กลไกความร้อนในสตรีตั้งครรภ์
ถ้าให้เปรียบเปรยให้เข้าใจกันง่ายๆ ตอนเราเป็นผู้หญิงปกติระบบความร้อนของร่ายกายเราก็เหมือนห้องแอร์ธรรมดา แต่พอตั้งครรภ์ มีลูกอยู่ในท้องของเราอีกที สภาพร่างกายเราก็เหมือนเอาตู้เย็นไปใส่ในห้องแอร์อีกที คอยล์ร้อนของคุณแม่ก็ต้องคายความร้อนออกมามากกว่าปกติ
คนท้องก็เลยเป็นคนขี้ร้อน เหงื่อออกง่าย ยิ่งคุณแม่ที่น้ำหนักขึ้นมากๆ ตัวอ้วนมากๆ สะสมไขมันมากๆก็ยิ่งรู้สึกร้อนมากกว่าคนที่ตัวผอมกว่า ถ้าเปรียบคนเราเหมือนรถยนต์ คนท้องก็เหมือนรถยนต์ที่กดคันเร่งแช่ไว้นานๆ เครื่องยนต์ก็จะร้อนกว่าปกติ พอร้อนจัดๆเครื่องมันก็น็อค คนท้องก็เหมือนกัน พออากาศร้อนมาก ตากแดดมากก็เป็นลมหรือที่เรียกว่า Heat Stroke ได้ง่ายๆเหมือนกัน
ในระหว่างการคลอดคุณแม่ก็จะเสียความร้อนไปในระหว่างการคลอดพอสมควร ไม่ว่าจะคลอดเอง หรือจะผ่าท้องคลอด
คลอดลูกเอง ก็จะเสียความร้อนจากการที่ลูกคลอดออกมา เนื่องจากตัวลูกเองก็จะมีความร้อนจากการเผาผลาญพลังงานของเขา พอลูกออกมาจากท้องแล้ว ความอุ่นจากตัวลูกในท้องก็จะหายไป นอกจากนั้นการเสียเลือดอุ่นๆออกมาจากตัว แล้วมีน้ำเกลือเย็นๆเท่าอุณหภูมิห้อง เปิดเข้าเส้น ไหลเข้าไปในร่างกาย ก็ยิ่งทำให้รู้สึกหนาวในอก หนาวในทรวงไปกันใหญ่ ยิ่งเปิดน้ำเกลือเร็วมากก็ยิ่งรู้สึกหนาวมาก
ผ่าตัดคลอดนี่ยิ่งชัด เพราะห้องผ่าตัดจะมีอุณหภูมิมาตราฐานที่ 24-25องศา น้ำเกลือที่ให้เข้าไปทางเส้นเลือดก็มีอุณหภูมิประมาณนี้ ระหว่างการผ่าตัด 1 ชั่งโมง ความร้อนภายในช่องท้อง 37องศา ก็จะระเหยรั่วออกมาสู่อากาศในห้องที่มีอุณหภูมิ 24-25องศา เปรียบเทียบง่ายๆก็เหมือนเราเปิดตู้เย็นทิ้งไว้นานๆ ความเย็นข้างในก็จะรั่วออกมาหายไปหมด ตัวคนเราก็เหมือนกัน เปิดหน้าท้องผ่าตัดนานๆความร้อนสะสมข้างในตัวเราก็จะหายไปหมดเช่นกัน ทำให้หลังผ่าตัดคลอดมักมีอุณหภูมิกายต่ำลงกว่าปกติ ตอนคุณแม่นอนพักในห้องพักฟื้นก็เลยทำให้รู้สึกหน๊าวหนาวตัวสั่นดิกๆ คุณพยาบาลก็จะเอาผ้าห่มมาให้สองผืนสามผืน แต่ก็ดูเหมือนว่าห่มเท่าไหร่มันก็ไม่หายหนาวสักที มันหนาวข้างใน หนาวในอก หนาวบอกไม่ถูก หนาวแบบที่เรียกได้ว่าไม่เคยหนาวแบบนี้มาก่อน ไปตะลุยหิมะที่เกาหลีมามันก็ไม่ได้หนาวแบบนี้..
