การใช้ยาในระหว่างการตั้งครรภ์

 



อโรคา ปรมา ลาภา”   ความไม่มีโรคนั้นเป็นลาภอันประเสริฐ..

ใครๆก็ไม่อยากจะเจ็บจะป่วยกันหรอกครับ  แต่บางทีอุส่าห์ดูแลรักษาสุขภาพดียังไง พอถึงคราวมันจะป่วย มันก็ต้องป่วย แม้แต่คุณแม่ที่ตั้งครรภ์ก็ไม่มีข้อยกเว้นนะครับ คนท้องก็สามารถเจ็บป่วย ไม่สบายได้ไม่แตกต่างไปจากคนไม่ท้อง บนรถเมล์ยังมีป้ายอ้อนวอนให้เอื้อเฟื้อแก่เด็ก คนแก่ สตรีมีครรภ์ แต่เชื้อโรคมันไม่สงสารหรือยกเว้นใครหรอกครับ ใครอ่อนแอ ใครโชคร้ายบังเอิญได้รับเชื้อเข้าไปมันก็มีสิทธิเจ็บป่วยกันได้ทุกคน 

คนไม่ท้องเวลาเจ็บป่วยไปหาหมอ จะกินยาจะฉีดยาอะไร ก็ไม่มีอะไรให้ต้องเป็นห่วงกังวลใจ ..แต่ตอนท้องนี่สิ ที่มีลูกอีกคนอยู่ในท้องของเราด้วย กินยาฉีดยาอะไรเข้าไป ลูกก็จะได้รับยาตัวนั้นไปด้วยเหมือนกัน 

ยาที่เราใช้รักษาความเจ็บป่วยของเรานั้น อาจไม่มีผลอะไรกับตัวเราก็เพราะเรามีร่างกายที่สร้างมาครบถ้วนสมบูรณ์ทุกอย่างแล้ว แต่ลูกในท้องที่กำลังสร้างแขนสร้างขา กำลังสร้างอวัยวะต่างๆ ยาเหล่านี้อาจจะมีผลไปขัดขวาง ไปรบกวนการสร้างอวัยวะต่างๆได้ เป็นผลทำให้เกิดความพิการเกิดขึ้น 

ดังนั้นในระหว่างที่ตั้งครรภ์จะใช้จะกินยาอะไรก็ควรให้แพทย์เป็นคนตัดสินใจดีกว่าครับ เวลาไปหาหมอ คุณหมอก็จะดูว่าโรคที่เป็นนั้นเป็นมากเป็นน้อยแค่ไหน จำเป็นต้องกินยารักษาหรือเปล่า แล้วถ้าจำเป็นต้องกินยารักษา จะต้องกินยาอะไร แล้วต้องกินยาไม่นานเกินกว่ากี่วันถึงไม่มีผลต่อลูกในครรภ์ แล้วถ้าหากจำเป็นต้องใช้ยาจริงๆก็ต้องชั่งน้ำหนักผลดีผลเสียให้ดีที่สุด ดังนั้นตอนท้องไปหาหมอ ไม่ใช่ว่าจะได้ยามากินง่ายๆนะครับ ตอนไม่ท้องไปหาหมอทีอาจจะได้ยามากินเป็นถุงๆ แต่ตอนท้องคุณหมอจะให้ยานิดเดียวเท่าที่จำเป็นเท่านั้น และให้ยาน้อยตัวที่สุดเท่าที่จะรักษาอาการป่วยให้หายได้ 

การสั่งยาในคนท้อง คุณหมอก็จะรู้อยู่แล้วครับว่ายาไหนกินได้ ยาไหนกินไม่ดี ยาไหนไม่ให้กิน เดี๋ยวนี้ยาก็มีเยอะแยะ แต่ละปีก็มียาใหม่ๆออกมาเป็นร้อย แต่ก็มีที่ใช้ได้ในคนท้องปลอดภัยสบายใจไม่กี่ตัวเท่านั้นเอง 

ยาที่ใช้ในคนท้องเหล่านี้เขาก็แบ่งออกเป็นกลุ่มๆตามความปลอดภัยในการใช้ยานั้นๆในคนท้อง

 

