คลอดเสร็จหนังท้องหย่อน



เกิดมาเป็นผู้หญิง ส่วนหนึ่งที่เราภูมิใจในตัวเองก็คือทรวดทรงองค์เอวของเรานี่แหละ ผู้หญิงที่รูปร่างดีๆก็มักจะมีหน้าท้องที่ดูดี แบนราบ ผิวเรียบเนียนสวย ยืนส่องกระจกดู ...นางแบบดังๆยังหุ่นสู้เราไม่ได้เลยนะเนี่ย ... ก็ได้แต่ยืนอมยิ้มดูตัวเองด้วยความภาคภูมิใจ แต่หุ่นแบบนี้ก็มักจะไปเตะตา รบกวนสายตาหนุ่มๆทั้งหลายด้วย สุดท้ายเลยต้องมายืนหน้ากระจกกันสองคน ให้มีคนช่วยภูมิใจด้วยอีกคนว่า ภรรยาแสนสวยของเขาหุ่นดียิ่งกว่านางแบบเสียอีก ชีวิตอยู่กันสองคนก็มีความสุขดี จนวันนึงก็มีผลผลิตของความรักเกิดขึ้นมาอีกคนอยู่ในท้อง พอรู้ว่าท้องก็ดีใจกันน่าดู ดีใจที่ไม่เสียแรงเปล่า ท้องมันก็โตขึ้นเรื่อยๆ ก็ได้แต่ดูลูกเติบโตขึ้นทุกวันด้วยความภูมิใจ  
  
 

 
ชีวิตก็น่าจะมีความสุขดี...แต่แล้ววันหนึ่งก็มายืนหน้ากระจกอันเดิม หน้าท้องสวยๆที่แสนภูมิใจ ตอนนี้กลับกลายเป็นแตงโมจินตหรา ที่ทั้งโตทั้งห้อย แถมยังแตกลายเหมือนแตงโมจินตหราไม่มีผิด!! 
  
  
หลังคลอด นึกว่าฝันร้ายจะผ่านไป แล้วเอ๊ะ! ทำไมเราถึงไม่กล้าไปยืนหน้ากระจกบานเดิมนั้นแล้วล่ะ มันกลัวๆกล้าๆ แต่สุดท้ายก็ตัดใจมายืนที่เดิม หวังว่าจะได้เห็นคนสวยคนเดิม หุ่นเดิมๆ แต่ผิดคาดกลายเป็นตัวเราเองที่มีหน้าท้องเป็นชั้นๆ แถมยังยืดย้วยพุงห้อย มีรอยท้องลายดำๆเหมือนตัวหนอนเต็มไปหมด ก็ได้แต่ถอนใจนอนก่ายหน้าผากคิดถึงตัวเองเมื่อครั้งยังเคยสาวยังเคยสวย  
  
  
เห็นแล้วก็อดกลุ้มใจแทนไม่ได้  .....
  
  
เรื่องราวของหน้าท้องของคุณแม่ มันก็ไม่ได้เลวร้ายเป็นหนังเศร้าอย่างนี้ทุกคนหรอกครับ ถ้าเราดูแลตัวเองดี ปฎิบัติตัวดี เรื่องราวของหน้าท้องก็สามารถจบลงแบบแฮปปี้เอ็นดิ้งได้ไม่ยากหรอกครับ ลองดูแองเจลีน่า โจลี่ , มาดอนนา ถ้าไทยๆหน่อยก็ดูสิเรียม ดูหมิวลลิตา เขาก็เป็นผู้หญิงเหมือนเรานี่แหละ เพียงแต่เขาอาจจะมีความตั้งใจมากกว่า อาจจะมีทุนมากกว่านิดหน่อย แต่ยังไงก็ตามก็เป็นผู้หญิงคนนึงเหมือนๆกันกับเรา เค้าทำได้ เราก็ต้องทำได้ เราก็สามารถกลับมามีหน้าท้องสวยๆได้เหมือนเดิม ขอเพียงแค่ความมุ่งมั่นตั้งใจเยอะๆเท่านั้น  
  
  
ปัญหาหน้าท้องหลังคลอด ถ้าจะแบ่งให้เห็นเป็นเรื่องเป็นราวชัดๆ ก็แบ่งออกได้เป็น 3 เรื่อง คือ  
  
  
ท้องลาย  
ท้องหนา  
ท้องห้อย  

ปัญหาหน้าท้องที่ว่าก็มักไม่ได้มีปัญหาเดียวเรื่องเดียว มีปัญหาทั้งทีก็มักจะมีหลายๆปัญหาพร้อมๆกัน เช่น หนาด้วย ลายด้วย หรือ ท้องหนา ท้องห้อย แต่ไม่ลาย ถ้าหนักหน่อยก็คงเป็นแบบ 3 in 1 ทั้งหนา ทั้งลาย ทั้งห้อย แต่สิ่งที่ผู้หญิงทุกคนต้องการก็คือ ไม่มีเลยสักปัญหา ประเภทคลอดเสร็จปั๊บ ใช้เวลาช่วงสั้นๆ ท้องก็กลับมาเรียบตึงแบนเหมือนเดิม ...  
  