ความหนาวแบบนี้เป็นความหนาวจากการที่ร่ายกายเสียความร้อนภายในจากการคลอด ทำให้อุณหภูมิแก่นกาย(core body temperature)ลดลง การห่มผ้า ก็เป็นการป้องกันไม่ให้ร่ายกายเสียความร้อนเพิ่มขึ้น แต่ร่างกายก็ยังต้องให้กล้ามเนื้อเล็กกล้ามเนื้อน้อนสั่นดิกๆ เพื่อสร้างความร้อนทดแทนความร้อนที่เสียไป ... การใช้ผ้าห่มไฟฟ้า ก็ช่วยให้รู้สึกดีขึ้นระดับนึงเท่านั้น วิธีที่ช่วยทำให้หายหนาวแบบนี้ได้ดีที่สุดก็คือการใส่ความร้อนกลับเข้าไปข้างใน จิบน้ำอุ่นๆไปเรื่อยๆครับ เมื่อร่ายกายสะสมความร้อนภายในได้พอแล้วอาการหนาวแบบนี้ก็จะดีขึ้นได้เองครับ
ตรงนี้สมัยโบราณก็บอกถูกนะว่า หลังคลอดไม่ให้กินน้ำเย็น ยิ่งกินก็ยิ่งหนาว แล้วคุณแม่หลังคลอดก็จะทนความหนาวได้ไม่ค่อยดี อากาศหนาวเท่าๆกัน คุณแม่หลังคลอดก็จะหนาวเว่อร์มากกว่าคนอื่น ก็เพราะความร้อนสะสมข้างในตัวมันหายไปนั่นเองครับ
คราวนี้ก็คงหายข้องใจแล้วนะ..ว่าหลังคลอดทำไมหนาว...
ทีนี้บางคนก็บอกว่าหนาวแบบนี้มันเหมือนกับการหนาวตอนหมดประจำเดือน … จริงรึป่าว..??
ตอนหมดประจำเดือนร่างกายเราไม่ได้เสียความร้อนออกไปทางไหนเลย ความร้อนอยู่ครบ ไม่ได้มีลูกออกมา ไม่ได้เสียเลือดออกมา อ้าวแล้วทำไมหนาว ... ความหนาวในวัยหมดประจำเดือนเกิดจากการหมดฮอร์โมน แล้วการหมดฮอร์โมนที่ว่านี้ก็ทำให้เส้นเลือดตามผิวกายหดตัว ขยายตัวผิดปกติ ทำให้มีอาการวูบวาบสะบัดร้อนสะบัดหนาว
ถ้าจะให้อธิบายความหนาวจริงๆ ความหนาวหลังคลอดมันหนาวสั่น มันหนาวในอก แต่ อาการหนาวตอนหมดเมนส์นี่มันหนาวแบบวูบวาบสะบัดร้อนสะบัดหนาวสลับกัน ไม่ได้หนาวจนสั่น ไม่ได้หนาวอย่างเดียว มีช่วงรู้สึกร้อนสลับกันไปด้วย ... มันหนาวในแบบที่แตกต่างกันจริงๆ
อาการหนาวหลังคลอด กับอาการหนาวหลังหมดประจำเดือน จึงไม่ได้มีที่มาที่ไปเกี่ยวข้องอะไรกันแต่อย่างใด
ดังนั้นการที่ไม่ได้อยู่ไฟหลังคลอดแล้วทำให้มีอาการหนาวๆร้อนๆในช่วงวัยหมดประจำเดือน จึงไม่ได้มีเหตุผลทางการแพทย์ หรือเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ใดๆรองรับ ... เป็นข้อปฏิบัติตามประเพณี เป็นความเชื่อที่ปฏิบัติสืบต่อกันมา คุณแม่หลังคลอดอาจจะอยู่ไฟ หรือไม่อยู่ไฟก็ได้ตามความพึงพอใจ ... เรื่องการเมือง ศาสนา และความเชื่อ มันห้ามกันไม่ได้ แต่ก็มีข้อปฏิบัตินะครับ ซึ่งจะบอกตอนท้ายอีกที