กลุ่มแรก   ก็เป็นยากลุ่มที่เป็นที่ยืนยันชัดเจนแล้วว่าใช้ได้ปลอดภัยในคนท้อง เช่น พวกวิตามินรวมที่คนท้องต้องกินกันทั้งหลายแหล่นั่นแหละครับ 

กลุ่มที่สอง  ก็เป็นยาที่มีการวิจัยทดลองในสัตว์แล้วว่าไม่มีผลใดๆต่อลูกในท้อง แต่ก็ยังไม่มีการทดลองยืนยันความปลอดภัยในคน ยาที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้ก็เป็นกลุ่มนี้แทบทั้งนั้นเลยครับ ไม่มีคนท้องคนไหนยอมให้มาทดลองยากันหรอกครับ ยิ่งเดี๋ยวนี้เขามีกฎหมายห้ามทดลองยาในคนกันทั้งโลกแล้ว แต่อย่างไรก็ตามยาในกลุ่มนี้หลายๆตัวก็ใช้ๆกันมานานโดยที่ยังไม่เคยพบว่ามีผลต่อลูกในท้องใดๆ 

กลุ่มที่สาม   ก็แย่ลงหน่อยที่ยังไม่มีการทดลองชัดเจนทั้งในสัตว์ทั้งในคน หรือบางทีก็อาจมีผลต่อลูกในท้องของสัตว์ทดลองได้ แต่ในคนก็ยังไม่มีการทดลอง หากจะใช้ยากลุ่มนี้ก็ต้องเสี่ยงดวงกัน 

กลุ่มที่สี่  ก็เป็นยาที่อาจจะมีผลต่อลูกในท้องในคนได้ แต่ถ้าหากจำเป็นจริงๆไม่ใช้แม่อาจจะเจ็บป่วยหนักตายได้ ก็ต้องชั่งน้ำหนัก ข้อดีข้อเสียให้รอบคอบ 

กลุ่มสุดท้าย  ก็เป็นยาอันตรายที่ห้ามใช้ในคนท้องเด็ดขาด เพราะใช้แล้วลูกในท้องมีอันเป็นไปแน่นอน 

 

คนที่เป็นหมอ โดยเฉพาะหมอสูติที่ต้องดูแลคุณแม่ตลอดการตั้งครรภ์ จะต้องจำยาต่างๆที่ต้องใช้รักษาให้ขึ้นใจว่าแต่ละตัวอยู่กลุ่มไหน เวลาคุณแม่ไม่สบายเจ็บป่วยมาคุณหมอก็จะพยายามใช้ยาเท่าที่จำเป็น ใช้ยาให้น้อยที่สุด เลือกใช้ยาที่ปลอดภัยต่อลูกในท้องมากที่สุด บางทีโรคไหนที่เป็นเองหายเอง ไปหาหมอกลับมาอาจจะไม่ได้ยาสักเม็ดเลยก็ได้ 

โรคบางอย่างที่เจอกันบ่อยๆเช่นไข้หวัด ก็ไม่ใช่ว่าไปหาหมอแล้วจะต้องกินยารักษากันทุกรายนะครับ มีไม่กี่รายจริงๆหรอกครับที่จำเป็นต้องกินยา ส่วนใหญ่แล้วมากกว่าครึ่งของไข้หวัดก็มักจะหายได้เองโดยไม่ต้องกินยาใดๆด้วยซ้ำไป ถ้ามีอาการคัดจมูกน้ำมูกไหลนิดๆหน่อยๆ ไอแห้งๆ เจ็บคอก็ไม่มาก ไข้ก็ไม่มี ถ้ามีอาการแค่นี้ก็ให้รีบดื่มน้ำอุ่นมากๆ รักษาร่างกายให้อบอุ่น ถ้าติดนอนห้องแอร์ก็ให้ปรับแอร์ให้อุ่นขึ้นสักสองสามองศา นอนเยอะๆ ส่วนมากแล้วอาการหวัดก็มักจะดีขึ้นเองใน 2-3 วัน  ระหว่างนี้ก็ต้องดูแลตัวเองให้ดีด้วยนะครับ ถ้ารู้ว่าเป็นหวัดแล้วยังไม่เจียมตัวไปกินน้ำเย็นน้ำแข็งอีก ก็จะยิ่งเจ็บคอมากขึ้น ไอมากขึ้น ยิ่งอยู่ที่เย็นๆ เปิดแอร์นอนจนหนาวก็จะยิ่งมีน้ำมูกไหล มีไข้มากขึ้น อย่างนี้ก็ไม่มีทางหายได้เองหรอกครับ 