  
เรามาดูแต่ละเรื่อง แต่ละปัญหากันดีกว่า  
  
  
ท้องลาย ... ก็ท้องแบนๆของผู้หญิงเรา มันก็มีเนื้อที่ข้างในนิดเดียวเอง กินอะไรเข้าไปมากหน่อยก็แน่นจะแย่อยู่แล้ว ตอนท้องอ่อนๆยืนส่องกระจกดูตัวเองก็ยังงงๆเลยว่า ลูกจะเข้าไปอยู่ในท้องได้ยังไง มันจะไปนอนเบียดอยู่ตรงไหน …แต่สุดท้ายมันก็อยู่ของมันได้ หน้าท้องมันก็ขยายของมันได้ทุกคน ไม่มีคนไหนที่ไม่มีที่ว่างพอสำหรับลูกในท้อง ไม่ว่าลูกจะตัวใหญ่แค่ไหน จะสี่กิโล ห้ากิโล ก็ยังอยู่ได้ ไม่ว่าจะอยู่กันกี่คนแฝดสามแฝดสี่ก็ยังเบียดกันอยู่ข้างในได้สบายๆ ก็ไม่เคยเห็นมีข่าว มีรายงานที่ไหนที่บอกว่าท้องแม่ขยายใหญ่มากจนหน้าท้องระเบิดใส้ทะลักออกมา..นึกแล้วก็หวาดเสียว! สรุปแล้วหน้าท้องของผู้หญิงเราก็รับการตั้งครรภ์ได้ไม่เกี่ยงขนาด ไม่เกี่ยงน้ำหนัก ขึ้นอยู่กับตัวแม่เท่านั้นแหละว่าจะแบกไหวหรือเปล่าเท่านั้นเอง  
  
  

  
  
แต่หน้าท้องผู้หญิงแต่ละคนก็ขยายมากขยายน้อยไม่เท่ากัน แต่ละคนก็มีรูปร่างไม่เหมือนกัน โครงสร้างก็แตกต่างกัน คนสะโพกใหญ่ อุ้งเชิงกรานก็ใหญ่ มดลูกก็จะจมอยู่ในอุ้งเชิงกราน โผล่ออกไปเหนืออุ้งเชิงกรานน้อยกว่า หน้าท้องก็เลยไม่ขยายมาก ยิ่งถ้าสะโพกก็ใหญ่ ตัวก็ใหญ่อีกด้วย มดลูกก็ยิ่งมีเนื้อที่เยอะ หน้าท้องก็เลยยืดนิดเดียว คนตัวใหญ่เวลาคลอดลูกไปเรียบร้อย หน้าท้องก็เลยไม่ค่อยลาย ไม่ค่อยหย่อน ส่วนคนสะโพกเล็ก หุ่นเล็ก ตัวสั้น นี่สิที่น่าเป็นห่วง เพราะสะโพกเล็ก อุ้งเชิงกรานก็เล็ก มดลูกก็จะลอยขึ้นไปเร็ว แถมยังตัวเล็ก ตัวสั้นอีก มดลูกโผล่ลอยไปในท้องไม่เท่าไหร่ก็ชนชายโครงแล้ว ขยายไปด้านบนไม่ได้ ก็เลยต้องดันขยายออกมาทางด้านหน้าแทน หน้าท้องของคนตัวเล็กก็เลยต้องยืดขยายมากกว่าคนตัวใหญ่ ยิ่งถ้าแม่ตัวเล็ก แต่ลูกดันตัวใหญ่ หน้าท้องก็จะยิ่งถูกยืดมากไปกันใหญ่ คนตัวเล็กเอวเล็กเอวน้อยก็เลยท้องยืดท้องยานท้องลายมากกว่าคุณแม่ตัวใหญ่ๆ  
  
  
  
โดยรวมแล้ว 90 เปอร์เซ็นต์ของคุณแม่จะท้องลาย บางรายก็มาก บางรายก็น้อย มีแค่ 10 เปอร์เซนต์ที่ทำบุญมาดีไม่มีท้องลาย คนผิวคล้ำ ผิวไทยๆจะลายง่าย เวลาลายก็จะลายเข้มดำๆเห็นชัด ส่วนคนผิวขาวๆผิวจีนๆจะลายยากกว่า แล้วถ้าลายก็จะลายสีเงินๆจางๆ คุณแม่ที่ท้องลายก็จะลายได้ตั้งแต่ใต้ราวนม ลงไปจนถึงหัวเข่า แต่ส่วนที่ลายมากที่สุดก็คือ ด้านข้างๆของหน้าท้อง ใต้แนวสะดือลงไป อีกที่ก็คือก้นทางด้านข้าง หลังคลอดท้องลายก็จะจางลง แต่ก็ไม่จางหายไปหมด เพราะท้องลายมันจะลายในเนื้อเลย ไม่ได้เป็นแค่ลายที่สีของผิว ขัดถูยังไงมันก็ไม่ออก อย่างมากก็อาจจะจางลงประมาณครึ่งนึงในหนึ่งปี แล้วท้องลายก็ไม่มีทางจางหมดหายขาดด้วย ... “จะให้หายต้องไปเกิดใหม่สถานเดียว”  
  
