าไว้ อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด ทำตัวผ่อนคลายให้มากๆ อย่าไปกลัวอย่าไปเกร็ง เพราะจะยิ่งทำให้เจ็บมากขึ้น ...นอนนิ่งๆอีกแป๊บเดียวก็เสร็จแล้ว

 

ในการตรวจภายในตามมาตรฐาน คุณหมอก็จะตรวจดูก่อนว่าภายนอกช่องคลอดมีอะไรผิดปกติหรือเปล่า มีการบวม การแดงมีแผลมีการอักเสบผิดปกติตรงไหนบ้าง เสร็จแล้วก็จะใช้เครื่องมือที่ตามภาษาแพทย์เรียกว่า “Speculum” หน้าตามันก็เหมือนปากเป็ดทำด้วยสเตนเลส สอดเข้าไปในช่องคลอดจนสุดแล้วก็ถ่างขยายปากเป็ด ก็จะเห็นทุกสิ่งทุกอย่างภายในช่องคลอด ตอนนี้ก็อาจเจ็บบ้างนิดหน่อย แต่ก็ให้ท่องคาถาเอาไว้อย่างเดียวว่า “อ้ากว้างๆไว้” เพราะถ้าหากอ้ากว้างๆไว้จะเจ็บน้อยลง แต่ถ้าหากหนีบเกร็งก็จะไปหนีบเอาเจ้าปากเป็ดที่ว่านี้ เอาช่องคลอดไปหนีบเหล็กก็จะยิ่งเจ็บไปกันใหญ่ เจ้าปากเป็ดที่ใช้ก็จะมีอยู่ 3 ขนาด คือ S, M, L โดยมากก็จะใช้กันแต่เบอร์ S นานๆจะใช้เบอร์ M สักที ส่วนเบอร์ L เกิดมาก็ยังไม่เคยใช้เลย พอใส่ปากเป็ดเข้าไปแล้วก็จะสำรวจดูว่าผนังช่องคลอดดูเป็นปกติดีหรือเปล่า มีแผลมีรอยฉีกขาดอะไรหรือเปล่า ที่สำคัญก็ต้องดูตกขาวด้วยว่ามันสีขาวใสเป็นปกติดีมั๊ย ถ้ามันเขียว เหลือง หรือมีอาการคัน หรือมีกลิ่นก็ต้องเก็บตัวอย่างตกขาวที่ว่านี้ไปส่องกล้องจุลทรรศน์อีกทีว่ามีเชื้อโรคอะไรบ้าง ดูภายในช่องคลอดเสร็จแล้วก็มาดูต่อที่ปากมดลูก ไม่มีผู้หญิงคนไหนที่เคยเห็นปากมดลูกตัวเองหรอกครับ ดังนั้นจะตรวจดูเองก็ไม่สามารถทำได้ เลยต้องมาให้หมอสูตินี้แหละตรวจ ปากมดลูกก็จะมีหน้าตาเป็นก้อนกลมๆเหมือนจุกส้มโอ มีรูตรงกลางเรียกว่ารูปากมดลูก ก็ต้องตรวจดูว่ามันมีแผล มีร่องรอยการอักเสบหรือเปล่า

 

ตรวจด้วยสายตาเสร็จแล้วก็จะเอาปากเป็ดออก แล้วก็จะใช้นิ้วสอดเข้าไปคลำมดลูกและปีกมดลูก เพื่อดูว่ามดลูกอยู่ในตำแหน่งปกติหรือเปล่า คว่ำหน้า หรือคว่ำหลัง โตผิดปกติหรือเปล่า มีอาการเจ็บหรือเปล่า ปีกมดลูกมีก้อนมีเนื้องอกอะไรขึ้นมาหรือเปล่า เจ็บมั๊ย ถ้าตรวจแล้วไม่มีอะไรก็เป็นอันเสร็จพิธีการ

 

ขั้นตอนการตรวจทั้งหมดนี้ก็เกิดขึ้นบนเตียงขาหยั่ง ดูมันเหมือนจะนานแสนนาน คนที่โดนตรวจภายในก็เหมือนว่ามันนานอย่างนั้นจริงๆ แต่ที่จริงแล้วใช้เวลาแป๊บเดียวเองครับ อย่างมากรวมหมดแล้วก็ไม่น่าจะเกิน 5 นาที ซึ่งก็เสียเวลาไปกับการขึ้นนอนบนเตียง จัดท่า เตรียมอุปกรณ์เครื่องมือไปเสียเยอะ ช่วงเวลาที่ถูกลุกล้ำใช้เครื่องมือเข้าไปตรวจ ใช้นิ้วเข้าไปคลำ ใช้เวลาอย่างมากไม่ถึงนาที

 

ตรวจเสร็จแต่งตัวก็มานั่งคุยกับหมอต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น คนไข้บางคนก็อายนะครับ ตรวจเสร็จก็นั่งหน้างุดไม่ยอมสบตาเลยล่ะ แต่หมอสูติส่วนมากเขาก็จะมีจิตวิทยาในเรื่องเหล่านี้ดี ก็จะคุยเกี่ยวกับโรค เกี่ยวกับการรักษาการดูแลปฏิบัติตัว คุยเป็นเรื่องเป็นราวทำให้ลืมเรื่องที่คนไข้อายหมอไปได้เลย เรื่องตรงนี้เป็นใครๆก็คงต้องอายเป็นธรรมดา แต่ก็ขอยกเว้นไว้บ้างนะครับถ้าอายคนโน้นคนนี้ก็อายไปเถอะ แต่หมอสูติเป็นหมอที่ดูแลรักษาเกี่ยวกับของสำคัญตรงนี้โดยเฉพาะ ก็ขอยกเว้นที่ไม่ต้องอายเอาไว้สักคน หมอสูติก็ต้องตรวจอวัยวะส่วนนี้ไปชั่วชีวิต ...ก็อยากมาเป็นหมอสูตินี่ครับก็ต้องทำหน้าที่อย่างนี้ไป ถ้าเป็นผู้ชายปกติถ้าไปเห็นอะไรของผู้หญิงเข้าก็จะออกอาการผิดปกติขึ้นมาแล้ว แต่สำหรับหมอสูติเห็นอยู่ทุกวัน ดูอยู่ทุกวันจนชินชาหมดแล้ว รู้สึกว่ามันเป็นหน้าที่ เป็นงานที่ต้องทำ ถ้าไม่มีหมอสูติแล้วใครจะมาทำหน้าที่เหล่านี้ล่ะครับ

 

หลายคนก็สงสัยว่าเป็นหมอสูติ เห็นมาจนชินชาอย่างนี้แล้ว กลับไปบ้านจะเกิดอาการตายด้านหรือเปล่า ..เป็นเมียหมอสูติก็คงเฉาแย่สินะ แต่เปล่าหรอกครับในบรรดาหมอๆด้วยกัน หมอสูตินี่แหละที่มีเมียเล็กเมียน้อยมากกว่าหมออื่นๆ ...เอาความลับมาเปิดเผยอย่างนี้เดี๋ยวโดนเพื่อนๆรุมตื้บแน่/.

ความคิดเห็น