ไข้หวัดจะต้องกินยารักษาต่อเมื่อมีไข้สูง ตัวร้อนชัดเจน ไอเจ็บคอ มีเสมหะเขียว มีอาการอักเสบเกิดขึ้นชัดเจน หรือเป็นหวัดสามวันแล้วอาการไม่ดีขึ้น ถึงตอนนี้คุณหมอก็คงต้องให้ยารักษาเป็นเรื่องเป็นราวแล้วครับ กลุ่มยาที่ต้องระวังในคนท้องที่สำคัญก็ยาแก้อักเสบนี่แหละ 

จำง่ายๆเลยก็ได้ครับว่า ยาที่นามสกุลลงท้ายด้วย ซิลลิน (-cillin) เช่น เพนนิซิลลิน แอมพิซิลลิน อม๊อกซี่ซิลลิน ไดคร๊อกซ่าซิลลิน ทุกตัวที่ว่านี้กินได้ปลอดภัยในคนท้องครับ 

แต่ถ้าเป็นยาที่นามสกุลลงท้ายด้วย มัยซิน,-ซัลคลิน สองอย่างนี่ห้ามใช้ในคนท้องเป็นอันขาด ยาพวกนี้ก็เช่น เตตร้าซัยคลิน ออรีโอมัยซิน คลินด้ามัยซิน ยาพวกนี้ก็ส่วนมากก็ใช้รักษาสิว ยิ่งบางคนที่เป็นสิวอยู่แล้ว พอท้องปั๊บฮอร์โมนก็ออกมาท่วมท้น สิวก็เลยยิ่งเห่อใหญ่ เคยกินยาพวกนี้รักษาสิวอยู่เป็นประจำก็อย่าเผลอไปซื้อยาพวกนี้กินเองนะครับ ยาพวกมัยซิน ซัยคลินนี่ถ้าหากกินเข้าไปแล้วก็จะมีผลทำให้การสร้างกระดูกและฟันของลูกผิดปกติกร่อนง่ายหักง่าย ที่เห็นได้ชัดก็ตรงที่ลูกฟันจะเหลืองๆดำๆเข้าเนื้อ ขัดยังไงก็ไม่ออกนี่แหละ  

นอกจากพวกยามัยซิน ซัยคลินที่ห้ามใช้นี้แล้ว ในคนที่เป็นสิวก็ยังห้ามกินยา หรือ ใช้ครีมทาหน้าที่มีส่วนประกอบของวิตามินเออีกด้วยนะครับ  ลองหยิบยามาดูจะถ้ามีเขียนเอาไว้ว่า เรติน-เอ, เรติโนอิก เอสิด , เรตินอล อะไรทำนองนี้ก็ห้ามใช้เชียวล่ะ เพราะอาจมีผลทำให้เกิดความผิดปกติของหู ตา ปากแหว่ง เพดานโหว่ได้ 




เป็นสิวตอนท้องไม่ต้องกลัวไม่สวยหรอกครับ รับรองว่าไม่มีใครหน้ามืดมาปิ๊งผู้หญิงที่กำลังท้องอยู่หรอกครับ หลังคลอดฮอร์โมนมันก็จะหมดไปเอง เดี๋ยวสิวก็จะหายกลับมาสวยได้เหมือนเดิม

ตอนเป็นหวัดนอกจากจะได้ยาแก้อักเสบแล้ว ก็ยังต้องกินยาแก้ปวดลดไข้ ยาลดน้ำมูก ยาแก้ไอ ยาขับเสมหะอีกหลายอย่าง ยาแก้ปวดลดไข้ที่ใช้กันทุกวันนี้ก็คงจะมีแต่ยาพาราเซตตามอลอย่อย่างเดียวเท่านั้นเองครับ  คุณแม่บางคนปวดหัวแทบตายก็ไม่ยอมทานยา มัวแต่กลัวนั่นกลัวนี่ ซึ่งที่จริงแล้วยาพาราเซตเป็นยาที่ปลอดภัยในคนท้องถ้ากินในขนาดที่ปกติ ...แต่ถ้ากินแบบไม่ปกติ คือปวดหัวมากจะบ้าตายเลยเทยามากินรวดเดียวถึงยี่สิบเม็ดเมื่อไหร่ก็จะมีผลต่อตับได้