  
  
ปกติท้องจะเริ่มลายเมื่ออายุครรภ์ได้ประมาณ 28 สัปดาห์ ก่อนหน้านี้ท้องก็ยังขยายไม่มากพอก็เลยมักไม่ค่อยลาย พอลายแล้วก็จะลายมากขึ้นไปเรื่อยๆ หลัง 32 สัปดาห์ไปแล้ว หากไม่ลายก็จะไม่ลายอีก หากลายไปแล้วก็จะไม่ค่อยลายมากขึ้น ดังนั้นช่วง 28-32 สัปดาห์นี้แหละครับที่ต้องสนใจดูแลตัวเองให้มากเป็นพิเศษ การดูแลก็ง่ายๆ คือ ให้หน้าท้องยืดขยายน้อยที่สุด และ ให้ผิวหนังหน้าท้องชุ่มชื้นยืดหยุ่นได้ดีที่สุด  
  
  
  
การดูแลไม่ไห้หน้าท้องขยายมากเกินความจำเป็น ก็ควรดูแลอาหารการกินให้น้ำหนักขึ้นตามเกณฑ์ ช่วงนี้ก็คุมน้ำหนักให้ขึ้นสัปดาห์ละครึ่งกิโลก็พอแล้ว ถ้าน้ำหนักขึ้นมาก...หน้าท้องก็จะขยายตัวมากตามไปด้วย ยิ่งขยายมากก็ยิ่งลายมาก  
  
  
  
เวลานอนตะแคง น้ำหนักของมดลูกก็จะถ่วงดึงรั้งให้หนังหน้าท้องด้านตรงข้ามยืดตึงมากผิดปกติ เมื่อมีการดึงรั้งตัวมากๆเข้า ก็ทำให้เกิดการปริแตกของผิวหนัง ท้องลายก็เลยมักจะลายทางด้านข้างๆ ดังนั้นเวลานอนตะแคงคุณแม่ก็ควรหาหมอนบางๆ หรือ ผ้าขนหนูมาพับหนุนมดลูกไว้ ไม่ให้น้ำหนักมดลูกดึงรั้งผิวหนังหน้าท้องมากเกินไป  
  
  
  
อีกเรื่องที่ต้องดูแลเป็นพิเศษก็คือ การดูแลผิวพรรณให้ชุ่มชื้นยืดหยุ่นให้ดีที่สุด ก็ควรดื่มน้ำมากๆพยายามหลีกเลี่ยงการอาบน้ำร้อน เพราะว่ามันจะทำให้ผิวแห้งมาก หลังอาบน้ำก็ควรทาครีมบำรุงผิวทุกครั้ง หรือเวลาที่รู้สึกว่าผิวแห้งมากๆก็ทาครีมบ่อยๆ เคยได้ยินมาว่าทาครีมจะดีกว่าทาโลชั่น เนื้อครีมของครีมจะหนาแน่นมากกว่า ส่วนโลชั่นจะเป็นน้ำซะเยอะกว่า ก็ต้องลองดูเองนะครับ ส่วนจะใช้ยี่ห้ออะไรก็แล้วแต่รสนิยม แล้วแต่กำลังทรัพย์นะครับ บางคนทาแค่น้ำมันมะกอกขวดละ 30 บาท โอ้โห! ท้องดูสวยเนียนไม่มีที่ติ แต่บางคนทาครีมฝรั่งเศสกระปุกละสามพัน ท้องก็ยังลายอยู่ดี คุณแม่บางคนหลังทาครีมไปแล้วอาจมีอาการแพ้ หน้าท้องแดงไปหมดก็ควรหยุดทาทันที ถ้าอาการแดง อาการแพ้ไม่ดีขึ้นก็ควรไปพบแพทย์ผิหนังดีกว่าครับ ปกติครีมยิ่งหอมก็ยิ่งแพ้ง่าย ครีมไม่มีกลิ่นเลยก็ยิ่งแพ้ยาก เพราะเรามักแพ้ส่วนที่เป็นน้ำหอมในครีมนั่นเองครับ ...หลังทาครีมแล้ว ก็ยืนบิดไปบิดมาในห้องน้ำนั่นแหละ รอให้แห้งสักครู่แล้วค่อยสวมเสื้อผ้า คุณแม่บางคนทาครีมเสร็จปั๊บก็รู้สึกว่ามันเหนอะหนะไม่สบายตัว ก็เลยโรยแป้งทับต่ออีกชั้นทันที แป้งมีหน้าที่ดูดซับความมันของผิว ก็เลยดูดครีมราคาแพงของคุณแม่ออกจากผิวหมด ก็เลยเหมือนกับไม่ได้ทาอะไรเลย เสียของเปล่าๆ ...บางคนไม่ได้ทาครีมแล้วแถมยังทาแป้งล้วนๆอีกต่างหาก ยิ่งทาแป้งก็เลยยิ่งทำให้ผิวแห้งไปกันใหญ่ ก็ยิ่งทำให้ท้องลายมากขึ้น จำไว้เลยนะครับว่าแป้งเป็นศัตรูคนสำคัญของหน้าท้องยามตั้งครรภ์เลยทีเดียว  
  
