แพ้ท้อง...เป็นเรื่องธรรมชาติ
แพ้ท้องเรื่องธรรมชาติ
เพิ่งจะดีใจเมื่อรู้ว่าตัวเองตั้งครรภ์ได้ไม่นาน ...
คุณแม่ก็ต้องมาเจอกับมรสุมแห่งการตั้งครรภ์ซะแล้ว นั่นก็คือการแพ้ท้อง..
บททดสอบบทแรกของการเป็นแม่
เกิดมาเป็นหมอสูติอย่างผม
ได้เจอคุณแม่ที่แพ้ท้องมามากมายนับไม่ถ้วน เห็นแล้วก็อดสงสารไม่ได้ครับ
บางคนเจอกันครั้งแรกเมื่อท้องอ่อนๆ คุณเธอสวยใสปิ๊งเชียว
เจอกันอีกที..อีกสองสัปดาห์ต่อมานึกว่าผีหลอก ต้องหามมาให้น้ำเกลือ หน้าตูบ หัวกระเซิงสุดโทรม
ครั้นสองเดือนผ่านไปมาเจอกันอีก กลับสวยปิ๊งเหมือนเดิมอย่างกับคนละคน
บางคนก็ต้องมาเข้าๆ ออกๆ ให้น้ำเกลือกันเจ็ดแปดรอบ พอคุณเธอหายแพ้ท้องเห็นอะไรก็กินอร่อยไปหมด เห็นบอกว่าจะกินล้างแค้น กว่าจะคลอดน้ำหนักขึ้นมาเกือบยี่สิบกิโล...พอคลอดเสร็จตัวอย่างกับกระปุกตังฉ่าย อย่างนี้น่าจะให้แพ้ท้องนานๆ หน่อยน่าจะดีกว่านะ
มาแพ้ท้องกันดีกว่า
ทำไมคนเราถึงต้องแพ้ท้องด้วยนะ?
หมาแมวเป็ดไก่ที่บ้านก็ไม่เคยเห็นมันจะต้องแพ้ท้องเลย? ...
แพ้ท้องแทบตาย ไปถามคุณหมอว่าทำไมต้องแพ้ท้องด้วย..หมอก็เหลือบตามองเพดานแล้วก็บอกว่า นั่นน่ะสิ! หมอยังไม่รู้เลย ...
สาเหตุของการแพ้ท้อง ถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่มีใครทราบแน่นอนว่าเกิดจากอะไร
บางตำราก็ว่าเป็นเพราะปฏิกิริยาของร่างกายต่อฮอร์โมนที่รกและเด็กสร้างขึ้น ยิ่งเด็กแข็งแรงมากก็ยิ่งสร้างฮอร์โมนออกมามาก..ก็ยิ่งแพ้มาก แต่ถ้าเด็กไม่ค่อยแข็งแรง ไม่เป็นตัว เป็นท้องลม มีภาวะเสี่ยงต่อการแท้ง ฮอร์โมนก็จะน้อย ก็เลยไม่ค่อยแพ้
เลยพอสรุปได้ว่า “คนที่แพ้ท้องจะไม่ค่อยแท้ง ส่วนคนที่แท้งมักจะไม่แพ้ท้อง”
ดีอย่างก็เสียอย่างนะครับ
พอท้องแล้วก็ไม่ใช่ว่าจะต้องแพ้ท้องทุกคนนะครับ.. คุณแม่ประมาณครึ่งนึงเท่านั้นที่จะมีอาการแพ้ท้อง บางคนแพ้มาก บางคนแพ้น้อย คนที่แพ้น้อยๆ อาจมีแค่เหม็นอาหารนิดๆหน่อยๆ วิงเวียนคลื่นไส้เล็กน้อย แต่ไม่ถึงกับอาเจียน
ส่วนคนที่แพ้มาก ก็จะอาเจียนตลอด เช้า สาย บ่าย ค่ำ กินอะไรนิดก็อาเจียน ได้กลิ่นอะไรนิดก็อาเจียน บางทีแทบต้องนอนกอดชักโครก โงหัวขึ้นมาทีไรต้องอาเจียนทุกที แบบนี้อาการหนักนานๆเจอที ..ต้องให้นอนให้น้ำเกลือกันไป
คุณแม่หลายคนก็มีอาการเหม็นน้ำลายตัวเอง กลืนน้ำลายตัวเองไม่ได้เลย ไปไหนก็ต้องถือถุงพลาสติกเอาไว้ตลอด ต้องบ้วนน้ำลายอยู่ตลอดเวลา เห็นหน้าตัวเองแล้วเหมือนผีหลอก
นอกจากนั้น คุณแม่ส่วนใหญ่ก็จะมีอาการอ่อนเพลีย ไม่มีแรง ขี้เกียจ อยากนอนทั้งวัน ไม่รู้พลังงาน เรี่ยวแรงมันหายไปไหนหมด พอได้นั่งก็ไม่อยากจะลุกไปไหน พอได้นอนก็แทบเอาช้างมาฉุดกว่าจะลุกไปไหนได้ เหมือนมีไข้ต่ำๆรุ่มตอนเย็นๆ ปากแห้ง น้ำลายขม กินอะไรก็ไม่อร่อย ต่อให้หาพ่อครัวฝีมือดี แบบรสชาดไม่มีเพี้ยน กินยังไงมันก็ไม่อร่อย ไม่ถูกปากเหมือนเดิม ..