ส่วนยาแก้ปวดลดไข้ประเภทแอสไพรินซึ่งหาซื้อได้ยากแล้วในปัจจุบัน ก็ห้ามกินในคนท้องนะครับ เพราะจะทำให้เกิดปัญหาลิ้นหัวใจรั่วในเด็กได้ .... แต่ในปัจจุบันก็มีการใช้แอสไพรินในขนาดต่ำๆเพื่อใช้ในการป้องกันการเกิดครรภ์เป็นพิษในคุณแม่ที่มีความเสี่ยงสูง  ขนาดต่ำๆนี้ก็ยังถือว่าใช้ได้ปลอดภัยอยู่ครับ

ยาลดน้ำมูกส่วนใหญ่ก็สามารถใช้ได้ปลอดภัยในคนท้องครับ แต่ถ้าไม่แน่ใจก็ให้ใช้ยาพื้นๆพวกคลอแฟนิรามีนก็ได้ครับ ยาเม็ดเหลืองๆที่เราคุ้นเคยนี่แหละครับจะปลอดภัยที่สุด ยานี้ก็ใช้กันมาหลายสิบปีแล้วก็ยังไม่เคยเจอว่ามีผลต่อลูกในท้องประการใด แตเสียอย่างเดียวกินแล้วง่วงนอนเป็นบ้าเลยครับ กินแล้วเดินลอยๆเหมือนผีดิบ ถ้าน้ำมูกไหลมากก็ค่อยกินก็แล้วกันครับ ไม่ไหลก็ไม่ต้องกิน 

ส่วนยาแก้ไอ มีให้เลือกใช้กันหลายชนิด หลายยี่ห้อ ทางที่ดีก็ไม่ควรซื้อมากินเอง ควรไปหาหมอเท่านั้นนะครับ ยาบางตัว เช่น ยาแก้ไอน้ำดำที่เราคุ้นเคยกินกันเป็นประจำก็ไม่แนะนำให้ใช้ในคนท้องนะครับ 

นี่ยกตัวอย่างแค่เป็นหวัดอย่างเดียวนะครับ ถ้าเป็นโรคอื่นก็มียาที่ต้องใช้อีกหลายสิบอย่าง จะใช้ยาอะไรแต่ละอย่าง ยานั้นก็ต้องผ่านการพิจารณาอย่างรอบคอบมาแล้วทั้งนั้น ซึ่งคุณหมอก็จะเป็นผู้พิจารณาการใช้ยาเหล่านี้เองตามความเหมาะสม 

ถ้าจะอธิบายยาทุกๆตัวที่ใช้ในโรคต่างๆทั้งหมด เห็นทีต้องเขียนกันอีกยาว เอาเป็นว่ามาพูดถึงยาที่ห้ามใช้ในคนท้องกันบ้างดีกว่า 

อย่างแรกก็คือพวกยาถ่ายพยาธิทั้งหลาย บางคนถ่ายออกมาเห็นพยาธิดิ้นกันยั๊วเยี๊ยก็ตกใจรีบไปซื้อยาถ่ายพยาธิมากินเอง แต่ก็อย่าลืมนะครับว่าลูกที่อยู่ในท้องเรานี่แหละที่เป็นเจ้าพ่อของพยาธิเลยล่ะ เพราะลูกจะเกาะติดอยู่กับผนังมดลูกเหมือนพยาธิ คอยดูดเลือดดูดอาหารของเราไปตลอดเวลา พยาธิตัวเล็กตัวน้อยในลำไส้ดูดเลือดดูดอาหารของเราไปเทียบกับลูกเราไม่ได้เลย ยาถ่ายพยาธิก็จะออกฤทธ์ทำให้ตัวพยาธิมันตาย หรือทำให้พยาธิอ่อนแรงเป็นอำมพาตเกาะลำไส้ไม่ไหล แล้วก็ถ่ายหลุดออกมา มีการทดลองในสัตว์ก็พบว่ามีผลทำให้เกิดความผิดปกติต่อลูกในท้อง แต่ก็ยังไม่มีการทดลองในคนอีกเหมือนกัน ทางที่ดีถ้าไม่หนักหนาสาหัสก็เลี้ยงพยาธิให้อ้วนไปก่อนก็แล้วกัน คลอดแล้วค่อยหาทางกำจัดมันทีหลัง 