 

 
  
ศัตรูที่สำคัญของหน้าท้องอีกอย่างก็คือ “เล็บ” ตอนนี้ก็ควรตัดเล็บให้สั้นๆไว้ เพราะไหนๆหลังคลอดก็ต้องตัดเล็บกันอยู่แล้ว เพราะเล็บยาวๆจะจับสำลีเช็ดก้นลูกไม่ได้ ก็ตัดมันซะตั้งแต่ตอนท้องนี่แหละ คุณแม่บางคนก็หวงเล็บมาก เพราะไปทำสี ไปเพ๊นท์มาเสียไปหลายตังค์ ก็เลยให้เลือกเลยว่า รักหน้าท้องหรือรักเล็บ ตัดเล็บเล็บมันก็ขึ้นใหม่ได้ แต่ท้องลายมันลายชั่วชีวิตเลยนะจะบอกให้...เลือกกันเอาเองก็แล้วกัน บางคนก็บอกว่าขอไว้เล็บยาวเถอะ รับรองได้ว่าไม่มือบอนไปเกาแน่ๆ กลับมาตรวจท้องอีกทีปรากฎว่ามีรอยเป็นทางตามรอยนิ้วเลย ก็เพราะคนเรามักจะเกาโดยไม่ได้ตั้งใจซะเป็นส่วนใหญ่ ตอนหน้าท้องขยาย หนังหน้าท้องมันก็มักจะคันยิบๆ ตอนนอนคนเราก็มักจะเกาโน่นเกานี่ เกาแบบไม่รู้ตัวซะด้วย ตื่นมาก็เลยมีแต่รอยเกาเต็มหน้าท้อง ถ้าไม่ตัดเล็บก็คงต้องผูกมือเอาไว้กับหัวเตียง เลือกเอาเองก็แล้วกันนะ  
  
  
  
  
ท้องหนา ...  จากตอนสาวๆที่หน้าท้องแบนราบ บางเบา พอท้องไปท้องมาคลอดเสร็จปั๊บก็นึกว่าหน้าท้องมันจะยุบลงมาเหมือนเดิม แต่ที่ไหนได้ ถึงหน้าท้องมันจะยุบลงมาหน่อย แต่จับดูหน้าท้องมันหนาเหมือนหมูสามชั้นเลย แล้วก็ต้องเป็นหมูตอนตัวอ้วนๆหน่อยด้วย ที่หน้าท้องหนากันขนาดนี้ก็เพราะในระหว่างการท้อง คุณแม่กินเก็บสะสมมากเกินไป พอคลอดเสร็จ ให้ลูกกินนมแม่บ้าง นมขวดบ้าง ก็ยังใช้ไขมันส่วนที่สะสมไปไม่หมด เหลือตกค้างอยู่บานเบอะ ดูจากน้ำหนักตัวที่ตกค้างอยู่ก็น่าจะบอกได้ไม่ยาก แถมหลังคลอดแทนที่จะออกกำลังกายเผาผลาญไขมันส่วนเกินไปบ้าง กลับยิ่งกินเยอะไปมากกว่าเก่า กลัวกินน้อยแล้วไม่มีน้ำนม สุดท้าย หน้าท้องก็เลยหนานุ่ม ตีเล่นดูแล้วกระเพื่อมเหมือนเตียงน้ำเลย  
  
 

 
คนที่คลอดแล้วหน้าท้องเหลือเยอะบานเบอะ กับคนที่ท้องกินยังไงก็ไม่อ้วน ดูดูแล้วก็มักจะเห็นแววกันตั้งแต่ท้องอ่อนๆแล้วครับ คนที่ท้องแล้วอ้วนง่าย ..น้ำหนักก็จะขึ้นไปได้อย่างรวดเร็วตั้งแต่ท้องอ่อนๆ ส่วนคุณแม่ประเภทที่กินให้ตายยังไงน้ำหนักก็ไม่ค่อยขึ้น พวกนี้คลอดแล้วก็อ้วนยาก  
  
