เจาะน้ำคร่ำ...หวาดเสียวจัง!
ผู้หญิงอายุขนาดนี้แล้วเพิ่งมาตั้งครรภ์ อะไรมันก็คงไม่ดีเท่าตั้งครรภ์ตอนสาวๆหรอกครับ ภาวะแทรกซ้อนในระหว่างการตั้งครรภ์ก็เกิดขึ้นมากกว่า มีโอกาสเกิดความดันโลหิตสูง เป็นครรภ์เป็นพิษ เป็นเบาหวานได้มากกว่า ที่สำคัญมีโอกาสที่ลูกในครรภ์จะมีความผิดปกติทางด้านโครโมโซมมากกว่าปกติด้วย
ความผิดปกติของโครโมโซมที่พบได้บ่อยที่สุดก็คือ Down’s Syndrome หรือ เด็กดาวน์ เด็กปัญญาอ่อน ที่เราพบกันบ่อยๆก็คือเด็กดาวน์นี่แหละครับ ยิ่งอายุมากก็ยิ่งมีโอกาสมีลูกที่เป็นเด็กดาวน์มาก
ตอนอายุ 30 ยังแจ๋ว ก็จะมีโอกาสเกิดดาวน์เพียงแค่ 1 ใน 800 ไม่มากไม่น้อย ...
แต่พออายุ 35 โอกาสเกิดดาวน์ก็จะเพิ่มเป็น 1 ใน 365 ชักเริ่มเยอะแล้ว...
ที่อายุ 40 โอกาสเป็นดาวน์ 1 ใน 108
ที่อายุ 45 โอกาสเกิดดาวน์ 1 ใน 33
ที่อายุ 50 ที่ยังอุส่าห์ท้องกับเขาก็จะมีโอกาสเกิดดาวน์มากถึง 1 ใน 12 เลยทีเดียว
แล้วปัจจัยที่ทำให้เกิดปัญญาอ่อนในเด็กนี้ก็มักจะเกี่ยวข้องกับอายุทางฝ่ายแม่ มากกว่าอายุทางฝ่ายพ่อ หากพ่ออายุมาก 80 จะลงโลงอยู่แล้ว แต่อาวุธสำคัญยังใช้การได้ ก็ไม่ได้มีผลต่อลูกในท้องเนื่องจากอายุแต่อย่างใด นั่นก็เพราะตัวอสุจิของฝ่ายผู้ชายนั้นสร้างขึ้นมาใหม่สดเสมอ ตัวอสุจิแต่ละตัวนั้นใช้เวลาสร้างตั้งแต่เกิดจนโตเต็มที่เพียงแค่ 48 ชั่วโมงเท่านั้นเองครับ โอกาสที่จะเกิดความผิดปกติจึงมีน้อยมาก แต่สำหรับไข่ในรังไข่ของผู้หญิงนั้นสร้างมาโน่นตั้งแต่คุณแม่เพิ่งเกิดเลย แล้วพอถึงวัยเจริญพันธ์ก็จะมีการตกไข่เดือนละใบๆ ตกไข่ได้ประมาณ 400 ในก็หมดประจำเดือน นั่นก็แปลว่าหากคุณแม่อายุ 35 ปี ไข่ที่จะตกออกมาก็จะมีอายุ 35 ปีด้วยเหมือนกัน ยิ่งไข่มีอายุมากก็จะมีโอกาสเกิดความผิดปกติมากตามไปด้วย
คนแก่มีเมียเด็ก..ลูกไม่ค่อยมีปัญหา แต่สามีเด็กเมียแก่นี่สิปัญหาเยอะ..โลกมันช่างไม่ยุติธรรมเลยนะ