ส่วนอารมณ์ก็แปรปรวน หงุดหงิดง่าย แถมยังขี้งอน ขี้น้อยใจ มากกว่าปกติด้วย..(เรื่องสำคัญเลยล่ะ)
อาการแพ้ท้องนี่ก็ไม่ได้เกิดขึ้นทันทีที่รู้ว่าตั้งครรภ์นะครับ ช่วงแรกก็จะหลอกให้ดีใจไปก่อน จะมาเริ่มแพ้เมื่อประจำเดือนขาดหายไปประมาณ 2 สัปดาห์ หรือถ้านับแบบหมอ คือเริ่มนับเมื่อประจำเดือนมาวันแรก ก็จะเริ่มแพ้เมื่ออายุครรภ์ 6 สัปดาห์ แล้วแพ้หนักขึ้นเรื่อยๆ ไปหนักสุดในช่วงสัปดาห์ที่ 9 หลังจากนั้นจะเริ่มดีวันดีคืนจนหายแพ้ท้องตอนอายุครรภ์ 14 สัปดาห์ ถ้าคุณแม่คนไหนโชคดี ก็อาจมีแถม มีอาการแพ้ท้องนิดๆ แพ้ท้องหน่อยๆ ไปจนตลอดการตั้งครรภ์
เวลาเจอคุณแม่ที่ตั้งครรภ์อ่อนๆ บางทีก็ดูออกเลยนะครับว่าคนไหนจะแพ้ท้องเยอะคนไหนจะแพ้น้อย คุณแม่ตัวบางร่างน้อย เงียบๆหงิมๆ ขี้ออดอ้อน คุณแม่กลุ่มนี้ก็มักมีอาการแพ้ท้องมากกว่าคุณแม่ตัวบึกๆ ตัวใหญ่ๆ แบบสาวห้าว
คุณแม่กลุ่มแรกพอท้องก็มักจะต้องการการดูแลเอาใจใส่มากกว่าปกติ เมื่อตั้งครรภ์ความรู้สึกลึกๆ ข้างในจะสร้างอาการแพ้ท้องขึ้นมา เพื่อบอกคนรอบๆ ข้างให้รู้ว่า "ฉันท้องแล้วนะ ต้องดูแลประคบประหงมฉันมากๆ นะ" อาการแพ้ท้องจะยังคงเป็นอยู่ต่อไปจนหน้าท้องขยายโตขึ้น ตอนอายุครรภ์ 12 สัปดาห์ เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงของร่างกายชัดเจนขึ้น ทำให้คุณแม่มีความรู้สึกว่ามีสิ่งทดแทนแล้ว ไม่ต้องอาศัยการแพ้ท้องเพื่อเป็นการแสดงให้คนอื่นๆ รับรู้ว่า "ฉันกำลังท้อง" อีกต่อไป มีคนเคยบอกเอาไว้ว่า
แพ้ท้อง เป็นเรื่องของร่างกายครึ่งนึง อีกครึ่งนึงเป็นเรื่องของใจ
ว่าแล้วก็ต้องให้กำลังใจตัวเองหน่อย ...สู้..สู้..นะคุณแม่
แพ้ท้อง..รักษาได้ด้วยกาลเวลา!!
รักษาแพ้ท้อง ก็เหมือนรักษาอาการอกหัก คือ รักษาด้วยกำลังใจและกาลเวลา (คนไม่เคยอกหัก..ก็คงไม่เข้าใจ!)
เมื่อแพ้ท้อง ไม่ว่าจะทำยังไง กินยาอะไร มันก็ยังแพ้ท้องอยู่ดี ได้แต่รอวันเวลาผ่านไป อาการแพ้ท้องก็จะดีขึ้นตามกาลเวลา แล้วก็จะหายไปตอนอายุครรภ์ 14 สัปดาห์
ยิ่งในสัปดาห์ที่ 16-18 เมื่อเริ่มรู้สึกว่าลูกดิ้น อาการแพ้ท้องก็ยิ่งหายสนิท มันเป็นความรู้สึกที่คุณแม่จับต้องได้ถึงชีวิตอีกชีวิตหนึ่งภายในครรภ์ของคุณแม่เอง ความรู้สึกนี้จะช่วยย้ำให้จิตใต้สำนึกของคุณแม่ยอมรับถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ช่วงนี้อาการแพ้ท้องจะหายเป็นปลิดทิ้งทีเดียว ..