  
ตั้งแต่ตอนตั้งครรภ์อ่อนๆ มดลูกในท้องของคุณแม่ก็จะขยายตัวโตวันโตคืน แต่กว่าจะโตโผล่พ้นอุ้งเชิงกรานออกมาจนมองเห็นได้ ก็ต้องโตกว่า 3 เดือนไปแล้ว แต่ถ้าท้องยังไม่ทันไร ยังไม่ถึงสามเดือนด้วยซ้ำ หน้าท้องของคุณแม่ดันโตเอาโตเอาก็แสดงว่าที่โผล่ออกมามันไม่ใช่มดลูกหรือลูกในท้องแล้วครับ แต่เป็นพุง เป็นไขมันหน้าท้องของคุณแม่เองซะมากกว่า อย่างนี้เค้าก็เรียกกันว่า “ท้องโตก่อนเวลา”  
  
  
คุณแม่บ้านเราก็มักจะมีค่านิยมแบบนี้แหละ พอรู้ว่าท้องก็ตั้งหน้าตั้งตากินกันไม่มียั้ง อ้างว่ากินบำรุงลูกไว้ก่อน แต่ที่จริงแล้วลูกในท้องยังตัวเล็กกว่าเม็ดถั่วเขียวเสียด้วยซ้ำไป กินเข้าไปลูกก็ไม่ได้ใช้ เพราะช่วงแรกๆลูกยังต้องการอาหารจากแม่น้อยมากๆ ลูกเขามีไข่แดง หรือถุงอาหารสำรองติดตัวมาด้วย ที่แม่กินเข้าไปเยอะแยะก็เลยเหลือตกค้างไปสะสมที่ตัวแม่เองเกือบทั้งหมด พุงก็เลยปลิ้นออกมาตั้งแต่ยังท้องไม่ครบเดือนด้วยซ้ำไป  
  
  
อยู่ที่ทำงาน คุณแม่หลายคนก็ชอบเอาพุงไปอวดกัน ใครท้องเล็กก็ดูเหมือนจะเป็นที่อับอายขายหน้าประชาชี ใครท้องใหญ่ก็คุยทับคนอื่นทันทีว่าชั้นกินดี บำรุงดี ของดีดีมีที่ไหนก็ต้องขวนขวายไปสรรหามากิน ลูกจะได้ตัวโต ฉลาดแข็งแรง แต่ที่จริงการเอาพุงมาเทียบกันมันไม่ได้แปลว่าลูกใครแข็งแรงกว่ากัน หรือฉลาดกว่ากันหรอกครับ ...น่าจะแปลว่าไขมันของใครเยอะกว่ากันมากกว่า  
  
  
เรื่องกินเรื่องใหญ่ ที่แพ้ท้องก็แพ้กันไป ส่วนคนที่ไม่แพ้ก็ต้องกินฉลองกันหน่อย ตอนท้องจะกินเท่าไหร่ก็ไม่มีใครว่า แถมยังให้ท้ายอีกนะว่าให้กินเยอะๆลูกจะได้แข็งแรง คุณแม่หลายๆคน ท้องยังไม่ทันจะสามเดือนเลย แต่พุงใหญ่อย่างกับท้องเจ็ดแปดเดือน ...คุณแม่ที่อยากให้หลังคลอดแล้วหน้าท้องดูดี อย่างแรกก็ต้องดูแลเรื่องอาหารการกินของตัวเองให้ดีก่อน ให้ท้องโตเป็นตัวเด็กล้วนๆ ให้เป็นไขมันที่หน้าท้องน้อยที่สุด คลอดแล้วเหลือหน้าท้องแบนแต๊ดแต๋ ...  
  
  
เริ่มแรกก่อนอื่นใด..คุณแม่ต้องสร้างจินตนาการในการกินก่อน ลองจินตนาการดูว่า คลอดลูกออกมาเรียบร้อยแล้ว และกำลังอุ้มลูกอยู่ในมือ อุ้มลูกดูแล้วพินิจพิเคราะห์ดูตั้งแต่หัวจรดเท้าว่า “ตัวลูกนั้นเราสร้างมาจากอะไร” ตัวเด็กทั้งตัวนั้น มีเนื้อหนัง มีกล้ามเนื้อ มีอวัยวะต่างๆ ทั้งหมดก็สร้างมาจากโปรตีนล้วนๆ กระดูกก็สร้างมาจากแคลเซี่ยม เซลประสาททั้งหลายก็สร้างมาจากโปรตีน กับ วิตามินบี ...เด็กทั้งตัวก็มีไขมันนิดหน่อย แต่ไม่มีส่วนไหนของลูกที่ทำมาจากแป้งเลย อาหารแป้งๆทั้งหลาย ทั้งของหวาน ขนมขบเคี้ยว ขนมเค๊ก ของอร่อยๆทั้งนั้น กินแล้วก็แทบไม่ได้สร้างอะไรให้ลูกเลย อยู่ที่แม่ล้วนๆ แล้วอาหารพวกโปรตีนมันก็ไม่ค่อยอร่อยยิ่งท้องก็ยิ่งรู้สึกว่ามันเหม็นคาว กว่าจะกินได้ก็ต้องฝืนกันแทบตาย  
  