พูดถึงโครโมโซมกันมาตั้งนาน คุณแม่หลายคนก็อาจยังนึกไม่ออกว่าโครโมโซมมันคืออะไร ....็ โครโมโซมก็เป็นรหัสทางพันธุกรรมที่ถ่ายทอดจากพ่อแม่ไปสู่ลูก ซึ่งก็มีรวมๆแล้วประมาณ สามพันล้านคู่ครึ่งหนึ่งจะมาจากพ่อ ส่วนอีกครึ่งก็มาจากแม่ แล้วโครโมโซมนี้ก็มีอยู่ในเซลทุกเซลในร่างกาย ทำหน้าที่กำหนดให้ร่างกายมีโครงสร้างรูปร่างหน้าตาตามที่กำหนดไว้ในโครโมโซม ถ้าเปรียบง่ายๆว่าถ้าสร้างบ้านต้องมีแบบแปลน โครโมโซมก็เปรียบเสมือนแบบแปลนสำหรับสร้างคนเรานี่เอง ถ้าโครโมโซมผิดไปจากปกติ ก็จะทำให้เด็กที่เกิดมามีความผิดปกติไปด้วย
ปกติคนเราจะมีโครโมโซม 23 คู่ เป็นโครโมโซมของโครงสร้างร่างกาย 22 คู่ เป็นโครโมโซมเพศ 1 คู่ ความผิดปกติของโครโมโซมอาจมีจำนวนโครโมโซมน้อย หรือมากกว่าปกติก็ได้ ภาวะเด็กดาวน์ที่พบได้บ่อยที่สุดนั้นแทนที่โครโมโซมคู่ที่ 21 จะมีเพียงแค่ 2 อันเป็น 1 คู่ แต่กลับมีโครโมโซมถึง 3 อัน เกินมาจากปกติ 1 อัน โครโมโซมเกินมาไม่ใช่ว่าดีนะครับ ส่วนที่เกินมานั้นก็ทำให้เกิดภาวะปัญญาอ่อน และความพิการของร่างกายอีกหลายอย่าง
เดี๋ยวนี้มีลูกกันไม่ค่อยเยอะ แค่คนสองคนก็พอแล้ว ไม่เน้นปริมาณ แต่เน้นคุณภาพ ...หากตั้งครรภ์ตอนอายุมาก มีความเสี่ยงสูงที่จะมีลูกปัญญาอ่อนก็ควรตรวจให้มั่นใจว่าลูกในครรภ์มีปัญหานี้หรือไม่ จะบอกว่า 1 ใน 365 โอกาสเป็นมันน้อยคงไม่เป็นไรมั๊ง! ก็คงไม่ดีหรอกครับ เพราะแค่ 1 ใน 100ก็มีความหมายแล้ว แล้วคนเราเกิดมาก็ทำบุญทำกรรมมาไม่เท่ากัน ลองคิดดูสิครับว่าหากโชคร้ายลูกเกิดเป็นปัญญาอ่อนแล้วชีวิตนี้จะเป็นอย่างไร เราก็ต้องคอยเลี้ยงดูเขาไปชั่วชีวิต แล้วเด็กดาวน์ก็มักมีอายุไม่ค่อยยืน ส่วนมากก็มักเสียชีวิตก่อน 10 ขวบ ถึงจะเป็นเด็กปัญญาอ่อน แต่พ่อแม่ทุกคนก็คงทำใจยากที่ต้องเสียลูกไปก่อนวัยอันสมควร หรือในครอบครัวที่มีลูกมาก่อนแล้ว เป็นครอบครัวเล็กๆที่มีความสุข พอตั้งครรภ์ที่สองแล้วลูกเกิดมาเป็นดาวน์ ความสุขในครอบครัวที่เคยมีก็จะหายไปหมด กลายเป็นภาระและปมด้อยของครอบครัว
ดังนั้นถ้าอายุครบ หรือเกิน 35 ปีในวันครบกำหนดคลอดก็แนะนำให้เจาะตรวจน้ำคร่ำดีกว่าครับ ดูน่ากลัวน่าหวาดเสียว แต่ก็เป็นการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุดสำหรับตัวเองและครอบครัว ถ้าผลออกมาเป็นปกติ จะได้สบายใจไปตลอดการท้อง แต่ถ้าหากแจ๊กพ็อตแตกเกิดพบว่าเป็นดาวน์ คราวนี้ก็อยู่ที่คุณแม่เลือกเองแล้วครับ ส่วนมากก็จะเลือกที่จะให้การตั้งครรภ์นั้นสิ้นสุดลง นั่นก็คือการทำแท้งด้วยเหตุผลทางการแพทย์ อาจจะเสียใจแค่วันเดียว แต่ก็คุ้มค่าสำหรับตัวเองและครอบครัว สำหรับตัวทารกเอง หากเขาเกิดมาเป็นดาวน์ มีภาวะปัญญาอ่อน เหมือนกับเขาต้องเกิดมาชดใช้กรรมอันแสนยาวนาน ให้โอกาสเขากลับไปเกิดใหม่อีกครั้งดีกว่า
ทีนี้หลายคนก็อาจสงสัยว่าเอ๊ะ..ทำไมต้องอายุ 35 ปีถึงต้องตรวจ ถ้าอายุ 28 ปีจะอย่างตรวจบ้างจะได้หรือเปล่า อยากเจาะมันก็เจาะได้ ...แต่ไม่คุ้มค่าหรอกครับ เนื่องจากการเจาะน้ำคร่ำเองก็อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนได้ อัตราการแท้งจากการเจาะน้ำคร่ำก็ประมาณ 3 ใน 1000 ซึ่งก็สูสีกับอัตราการการเกิดดาวน์ที่อายุ 35 ปี นั่นก็แปลว่าถ้าอายุน้อยกว่า 35 ปีถ้าเจาะน้ำคร่ำแล้ว โอกาสเกิดการแท้งจะมากกว่าโอกาสเกิดดาวน์ก็เลยไม่คุ้มที่จะเจาะ แต่ถ้าอายุมากกว่า 35 ปีขึ้นไปแล้วโอกาสเกิดดาวน์ก็จะมากกว่าก็คุ้มที่จะเจาะตรวจ แต่จะว่าไปแล้วตัวเลขอัตราการแท้ง 3 ใน 1000 ก็เป็นตัวเลขเก่าแก่ที่ใช้กันมานมนานแล้ว ในปัจจุบันเทคนิคการเจาะ ร่วมกับการใช้เครื่องอุลตร้าซาวด์ช่วยเล็งแนวในการเจาะก็พบว่าอัตราการแท้งน้อยลงมาก
ในรายที่อายุต่ำกว่า 35 ปี แต่มีประวัติเคยมีการตั้งครรภ์ที่มีความผิดปกติทางโครโมโซมมาก่อน มีความพิการแต่กำเนิด มีความผิดปกติที่ถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ในครอบครัว ก็จะมีความเสี่ยงต่อความผิดปกติทางโครโมโซมมากกว่าคนอื่นๆ ก็จะแนะนำให้เจาะตรวจน้ำคร่ำด้วย แม้ว่าจะอายุยังไม่ถึง 35 ปี
เมื่อคุณแม่ที่มีอายุมากไปฝากครรภ์ คุณหมอก็มักจะแนะนำให้เจาะตรวจน้ำคร่ำเมื่อตั้งครรภ์ได้ 16-18 สัปดาห์ ที่ต้องเจาะกันช่วงนี้ก็เพราะหากเจาะน้ำคร่ำตอนครรภ์อ่อนกว่านี้ก็มักมีปัญหาทำใหเกิดการแท้งได้บ่อยกว่า หากเจาะตอนท้องแก่กว่านี้ กว่าผลตรวจจะออกมาเด็กในท้องก็โตมากจนทำอะไรไม่ได้แล้ว
ก่อนจะถึงวันนัดเจาะน้ำคร่ำคุณแม่ส่วนใหญ่ก็มักโดนเพื่อนฝูง
ญาติพี่น้องขู่มาก่อนแล้วกันทั้งนั้น ส่วนมากก็เล่ากันมาเกินจริงทั้งนั้น
พอถึงวันต้องเจาะน้ำคร่ำคุณแม่ก็กลัวกันแทบแย่แทบทุกคน....