แล้วก็จะตามมาด้วยช่วงของการกินล้างแค้น!
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าอาการแพ้ท้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับภาวะจิตใจค่อนข้างมาก แต่มันก็เป็นอาการที่เกิดขึ้นจริงๆ ไม่ได้เป็นการเสแสร้งเพื่อเรียกร้องความสนใจ เป็นอาการที่ไม่สามารถควบคุมได้
ดังนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ คุณพ่อและคนรอบข้างต้องเข้าใจ เห็นอกเห็นใจ คอยช่วยเหลือให้กำลังใจ อาการแพ้ท้องก็จะดีวันดีคืน
แต่หากคุณพ่อไม่เข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้น รู้สึกรำคาญ หรือหมดความอดทน แถมยังไม่ให้กำลังใจอีกด้วย ทั้งๆ ที่เป็นตัวต้นเหตุที่ทำให้คุณแม่ต้องตั้งครรภ์ ก็ยิ่งจะทำให้ภาวะจิตใจของคุณแม่แย่ลง อาการแพ้ท้องก็อาจเป็นมากขึ้นกว่าเดิมก็ได้
อาการแพ้ท้องมักจะเป็นหนักในคุณแม่ท้องแรก และมักจะน้อยลงในท้องต่อๆไป
คนที่ไม่แพ้ท้องเลยในท้องนี้ ท้องหน้าก็อาจจะแพ้หรือไม่แพ้ก็ได้ คุณแม่บางคนในท้องแรกอาจแพ้ ท้องสองไม่แพ้ ท้องสามไม่แพ้ ท้องที่สี่แพ้ เอาแน่เอานอนไม่ได้ ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับสุขภาพของแม่ สุขภาพของลูกในครรภ์ และสภาวะจิตใจของคุณแม่
คุณแม่ที่อายุน้อยๆ ก็มักมีอาการมากกว่าคุณแม่ที่มีอายุมาก
คุณแม่ที่ทำงานสบายๆ ทำงานนั่งโตะ อยู่ห้องแอร์เย็นสบาย ครู แอร์โฮสเตส มักจะมีอาการแพ้ท้องมากกว่าคุณแม่ที่ทำงานหนัก ...คุณแม่ที่ค้าขาย ทำงานตากแดด ตากฝน ตัวล่ำบึ้กทนทานพวกนี้ก็นึกภาพไม่ออกหรอกครับว่าแพ้ท้องเป็นยังไง
เท่าที่เคยเจอมาคุณแม่ที่เป็นหมอนี่แหละที่แพ้หนักที่สุด .....สงสัยจะทำงานสบายไป!
เมนูพิเศษสำหรับคนแพ้ท้อง
คุณแม่บางคนมีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการกินไปอย่างผิดหูผิดตา
ของที่เคยชอบตอนนี้กลับไม่ชอบ ของที่ไม่เคยชอบเลยอาจจะมาชอบทานเอาตอนนี้ก็ได้
บางคนชอบทานของรสจัดๆ ของเปรี้ยวๆเช่น บ๊วย มะนาวดอง ฯลฯ อย่างไรก็ตาม ของพวกนี้ตอนซื้อก็ควรเลือกที่ดูดีหน่อย แบบมีตรา อย. ดีกว่าจะซื้อแบบล้วงออกมาจากขวดโหล จะได้ไม่ต้องห่วงเรื่องความสะอาดและความปลอดภัย
อาหารการกินของคุณแม่ในช่วงนี้มีความสำคัญมาก จะกินได้มากหรือน้อยขึ้นกับของที่จะกินนี่แหละ
อาหารของคนแพ้ท้องควรเป็นอาหารอ่อนๆ ย่อยง่ายๆ เพราะในระหว่างตั้งครรภ์ ฮอร์โมนที่สูงขึ้นจะมีผลทำให้ลำไส้ทำงานช้าลง อาหารที่ย่อยยากจะผ่านไปได้ยาก มีอาการอืดแน่นท้องได้ง่าย
อาหารที่ดีควรเป็นอาหารที่ย่อยง่าย ให้พลังงานได้ทันที เพราะบางทีกินอาหารไปได้พักเดียวก็อาเจียนแล้ว ..