  
สรุปแล้ว “กินโปรตีนลงลูก กินแป้งลงแม่”...เวลากินอะไรเข้าไป พอกลืนลงท้องแล้วหลับตานึกดูได้เลยว่ามันไปไหน ...กินหมู กินไก่ ไปสร้างลูก กินไข่ กินปลาก็ลงลูก ...กินทองหยิบทองหยอด ไปลงหน้าท้องแม่ กินโดนัทกินพิซซ่าก็ไปหน้าท้องแม่หมด ดังนั้นอยากเป็นคุณแม่คนสวยเหมือนเดิมก็ต้องเริ่มด้วยการกินที่มีคุณภาพ กินให้เหลือตกค้างที่แม่น้อยที่สุด ให้ลูกได้มากที่สุด คุณภาพดีที่สุด  
  
  
หนังหน้าท้องของคุณแม่จะหนาที่สุดก็ทางด้านข้าง และจะบางที่สุดก็บริเวณรอบสะดือ ส่วนที่บางก็จะถูกยืดขยายมากกว่าส่วนที่หนา ผิวหนังบริเวณสะดือจะถูกขยายใหญ่ขึ้นกว่าเดิมมากกว่า 9 เท่า จากพื้นที่ 1 ตารางนิ้ว สะดือก็จะถูกยืดออกไปเป็น 9 ตารางนิ้ว รอยดำๆภายในรูสะดือก็เลยบานออกมา เลยเห็นเหมือนรอบสะดือดำกว่าปกติ สะดือที่เคยเป็นรูลึกก็จะตื้นขึ้นเรื่อยๆจนแบนราบ หลายๆคนก็มีความเชื่อว่ารูสะดือ อย่าไปแคะ อย่าไปถูมาก เดี๋ยวจะปวดท้อง แต่ที่จริงแล้วการทำความสะอาดขัดถูภายในรูสะดือก็ไม่มีผลอย่างว่าใดๆครับ ตอนนี้ก็เลยถือเป็นโอกาสอันดีที่คนที่สะดือมีขี้ไคลเยอะๆจะได้ล้างทำความสะอาดเสียบ้าง  
  
  
คนที่อ้วนๆหน้าท้องหนาก็มักมีรูสะดือลึกตามความหนาของหน้าท้อง ถ้าผอมๆหน้าท้องไม่หนาสะดือก็จะบางๆแบนๆ บางคนสะดืออาจจะบางจนถูกดันโป่งเป็นจุกออกมาข้างนอกเลยก็ได้ แล้วจะโป่งออกมาชัดเวลาไอจาม พอคลอดแล้วสะดือก็หดกลับเข้าที่ได้เองครับ ไม่ต้องตกใจ  
  
  
คุณแม่หลายคนก็อาจมีอาการเจ็บรอบๆสะดือ อาการเจ็บนี้ก็จะเจ็บตื้นๆ ไม่ได้เจ็บภายในท้อง ไม่ได้เจ็บมดลูก มดลูกเองก็ไม่ได้บีบตัว ยิ่งเกร็งหน้าท้องก็ยิ่งเจ็บ ที่มีอาการแบบนี้ก็เพราะในบริเวณหน้าท้องทั้งหมด บริเวณสะดือก็จะเป็นส่วนที่บางที่สุด กล้ามเนื้อก็บางที่สุดด้วย เวลาคุณแม่ทำท่าไม่ดี เช่นเกร็งหน้าท้องลุกขึ้นจากท่านอน หรือเกร็งหน้าท้องล้มตัวลงนอน หรือ ไปทำกิจกรรมอะไรก้แล้วแต่ที่มีการเกร็งหน้าท้องมาก ไปยกของหนัก ก้มๆเงยๆ กล้ามเนื้อหน้าท้องบริเวณสะดือ ซึ่งเป็นจุดที่บอบบางที่สุด ก็อาจมีอาการเจ็บกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้อฉีกขาดได้ ซึ่งก็ไม่ได้มีอันตรายต่อการตั้งครรภ์ใดๆ ลดกิจกรรมลงบ้าง เดี๋ยวก็จะหายเอง  
  
  
  
ท้องหย่อน ... หน้าท้องคนเราก็เหมือนยางยืดนั่นเองครับ พอยืดไปแล้ว ก็มักหดไม่เข้าที่เหมือนเดิม ยิ่งเด็กโตมากเท่าไหร่ หน้าท้องก็ยิ่งโตมากขึ้นเท่านั้น ยิ่งยืด ก็ยิ่งยาน หลังคลอดหน้าท้องก็เลยหย่อนหมดสภาพ บางทีหย่อนขนาดเอามือรวบหนังท้องเหี่ยวๆไว้แล้วมัดเป็นจุกได้เลย  
  