ว่ากันต่อ..คราวนี้คุณแม่บางคนก็บอกว่าถ้าไม่อยู่ไฟ ไม่เข้ากระโจมแล้ว เด๋วพุงมันไม่ยุบ หุ่นไม่เข้าที่เหมือนเดิม เรื่องนี้จริงหรือเปล่า... การอยู่ไฟเข้ากระโจมก็จะทำให้คุณแม่เสียเหงื่อมากมาย สิ่งที่เสียออกมาจากร่างกายมีแต่น้ำกับเกลือแร่อย่างเดียวนะครับ เสียน้ำ 1ลิตร น้ำหนักก็ลดลง 1 กิโล แต่ ไขมันในส่วนต่างๆของร่ายกายไม่ได้ละลายออกมาไปไหนนะครับ อบตัวเสร็จลองดูที่พื้นตู้ก็ไม่ได้มีไขมันของเราละลายออกมา แล้วไขมันก็ระเหยหายไปไหนก็ไม่ได้ หากจะอบให้ไขมันละลายออกมาได้จริงๆก็คงต้องใช้ความร้อนระดับทำข้าวมันไก่ขนาดนั้นเลยล่ะครับ
หากคุณแม่อยากผอมหุ่นดี ก็คงต้องเริ่มกันตั้งแต่ตอนท้อง คุมอาหารให้ดี เน้นโปรตีน ลดแป้งลดน้ำตาล คุมน้ำหนักให้ขึ้นตามเกณฑ์ ... หลังคลอดก็ให้ลูกกินนมแม่ให้มากที่สุด กินอาหารไม่เน้นแป้งและน้ำตาล และออกกำลังกาย บริหารกล้ามเนื้อหน้าท้องหลังคลอด ... แค่นี้ก็สามารถกลับมาหุ่นดีเหมือนเดิมได้ไม่ยากนะครับ
อีกเรื่องนึง....ความร้อนทำให้มดลูกเข้าอู่ได้มั๊ย
อันนี้ก็ใช้หลักการง่ายๆว่า คนเราเป็นสัตว์เลือดอุ่น ไม่ใช่จิ้งจก ไม่ใช่สัตว์เลือดเย็น
หมายความว่ายังไง
หากเราไปเที่ยวฮอกไกโด หนาวเหน็บ เคยไปครั้งนึงลบ 22 องศา ถ้าเอาปรอทวัดไข้ใส่ปากก็จะวัดอุณหภูมิกายได้ 37 องศาเท่าเดิม
หากเราไปเที่ยวขับรถลุยทะเลทรายที่ซาอุ อากาศร้อนขนาดเฉียดๆ 50 องศา เอาปรอทวัดไข้ใส่ปาก มันก็วัดได้ 37 องศา ก็เพราะคนเราเป็นสัตว์เลือดอุ่น อุณหภูมิกายคงที่ ไม่เปลี่ยนแปลงไปตามสิ่งแวดล้อม (เรียนมาคงจำกันได้นะ)
คราวนี้เราเปลี่ยนใหม่ เอาปรอทที่ว่านี้เสียบเข้าไปตรงกลางมดลูกเลย มันก็จะวัดได้ 37 องศา... จับไปอบยังไงวัดอุณหภูมิมันก็จะได้ 37 องศาไม่เปลี่ยนแปลง ... แล้วการอยู่ไฟ เข้าตู้อบ ความร้อนมันก็ไม่ได้มีผลทำให้มดลูกมีอุณหภูมิเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด...เข้าใจตรงกันนะ
ที่อธิบายมาก็เป็นมุมมองของแพทย์นะครับ ซึ่งก็ต้องให้ความเห็นเป็นแบบวิทยาศาสตร์ตรงไปตรงมา อธิบายเป็นเหตุเป็นผลได้ชัดเจน แต่ความเห็นของแพทย์อาจจะไม่ไปด้วยกันกับความเชื่อก็ได้ ก็แล้วแต่มุมมอง และพัฒนาการของกาลเวลา
คราวนี้หากคุณแม่มีความต้องการอยู่ไฟ ด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ ก็มีข้อปฏิบัติที่อยากแนะนำ ตามนี้....