ที่แนะนำคุณแม่ที่แพ้หนักๆแล้วได้ผลดี ก็ให้กินไอศครีมนั่นเองครับ
ไอศครีมมีน้ำตาล หวานมัน ละลายเป็นน้ำอย่างรวดเร็ว ไหลผ่านกระเพาะได้เร็ว(อาเจียนแล้วไม่ออก) ให้พลังงานสูง แถมความเย็นก็ยังช่วยกดอาการคลื่นใส้อาเจียนได้บ้าง บางคนก็ชอบรสช๊อคโกแลต บางคนก็ชอบสตอเบอรี่ บางคนก็ชอบยักษ์คู่ ที่เป็นสองแท่งติดกัน ชอบแบบไหนก็ซื้อมาตุนได้เลย
พอแนะนำให้กินไอศครีมแล้ว ก็ดีขึ้นนะ คนไข้ที่แพ้ถึงขนาดต้องให้น้ำเกลือก็ลดลง บางคนแพ้ท้องหนัก แต่น้ำหนักดันขึ้นตลอดก็เพราะไอสครีมนี่แหละ
หายแพ้ท้องแล้วก็อย่ากินเพลินก็แล้วกัน ไอศครีมน่ะมันทำให้อ้วนง่าย
นอกจากนี้อาหารอื่นๆที่กินก็ควรเป็นอาหารที่ไม่มีกลิ่นคาว ไม่มัน
กลิ่นคาวอาจกระตุ้นให้เกิดการอาเจียนได้ง่าย เช่น ถ้าข้าวต้มก็ควรเป็นข้าวต้มขาวเปล่าๆกับไข่เค็ม หมูหยอง จะกินได้ดีกว่าข้าวต้มปลา ข้าวต้มหมู ที่มักมีกลิ่นคาว ยิ่งกินก็ยิ่งอาเจียน เสียของเปล่าๆ ครับ
ของอุ่นๆ กินอร่อยกว่าของเย็นๆ
คุณแม่หลายๆ คนพอถึงเวลาอาหารก็ได้แต่นั่งมองตาปริบๆ กว่าจะเริ่มกินอาหารก็เย็นชืดไปหมดแล้ว อาหารที่เย็นจะยิ่งทำให้คุณแม่รู้สึกคลื่นไส้อาเจียนมากขึ้นกว่าเดิม จึงควรกินในขณะที่อาหารยังอุ่นๆร้อนๆค่อยๆนั่งซดไปเรื่อยๆ นอกจากจะกินได้ดีกว่า ยังทำให้รู้สึกอร่อยมีรสชาดมากกว่าด้วย
และบางทีขณะที่คลื่นไส้มากๆ จวนเจียนจะอาเจียนอยู่แล้ว การจิบน้ำอุ่นจัดๆ ก็จะช่วยทำให้ไม่อาเจียนได้อีกด้วย
จัดบุปเฟต์เล็กๆในบ้าน
คุณแม่ที่กำลังแพ้ท้อง ถ้าจะให้ตั้งโต๊ะกินอาหารเป็นมื้อๆ สามมื้อต่อวัน มันเหมือนถูกบังคับให้กินยังไงก็ไม่รู้ ทั้งๆที่ที่จริงแล้ว ไม่มีความอยากกินเลยสักนิด ..
ลองจัดอาหารบุปเฟต์ที่บ้านก็น่าจะดีนะ ลองลิสรายการของที่ชอบให้คุณสามีไปจัดการ ตั้งมุมเล็ก มุมน้อยในบ้าน ตรงนั้นมีขนมปังกรอบ ตรงนี้มีน้ำผลไม้เย็นๆ ในตู้เย็นมีไอศครีมครบทุกรส ตรงโน้นมีพายผลไม้ มีของกินจุกจิกเต็มไปหมด พยายามกินเล็กกินน้อยไปเรื่อยๆ กินไปเรื่อยๆวันนึงก็ได้เยอะเหมือนกัน อย่าไปคาดหวังเลยว่าจะกินอาหารแบบเป็นมื้อใหญ่
ใครมาบอกให้กินเยอะๆก็อย่าไปบ้ายอกินเยอะตามเขา
เพราะหากกินอาหารเยอะจนอิ่มมากเกินไปก็มักจะอาเจียนออกมาหมดไม่มีเหลือ
ให้กินเพียงรู้สึกว่าพอแล้ว ไม่ถึงกับอิ่ม แล้วให้กินบ่อยๆ แบ่งเป็นมื้อย่อยๆ ก็จะไม่ค่อยอาเจียน การไม่กินอะไรเลย บางทีก็อาจทำให้อาเจียนมากขึ้นด้วยซ้ำไป
เมื่อคุณแม่ท้องว่างก็มักจะมีอาการ ‘โหย’ ในท้อง และมักมีอาเจียนเป็นฟองน้ำลายปนกับน้ำย่อยเหลืองๆ ออกมา หาอะไรรองท้องบ้างนิดๆ หน่อยๆ จะรู้สึกสบายท้องขึ้น
กินแล้วอย่านอน
คุณแม่ที่มีอาการแพ้ท้องก็มักจะอ่อนเพลีย อยากนอนทั้งวัน พอหิวก็ลุกขึ้นมาหาอะไรกิน..