ในระหว่างที่ตั้งครรภ์ คุณแม่หลายคนก็อาจมีอาการถ่วงท้องน้อย ยิ่งเดินมากก็ยิ่งถ่วงมาก นั่นก็เพราะแรงโน้นถ่วงของโลกจะทำให้ผนังหน้าท้องส่วนล่างๆต้องออกแรงอุ้มมากกว่าส่วนอื่นๆ หน้าท้องส่วนล่างก็มักจะยืดหย่อนกว่าที่อื่นๆด้วย ท้องแรกก็ไม่ค่อยเท่าไหร่ แต่พอท้องสองท้องสามผนังหน้าท้องยืดหย่อนยานไปหมดแล้ว ท้องก็จะห้อยยานลงไปที่หน้าขาเลยล่ะครับ ยิ่งห้อยลงมามากก็จะยิ่งรู้สึกถ่วงท้องน้อย ถ่วงหน้าขามาก ถ้ามีอาการถ่วงมากก็ให้ยืนหรือเดินให้น้อยลง ให้พักผ่อนให้มากขึ้น ถ้าจำเป็นต้องยืน หรือเดินมากก็ควรใส่เข็มขัดพยุงครรภ์ หรือกางเกงชั้นในแบบพยุงครรภ์ก็จะช่วยได้บ้าง อาการเหล่านี้จะหายได้เองในช่วงหลังคลอด  
  
  
เอาล่ะตอนนี้ ไหนๆก็ท้องไปแล้ว ไหนๆท้องมันก็พังไปหมดแล้ว จะมามัวนั่งเซ็ง นั่งนิ่งดูดายมันก็ไม่ช่วยอะไร คนอื่นอีกมากมายในโลกนี้ เขาก็ยังกลับมาหุ่นดีท้องแบนท้องบางได้เหมือนเดิม เขาทำได้ ...เราก็ต้องทำได้ แค่อาศัยความมุ่งมั่นตั้งใจเท่านั้นเอง  
  
  
หลักการง่ายๆ ...ใช้ให้หมด ...อย่าโปะเพิ่ม ...เสริมกล้ามท้อง  
  
  
ใช้ให้หมด ไม่ใช่ใช้เงินให้หมดนะครับ เดี๋ยวจะอดตายไม่มีกิน ใช้ให้หมดในที่นี้ก็ใช้ไขมันของเก่าที่สะสมมาตลอดการท้องให้หมดเท่านั้นเอง โดยพยายามให้ลูกกินนมแม่ให้เต็มที่ หลีกเลี่ยงการให้กินนมขวด ยิ่งกินนมแม่มากเท่าไหร่ ร่างกายเราก็จะเอาไขมันต่างๆที่สะสมไว้มาใช้เท่านั้น ...แต่ถ้าให้ลูกกินนมแม่ไม่สำเร็จ ก็จะเกิดปัญหาไขมันหน้าท้องตกค้าง คลอดเหลือเท่าไหร่ สามเดือนต่อมาก็เหลือเท่านั้น...เห็นแล้วก็กลุ้มใจ  
  
  
อย่าโปะเพิ่ม ก็แปลว่าคลอดลูกเรียบร้อยแล้ว หน้าท้องยังเหลือตกค้างตั้งเยอะ ก็ต้องพยายามใช้พลังงาน เผาผลาญพลังงานออกไปให้หมด และพยายามอย่าสะสมไขมันของใหม่เข้ามา หลักการที่สำคัญก็คือ “การควบคุมอาหารการกินให้ดี”  
  
  
หลังคลอดใหม่ๆก็ไม่รู้ไปเหนื่อยมาจากไหน มันจะทั้งโหยทั้งหิว กินหม้อหุงข้าวลงไปทั้งใบยังได้เลย ก็ตอนลูกยังอยู่ในท้อง มดลูกมันก็ใหญ่ มันก็เบียดกระเพาะอาหารแบนแต๊ดแต๋อยู่ใต้กระบังลม กินอะไรไปนิดหน่อยก็จุกแน่นถึงคอหอยแล้ว พอคลอดลูกเรียบร้อย มดลูกมันก็หดเหลือนิดเดียวท้องมันก็โล่ง กินอะไรเข้าไปมันก็ไม่เต็มซะที เพราะหลังคลอดมันมีเนื้อที่เหลือเฟือ  
  
  
ดังนั้นหลังคลอดเวลากินอาหารก็ต้อง “กะด้วยสายตา ...อย่ากะด้วยความรู้สึก” เวลากินข้างเราก็ต้องกะปริมาณว่ากินแค่นี้ จานเท่านี้พอแล้ว ถ้ากินไปเรื่อยๆอิ่มแล้วเลิก รับรองว่ามื้อนึงกินได้สองสามจานกว่าจะอิ่ม ก็จะได้ปริมาณอาหารมากเกินไป ก็จะเหลือตกค้างสะสมที่คุณแม่อีกเพียบ  
  