หลังคลอดคุณแม่หลากหลายคนก็มีสภาพร่างกายที่แตกต่างกันไป
บางคนคลอดง่าย หลังคลอดสบายชิลๆ
แต่บางคนก็คลอดยาก เหนื่อยมาก เพลียมาก เสียเลือดมาก
หรือมีภาวะแทรกซ้อนแตกต่างกันไป บางคนมีภาวะครรภ์เป็นพิษ บางคนมีติดเชื้อ บางคนมีภาวะเบาหวานแทรกซ้อน ... ก็ต้องพิจารณากันเป็นรายๆไป
หากในช่วงหลังคลอดคุณแม่ดูแข็งแรงดี
ไม่มีภาวะแทรกซ้อนใดๆก็สามารถอยู่ไฟได้ตามที่คุณแม่ต้องการ
ก่อนอยู่ไฟ คุณแม่ควรกินอาหารให้เพียงพอ ดื่มน้ำเยอะๆ ให้ร่างกายสดชื่นมากที่สุดเท่าที่จะทำได้
ปกติแล้วถ้าคลอดเองก็สามารถอยู่ไฟได้ตอนหลังคลอด 2สัปดาห์
แต่ถ้าผ่าตัดคลอดก็ต้องพักฟื้นกันนานหน่อย อยู่ไฟได้ก็ประมาณ 4สัปดาห์นะครับ
คราวนี้หากคุณแม่คลอดลูก แบบคลอดยาก เหนื่อยมาก เพลียมาก เสียเลือดมาก หรือมีภาวะแทรกซ้อน ก็ควรงดอยู่ไฟไปก่อน การอยู่ไฟนั้นก็คือการอบตัว โดนความร้อนมาก เสียน้ำ เสียเกลือแร่ ก็ยิ่งทำให้ร่ายกายอ่อนเพลียได้ง่าย ร่างกายอ่อนแอ หากดื่มน้ำไม่พอร่างกายก็จะแสดงอาการขาดน้ำชัดเจน ผิวแห้ง แก้มตอบ ตาโบ๋ ผมกรอบ ... หากคุณแม่มีการติดเชื้อที่ใดๆก็แล้วแต่ การที่ร่างกายอ่อนเพลีย อ่อนแอ ก็จะทำให้คุณแม่หายได้ช้ากว่าปกติ
แต่ก็โชคดีที่ว่าการอยู่ไฟสมัยนี้มีการปรับเปลี่ยนให้สะดวกสบายมากขึ้น ไม่ได้อยู่กันหนักหนาสาหัสเหมือนตามแบบสมัยโบราณ จนบางครั้งอยู่ไฟสมัยนี้จะดูเหมือนการนวด aroma ผสมนวดแผนไทยมากกว่าเป็นการอยู่ไฟจริงจังเสียอีก คุณแม่หลายๆคนก็ชอบเพราะตั้งครรภ์มาเนิ่นนาน ร่างกายก็แสนเมื่อยล้า ได้นวดอโรม่าผ่อนคลายสักครั้งก็ดี เป็นการให้รางวัลชีวิต ... ก็เอาที่สบายใจก็แล้วกันนะครับ/.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น