แต่พอกินเสร็จมันก็ยังเวียนหัวอยากนอน พอนอนไปได้สักแป๊บเดียวก็ต้องลุกขึ้นมาอาเจียนอีก เพราะตอนที่ตั้งครรภ์ ฮอร์โมนจากการตั้งครรภ์จะทำให้หูรูดส่วนบนของกระเพาะอาหารคลายตัวลง อาหารย้อนไหลออกมาได้ง่ายขึ้น
เวลาคุณแม่กินอะไรอิ่มๆแล้วนอนทันทีอาหารก็จะไหลย้อนกลับออกมาหมด เสียดายของ
หลังอาหารมื้อที่กินได้เยอะพอควร คุณแม่ควรเดินย่อยอาหารประมาณครึ่งชั่วโมง ทำตัวให้สดชื่น ผ่อนคลาย ถ้ามีอาการคลื่นไส้ก็ควรนั่งพักสบายๆ หลับตา หายใจยาวๆ ลึกๆ กำหนดจิตที่ลมหายใจ อย่าไปสนใจความคลื่นใส้พะอืดพะอมที่คอยรบกวนใจอยู่
ถ้าเหนื่อยก็ยังไม่ควรนอนทันที เพราะอาจจะทำให้อาเจียนได้ นั่งหลังพิงเอนนอนเล็กน้อยสบายๆดีกว่า
สิ่งทดแทน
ภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นบ่อยๆในคุณแม่ที่แพ้ท้องก็คือ “ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ”
เมื่อคุณแม่ไม่ค่อยได้กินอะไร ร่างกายก็ไม่ได้รับพลังงาน ก็จะมีอาการหน้ามืดเป็นลม ท้องไส้ปั่นป่วน มือเท้าเย็น เหงื่อออกตามมือตามเท้า
ซึ่งถ้าเปรียบเทียบคนเราเป็นเหมือนรถยนต์ อาการน้ำตาลในเลือดต่ำก็เหมือนกับรถยนต์น้ำมันหมดนั่นเอง
ดังนั้น แม้จะมีอาการคลื่นใส้ อาเจียนมาก ก็ต้องฝืนหาอะไรกินบ้าง เพื่อให้ร่างกายมีพลังงานเพียงพอ ไม่เป็นลมเป็นแร้งไปเสียก่อน
หากกินอะไรไม่ได้เลยก็ควรหาลูกอมหวานๆ อมบ้าง อาจดื่มน้ำส้ม น้ำผลไม้ น้ำหวาน น้ำอัดลม ก็จะทำให้สดชื่นขึ้น ช่วยให้พลังงานกับร่างกายได้บ้าง
แต่ก็ควรหลีกเลี่ยงน้ำอัดลมประเภทน้ำดำที่มีคาเฟอีน ซึ่งไม่เหมาะสำหรับคุณแม่
คุณแม่ที่แพ้ท้องหลายๆ คนก็รู้สึกดีขึ้นหากได้จิบน้ำขิงร้อนๆ ซึ่งจะช่วยลดอาการคลื่นไส้อาเจียนได้ดี แถมยังทำให้สดชื่นขึ้นบ้างด้วย ..
ถ้าลองกินเต้าฮวยแทนข้าวแล้วไม่อาเจียนก็น่าลองเหมือนกันนะ ก็ยังกว่าไม่ได้กินอะไรเลย
น้ำแก้วเดียวก็ช่วยได้
ตอนที่กำลังพะอืดพะอม จะอาเจียนก็ไม่อาเจียนสักที ช่วงนี้เป็นช่วงที่ทรมานมากสำหรับคุณแม่ที่แพ้ท้อง
หากได้จิบน้ำอุ่นๆ ค่อนไปทางร้อนนิดๆ หรือหายใจเอาไอน้ำอุ่นๆ เข้าไปให้เต็มปอด ก็จะช่วยลดอาการคลื่นไส้อาเจียนลงได้บ้าง
นอกจากนั้นถ้าคลื่นไส้จนอั้นไม่อยู่ หลังอาเจียนออกไปจนหมดแล้วก็ควรดื่มน้ำอุ่นๆ สักแก้ว เพื่อล้างกลิ่นของอาเจียนในปากในคอออกให้หมด
กลิ่นของอาเจียนมักจะทำให้ชวนอาเจียนต่อไปเรื่อยๆ
การดื่มน้ำหลังอาเจียนจะช่วยชะล้างกรดจากกระเพาะที่ค้างอยู่ในหลอดอาหาร ซึ่งจะช่วยไม่ให้จุดแสบยอดอกหลังจากอาเจียนอีกด้วย
แต่งกลิ่น สร้างบรรยากาศ
อย่างที่บอกว่า กลิ่นอาเจียนจะชวนอาเจียนต่อเสมอ ..