  
แล้วก็ต้อง “กินดี แต่ไม่ต้องกินเยอะ” แปลว่ากินเน้นคุณภาพ ไม่เน้นปริมาณ หลังคลอดคุณแม่ต้องให้นมแม่ ก็จะต้องเสียน้ำ เสียโปรตีน เสียแคลเซี่ยมไปให้ลูก แล้วน้ำนมแม่ก็ไม่มีแป้ง ไม่มีน้ำตาล เป็นโปรตีนล้วนๆ ดังนั้นถ้าคุณแม่กินแป้ง กินน้ำตาลมาก ก็ไม่ได้ช่วยสร้างน้ำนมใด ที่กินเข้าไปก็เลยไปสะสมที่หน้าท้องแทน ...อาหารหลังคลอดก็ควรเน้น โปรตีน นมพร่องมันเนย น้ำและเกลือแร่ แค่นี้ก้พอแล้ว  
  
  
เสริมกล้ามท้อง ตอนท้อง หน้าท้องมันก็ยืดขยายตามตัวเด็ก พอคลอดไปแล้วท้องมันก็ห้อยย้วยเหมือนลูกโป่งปล่อยลมเหี่ยวๆ เห็นคุณหมอบอกให้พยายามให้ลูกกินนมแม่ ให้คุมอาหาร ก็ทำตามที่หมอบอกทุกอย่าง น้ำหนักก็ลดดี ดูแล้วก็ผอมลงเยอะ แต่พุงมันก็ยังเหี่ยวเหมือนเดิม ...คือว่ามันขี้เกียจน่ะ เลยไม่ค่อยได้ออกกำลังกายเท่าไหร่ ผอมพุงห้อยแบบนี้ เอาเป็นว่าเราจะเรียกว่า “ผอมแบบสีเทา” ก็แล้วกัน ผอมแบบนี้ก็ผอมกระหร่องซี่โครงบาน แต่มีพุงห้อยย้วยอยู่ข้างล่าง ผอมแบบนี้ดูยังไงก็ไม่สวย ถ้าจะให้สวยก็ต้องออกกำลังกาย “เสริมกล้ามท้อง” โดยการซิตอัฟทุกวัน วันละอย่างน้อย 30 ครั้ง ตอนเช้าตื่นขึ้นมาก็เกร็งหน้าท้องเอาเข่ายกขึ้นมาชนหัวเกร็งไว้สักแป๊บนึง ทำสัก 10 ครั้ง พอตอนเที่ยงก็ทำอีกยกยกละ 10 ที ตอนเย็นก็ทำอีกยก ยกละ 10 ที ถ้าขยันหน่อยก่อนนอนก็อีกสักยก วันนึงก็ได้บริหารหน้าท้องได้เยอะพอสมควร ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ กล้ามเนื้อหน้าท้องที่ถูกมดลูกขยายดันออกมาจนหย่อนก็จะค่อยๆตึงตัวแข็งแรงขึ้นเรื่อยๆ หน้าท้องก็จะแบนราบลงเรื่อยๆจนแบนแต๊ดแต๋ แบบนี้เขาเรียกว่า “ผอมแบบอุ้มลักขณา” สิ่งสำคัญที่สุดของการออกกำลังกายก็คือ ความตั้งใจตัวเดียวนั่นเองล่ะครับ ส่วนมากที่เห็นห้อยๆกันอยู่ทุกวันนี้ก็เพราะทำแค่วันสองวันก็ขี้เกียจทำแล้ว ไปหาสเตย์มาใส่ดีกว่า  
  
 

 
ที่จริงผมก็ไม่ชอบให้ใส่สเตย์นะครับ มันเหมือนเป็นการหลอกตัวเอง เวลาใส่ก็ดูดี ไปไหนคนก็ต้องมองเหลียวหลัง แต่ที่ไหนได้พอแกะสเตย์ออกพุงก็แผละห้อยออกมา นั่นแหละตัวจริง คนที่โชคร้ายที่สุดก็คือคุณสามีนั่นเองครับ คนอื่นเห็นตอนสวยๆ แต่คุณสามีต้องมาอยู่กินนอนกับพุงห้อยๆตอนอยู่บ้านอยู่คนเดียว การใส่สเตย์ก็ยังทำให้คนเราไม่กระตือรือล้นที่จะออกกำลังกายอีกต่างหาก เห็นภายนอกหุ่นดีเป็นที่พอใจก็เลยเลิกบริหารซะเลย ไม่ต้องไปใส่สเตย์มันหรอกครับ ให้เห็นหุ่นตัวเอง ทรมานใจตัวเองดี สุดท้ายก็ทนตัวเองไม่ได้ จำยอมต้องบริหารจนพุงยุบไปเองจนได้  
  
  
แต่ผมว่าน่าจะเอารูปคุณอุ้มลักขณาไปติดที่หน้าประตูห้องนอนนะครับ เห็นทุกวันจะได้อิจฉาเขาบ้าง แต่ถ้าสุดท้ายแล้วยังพุงพะโล้ไม่ยอมยุบ เดี๋ยวคุณสามียื่นคำขาดว่าจะไปหาใหม่ ถึงตอนนั้นก็คงตรอมใจจนผอมไปเอง แต่บางทีก็อาจจะสายเกินไปนะครับ/.  

 


ความคิดเห็น