คุณแม่หลายๆคนมีอาการปวดกระดูกปวดกล้ามเนื้อ แต่อย่างไรก็ตามยาที่รักษาโรคกระดูกโรคกล้ามเนื้อนี้เกือบทุกตัวก็ไม่แนะนำให้ใช้ในระหว่างการท้อง เพราะมันจะทำให้เกิดความผิดปกติในการปิดของลิ้นหัวใจของลูกในท้องได้ ถ้าปวดเมื่อยมากก็คงต้องอาศัยสามีบีบนวดเค้นคลึงไปก่อน อย่างมากก็กินได้แค่ยาพาราเซตตามอลเท่านั้นเองครับ 

คุณแม่หลายคนก่อนตั้งครรภ์ก็เตรียมตัวเป็นอย่างดี อุตส่าห์ไปตรวจเลือด ตรวจร่างกาย เตรียมความพร้อมไว้ล่วงหน้า พอพบว่ายังไม่มีภูมิต้านทานต่อไวรัสหัดเยอรมัน ก็เลยฉีดวัคซีนป้องกันเอาไว้ก่อนซะเลย เดี๋ยวโชคไม่ดีมาเป็นเอาตอนท้องแล้วจะเป็นปัญหา 

ตอนฉีดวัคซีนหัดเยอรมัน หมอจะสั่งเอาไว้เลยนะครับว่าอย่าเพิ่งท้องในสามเดือนนี้นะครับ ให้คุมไว้ก่อน หลังจากนั้นก็ปล่อยท้องได้ตามสบายเลย ..ถ้าเป็นตามที่คุณหมอสั่งเอาไว้ก็ไม่มีปัญหา ปัญหามันอยู่ตรงที่ว่าอุตส่าห์ระวังแล้วมันดันท้องขึ้นมาเฉยเลยตอนที่ยังไม่ครบสามเดือนที่หมอสั่งเอาไว้ 

ตอนนี้แหละที่ท้องแล้วแทนที่จะดีใจกลับมาต้องมานอนกลุ้มใจก่ายหน้าผากกลัวลูกจะเป็นโน่นเป็นนี่ 

ที่หมอแนะนำไม่ให้ท้องในสามเดือนแรกหลังฉีดวัคซีน นั่นก็เพราะว่าวัคซีนนี้เป็นวัคซีนชนิดที่เรียกว่าวัคซีนตัวเป็น แต่ถูกทำให้หมดฤทธ์อ่อนกำลังลงเท่านั้นเอง ในทางทฤษฎีแล้วก็อาจจะทำให้เกิดความพิการในเด็กได้ บริษัทผลิตวัคซีนตัวนี้ก็เลยต้องเขียนคำเตือนเอาไว้ข้างขวดเลยว่าห้ามท้องในสามเดือนนี้นะ หากท้องขึ้นมาแล้วเป็นอะไรขึ้นมา จะหาว่าไม่เตือนก่อนไม่ได้นะ เป็นการป้องกันตัวเองทางกฎหมายเท่านั้นเองครับ 

แต่ในความเป็นจริงแล้วทั้งโลกเราก็มีคนที่เผลอตัวเผลอใจมาท้องในสามเดือนนี้กันเยอะแยะ แล้วก็ได้ตรวจติดตามดูกันเป็นร้อยๆราย ก็ยังไม่พบว่าเกิดความผิดปกติเกิดขึ้นแม้แต่รายเดียวในโลก ดังนั้นหากใครเผลอมาท้องเอาตอนนี้ก็สบายใจได้ครับ หากเป็นอะไรขึ้นมาก็จะเป็นรายแรกของโลกเลยทีเดียว 

เรื่องการใช้ยาในระหว่างการท้องก็มีอีกเยอแยะ แต่มีหลักสำคัญแค่อย่างเดียวเท่านั้นเอง คือ อย่ากินยาเองโดยหมอไม่ได้สั่งยาให้ จะใช้ยาอะไรให้อยู่ในดุลยพินิจของหมอดีกว่า ยึดหลักง่ายๆแค่สองบรรทัดนี้แหละ ก็สามารถกินยาได้อย่างสบายใจไร้กังวล/.


ความคิดเห็น