ดังนั้นต้องทำให้รอบตัวเราปราศจากกลิ่นอาเจียน
เวลาอาเจียนก็ต้องอาเจียนให้เป็นที่เป็นทาง ไม่อาเจียนใส่กระโถนเอาไว้ในห้อง ไม่อาเจียนเลอะเทอะจนกลิ่นติดผ้าติดเตียง ได้กลิ่นแล้วก็ชวนคลื่นใส้
ดีที่สุดก็ให้อาเจียนลงชักโครกไปเลย เสร็จแล้วก็กดน้ำให้เกลี้ยง ไม่มีกลิ่นเหลือตกค้าง
อาเจียนใส่อ่างล้างหน้าก็ไม่ดีเท่าไหร่ เพราะอ่างมันจะตัน แถมเศษอาหาร เศษอาเจียนก็จะค้างบูดอยู่ในคอห่าน มีกลิ่นออกมาอีกต่างหาก
คุณแม่ที่แพ้ท้อง จมูกก็มักจะดีกว่าปกติ..(เหมือนอะไรไม่บอกดีกว่า เดี๋ยวมีงอน!!) ..มีกลิ่นอะไรนิดๆหน่อยๆก็มีอาการซะแล้ว
ดังนั้นคุณแม่ก็ควรอยู่ให้ห่างๆห้องครัวเอาไว้ ..ถ้าจมูกไวต่อกลิ่นนัก ก็หากลิ่นดีดีเอาไว้ดมดีกว่า อยู่ที่ไหนก็สร้างบรรยากาศดีดีด้วยกลิ่นแบบอโรมาเทอราปี่ มีทั้งแบบธูปหอม น้ำมันหอมระเหย ไปลองดมหากลิ่นที่ชอบ ชอบกลิ่นไหนก็เลือกเอาเองก็แล้วกัน
แต่กลิ่นที่ช่วยลดอาการคลื่นใส้ได้ดีก็มี เปบเปอร์มิ้นท์ กับ เลมอน แต่บางกลิ่นก็ควรหลีกเลี่ยงนะครับ เช่น โรสแมรี่ โหระพา แครี่ชาร์ต เขาว่ากันว่าจะทำให้แท้ง หรือตกเลือดได้ง่าย ไม่รู้จริงหรือเปล่า แต่หลีกเลี่ยงเอาไว้ก่อนก็ดี
สร้างบรรยากาศดีดี ปรับกลิ่นให้สดชื่น โลกนี้ก็จะมีความสุขเพิ่มขึ้นอีกเยอะ
พักผ่อนให้เพียงพอ
คนปกติอย่างเรา หากอดนอนแล้ว บางทีตื่นมาตอนเช้าก็จะรู้สึกเหมือนนอนไม่พอ มีอาการเวียนหัว มึนหัว บางทีถึงกับคลื่นไส้พะอืดพะอม
ตอนแพ้ท้องยิ่งอดนอนอาการก็จะยิ่งหนักมากกว่าเก่า
คุณแม่ที่แพ้ท้องจึงควรเข้านอนแต่หัวค่ำ นอนหลับให้เต็มที่ แต่ไม่ควรตื่นสาย
ส่วนในช่วงกลางวันคุณแม่ที่กำลังแพ้ท้องมักรู้สึกเวียนหัวอยากนอน แต่ที่จริงก็ไม่ควรนอนกลางวัน เพราะยิ่งนอนก็จะยิ่งรู้สึกงงงงงัวเงีย….
คือ ถึงเวลานอนก็ต้องนอนให้เต็มที่
ถึงเวลาตื่นก็ต้องทำตัวให้สดชื่นไว้ อย่ามัวแต่ทำตัวง่วงๆ แต่ก็ไม่แนะนำให้กินกาแฟนะครับ
หาอะไรทำให้เพลินๆ ดีกว่า
ถ้าสังเกตุให้ดีวันไหนที่คุณแม่หยุดอยู่บ้านวันเสาร์-อาทิตย์ จะแพ้มาก
วันธรรมดาวันทำงานก็มักจะดีขึ้น
วันไหนงานยุ่งมากอาการแพ้ท้องก็จะน้อย
ตอนที่ทำงาน บางทีงานมันก็ยุ่งจนไม่ค่อยได้มีเวลาคิดถึงเรื่องแพ้ท้องสักเท่าไหร่ แต่พอได้หยุดอยู่บ้านไม่รู้จะทำอะไร เบื่อๆ ก็เลยกลับมามีอาการแพ้ท้องหนักทุกที
ดังนั้น คุณแม่พยายามอย่าทำตัวให้ว่าง หาอะไรทำอยู่ตลอดเวลา ปลูกต้นไม้ ทำสวน อ่านหนังสือ หาหนังเกาหลี หนังญี่ปุ่น หนังชุดยาวๆมาดู หาอะไรทำก็ได้ให้เพลินๆ จะได้เบี่ยงเบนความสนใจไปจากเรื่องอาเจียนบ้าง
แต่ถ้าคุณแม่ทำตัวห่อเหี่ยว ท้อแท้ จมอยู่กับเรื่องแพ้ท้องอย่างเดียว อาการก็จะยิ่งแย่ ....ให้กำลังใจตัวเอง แล้วไปหาอะไรทำสนุกๆดีกว่า
วงจรงูตกบันได
เกมส์นี้เป็นเกมส์กระดาน ที่ต้องใช้ทอยลูกเต๋าแต้มแล้วเดินตามช่องไปเรื่อยๆ
หากเดินไปถึงช่องที่มีบันไดก็จะข้ามลัดขึ้นไปได้เยอะ
หากไปเจอช่องที่เป็นงูก็จะต้องตกลงถอยหลังกลับ
ใครเดินไปถึงเส้นชัยก่อนจะเป็นผู้ชนะ
ตอนผมเด็กๆ ผมชอบเล่นเกมส์นี้มาก เด็กเดี๋ยวนี้คงไม่เคยเห็นเกมส์แบบนี้กันแล้วมั๊ง เดี๋ยวนี้เด็กๆก็หันมาเล่นเกมส์ออนไลน์กันหมดแล้ว ไม่รู้คุณแม่จะนึกออกหรือเปล่า
ตอนแพ้ท้องมันก็เหมือนเกมส์นี้นั่นเองครับ
บางวันก็รู้สึกสดชื่นสบาย ไม่ค่อยแพ้ ดีอยู่วันสองวันก็กลับมาแพ้ใหม่ แพ้อยู่สองสามวัน เดี๋ยวก็หาย แล้วเดี๋ยวก็มาแพ้ใหม่เอาแน่ไม่ได้...
บางทีก็เรียกว่า สามวันดี สี่วันไข้
ช่วงที่กำลังรู้สึกดูดีคุณแม่จึงควรกินให้ได้มาก พักผ่อนเยอะเพื่อให้วันที่ดีๆ ยาวนานมากที่สุด
พอกลับมาแพ้อีกก็ต้องพยายามกินบ้างประทังเอาไว้ อีกไม่กี่วันเดี๋ยวก็ดีขึ้นเอง
ไม่ไหวแล้ว...ทำยังไงดี?
กรณีที่คุณแม่อาเจียนมาก กินอะไรไม่ได้เลย พยายามกินก็อาเจียนจนหมดทุกที จนร่างกายไปไม่ไหว มีอาการขาดน้ำ อาการน้ำตาลในเลือดต่ำ อ่อนเพลียมาก
ถึงตอนนี้ก็คงจำเป็นต้องเข้ารักษาในโรงพยาบาลแล้ว
พอคุณหมอเห็นหน้าปั๊บก็จะรู้เลยล่ะว่าอย่างนี้ต้องนอนรักษาในโรงพยาบาลแล้ว
คุณแม่จะตาลึกโบ๋กว่าปกติ แก้มตอบ ปากแห้ง ผิวแห้งจากการขาดน้ำ
พอเข้านอนในโรงพยาบาลแล้วคุณหมอก็จะให้น้ำเกลือ ให้กลูโคสเพื่อให้พลังงานแก่คุณแม่ รวมถึงให้ยาแก้อาเจียนด้วย
ยาแก้อาเจียนที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้จะเป็นยาที่ชื่อ Dramamine เป็นยาที่ใช้กันมานานแสนนาน และยังไม่พบว่ามีผลต่อทารกในครรภ์ใดๆ ทั้งสิ้น
คนที่แพ้หนักก็มักจะใช้อย่างฉีด แต่ถ้าแพ้น้อย ถึงปานกลางก็ให้กินยาก็พอแล้ว
คุณแม่ที่แพ้ท้องควรกินยานี้ 2 ชั่วโมงก่อนมีอาการแพ้ ซึ่งปกติแล้วคนที่แพ้ท้องจะรู้เวลาที่จะแพ้ได้ชัดเจน บางคนแพ้ตอนเช้า บางคนแพ้ช่วงเย็นๆ
ถ้าเริ่มมีอาการคลื่นใส้อาเจียนไปแล้ว การกินยาตามหลังก็จะไม่ค่อยหาย เพราะจะอาเจียนเอายาออกมาทุกที ดังนั้นก็ควรกินยา 2 ชั่วโมงก่อนมีอาการ พอจะเริ่มแพ้ ยาก็ออกฤทธิ์พอดี จะช่วยลดอาการอาเจียนได้มาก
มีอะไรที่มากกว่าการแพ้ท้อง..หรือเปล่า?
อย่างที่รู้กันว่า อาการแพ้ท้องมักสัมพันธ์กับปริมาณฮอร์โมนที่รกและตัวอ่อนสร้างออกมาในระหว่างที่ตั้งครรภ์
ดังนั้นภาวะใดๆที่มีฮอร์โมนของการตั้งครรภ์สูงมากๆๆๆ ก็อาจทำให้เกิดอาการแพ้ท้องได้มากผิดปกติด้วย เช่น “การตั้งครรภ์แฝด” ..มีเด็กอยู่ข้างในสองคน รกก็ต้องใหญ่ตามไปด้วย ฮอร์โมนก็ต้องมาก ก็ยิ่งแพ้มาก
ความผิดปกติอีกอย่างที่เจอไม่เยอะ แต่ก็อาจโชคร้ายเกิดขึ้นได้ นั่นก็คือ “การตั้งครรภ์ไข่ปลาอุก” แค่ชื่อฟังแล้วก็กลุ้มใจแล้ว โรคนี้เป็นโรคของรก ซึ่งมีการแบ่งเซลล์ผิดปกติ รกจะขยายตัวมากมายและบวมน้ำ เป็นถุงเล็กๆเหมือนไข่ปลาใสๆอยู่เต็มภายในมดลูก ซึ่งก็จะไม่มีตัวเด็กเกิดขึ้น เมื่อรกขยายตัวมากมาย ฮอร์โมนของการตั้งครรภ์ก็สูงปรี๊ด อาการอาเจียนก็จะมากมายสาหัส ดังนั้นเวลาคุณแม่มีอาการแพ้ท้องหนัก คุณหมอก็มักจะต้องดูอุลตร้าซาวด์ เพื่อดูว่ามีอะไรผิดปกติข้างในหรือเปล่าด้วย ...
ไม่ได้กินอะไรเลย แล้วลูกจะโตหรือเปล่า?
อย่างที่เคยบอกนะครับว่า คนที่แพ้ท้องมักไม่แท้ง ส่วนคนที่แท้งก็มักจะไม่แพ้ท้อง
ยิ่งลูกในท้องแข็งแรงมากก็จะสร้างฮอร์โมนออกมามาก แม่ยิ่งแพ้มาก..
ดังนั้นเวลาคุณแม่แพ้ท้อง คุณหมอก็มักแอบดีใจว่า ลูกในครรภ์มักจะแข็งแรง แม้ว่าคุณแม่จะสุดโทรมเลยก็ตาม ..
แล้วลูกในครรภ์ช่วง 12 สัปดาห์แรกก็จะไม่ได้ใช้อาหารที่แม่กินเข้าไปสักเท่าไหร่
ในช่วงแรกๆ นี้เองลูกในครรภ์ก็จะมีถุงอาหารของเขาเองติดตัวมาด้วย เหมือนไข่ไก่ที่จะมีไข่แดงเป็นถุงอาหารสำหรับเลี้ยงตัวอ่อน
ถุงอาหารของลูกเราเรียกว่าไข่แดงเหมือนกัน แต่ไข่แดงของผู้หญิงเราจะมีเมื่อตอนที่ท้องเท่านั้น (ตอนไม่ท้องก็ไม่มีไข่แดงให้เจาะนะครับ)
คุณแม่ที่แพ้ท้องมากๆ จึงไม่ควรกังวลว่าลูกจะไม่มีกินนะครับ ลูกจะใช้อาหารจากไข่แดงที่มีติดตัวเขามา และเมื่อใช้หมด ลูกก็จะใช้อาหารจากกระแสเลือดของแม่ แล้วใช้สารอาหารที่แม่เก็บสะสมเอาไว้ก่อน ไม่ได้ใช้อาหารที่แม่เพิ่งกินเข้าไป ไม่ว่าแม่จะกินหรือไม่ได้กิน ลูกก็จะดูดซึมอาหารมาจากแม่ด้วยอัตราคงที่
มีการวิจัยในสวีเดน เมื่อไม่นานมานี้ เขาบอกว่าคุณแม่ที่แพ้ท้องหนักๆ ใน 3 เดือนแรก จะมีโอกาสที่ลูกในครรภ์เป็นผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย
อันนี้ก็คงต้องฟังหูไว้หูนะครับ เพราะที่บ้านผมท้องแรกไม่แพ้เลย แต่ท้องที่สองแพ้หนักเกือบแย่ แต่ที่ไหนได้ออกมาเป็นผู้หญิงทั้งคู่..สงสัยสูตรนี้จะใช้ได้เฉพาะที่สวีเดนเท่านั้นมั๊ง
เรื่องแพ้ท้องนี้สำคัญอยู่ที่กำลังใจ
ท่องเอาไว้เลยว่า เริ่มที่ 6 สัปดาห์ ...หนักที่ 9 หายที่ 14 สัปดาห์
แพ้แล้ว เดี๋ยวมันก็จะชนะเอง
ขอเพียงเวลาเท่านั้น
ตอนนี้แค่ต้องการกำลังใจตัวเองเยอะๆเท่านั้นเอง นับวันเวลาไว้...
อีกไม่นานเดี๋ยวก็หายแล้ว มองไปข้างหน้า แล้วเราก็จะมองเห็นแสงสว่างข้างหน้าเสมอ
กำลังใจ และ กาลเวลา จะช่วยทำให้คุณแม่ผ่านพ้นวันอันแสนทรมานไปได้ในที่สุด
ไว้หายแพ้เมื่อไหร่...ค่อยกลับมากินล้างแค้นก็ไม่สายนะครับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น