ไปดูของจริงตอนเจาะดีกว่า
ถึงวันเจาะน้ำคร่ำก็ไม่ต้องเตรียมตัวอะไรมากหรอกครับ แค่เตรียมใจไปให้พร้อมอย่างเดียวก็พอ ที่จริงมันก็ไม่น่ากลัวอย่างที่คิดหรอกครับ (...เคยแต่เจาะคนอื่น ไม่เคยโดนเจาะเองก็เลยไม่รู้ว่ามันน่ากลัวแค่ไหน!) คุณแม่ก็จะต้องนอนบนเตียงตรวจ เหมือนตรวจครรภ์ปกติแหละครับ คุณหมอก็จะอุลตร้าซาวด์ก่อนเพื่อดูว่าทารกในครรภ์นอนท่าไหน นอนชิดทางไหน หัวอยู่ตรงไหน เพราะปกติเราก็จะไม่เจาะใกล้หัวหรือใกล้หน้าของเด็ก คุณหมอจะพยายามหาส่วนว่างๆที่มีโอกาสทำให้เกิดอันตรายต่อทารกในครรภ์น้อยที่สุด ยิ่งถ้าอยู่ทางด้านหลังของเด็กได้ก็ยิ่งดี เพราะโอกาสที่เด็กจะดิ้นจะถีบมาโดนเข็มก็จะยิ่งน้อย แต่หากเด็กดิ้นมาโดนเข็มก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอกครับ ก็แค่เจ็บตัวนิดหน่อย แล้วเด็กก็จะหดขาหนีไปเอง
ช่วงแรกก็เป็นการอุลตร้าซาวด์เพื่อดูอายุครรภ์ ตรวจหาความผิดปกติทางโครงสร้าง และหาตำแหน่งที่ดีที่สุดในการเจาะน้ำคร่ำ ช่วงแรกนี้ก็ไม่น่ากลัวอะไรหรอกครับ
ช่วงสำคัญก็ช่วงที่สองนี้แหละ ก่อนอื่นก็ต้องปิดตาคุณแม่ก่อน ยิ่งเห็นก็ยิ่งกลัวครับ ปิดตาเสียเลยดีกว่า ใครจะไม่ตื่นเต้นถ้าเห็นเข็มยาวเฟื้อยเจาะเข้าไปในพุงตัวเอง ....หลังจากหาตำแหน่งการเจาะแล้วก็จะเริ่มด้วยการทายาฆ่าเชื้อโรคตรงบริเวณที่จะเจาะ และพื้นที่โดยรอบ แล้วก็ใช้ผ้าสะอาดปราศจากเชื้อที่ผ่านการนิ่งฆ่าเชื้อโรคมาแล้วปูบนหน้าท้อง ให้มีช่องสำหรับเจาะน้ำคร่ำอยู่ตรงบริเวณที่เราได้ทำเครื่องหมายไว้ เสร็จแล้วก็ฉีดยาชาตรงบริเวณที่จะเจาะ ขั้นตอนเหล่านี้ก็อาจแตกต่างกันไปบ้างนะครับ หมอแต่ละคนไม่ได้ทำเหมือนกับเปี๊ยบหรอกครับ แต่ก็คงไม่เพี้ยนไปจากนี้เท่าไร่ หมอบางคนก็อาจไม่ฉีดยาชา เพราะถ้าฉีดก็เจ็บ 1 ที ถ้าเจาะเลยไม่ต้องฉีดก็เจ็บ 1 ทีเหมือนกัน แต่ผมว่าฉีดยาชาก่อนน่าจะดีกว่านะครับ เพราะเข็มฉีดยาชามันเล็กนิดเดียว เข็มเจาะน้ำคร่ำมันใหญ่กว่าตั้งเยอะ แถมในระหว่างการเจาะบางก็ก็ต้องโยกไปโยกมาบ้างเพื่อให้ปลายเข็มไปอยู่ในตำแหน่งที่ดีที่สุด ถ้าไม่ฉีดยาชาซะก่อน ก็คงจะเจ็บน่าดู แต่บางหมอก็แม่นจิ้มปั๊บได้ปุ๊บ ก็แล้วแต่ความถนัดก็แล้วกันนะครับ
พอฉีดยาชาจนยาชาออกฤทธิ์แล้วก็จะเอาเข็มปักทะลุตรงที่ทำเครื่องหมายไว้ ระหว่างนี้ก็จะใช้เครื่องอุลตร้าซาวด์วางบนหน้าท้องดูปลาเข็มอยู่ตลอดเวลา คุณหมอก็จะดันเข็มลึกลงไปเรื่อยๆ ทะลุชั้นผิวหนัง ชั้นไขมัน ชั้นกล้ามเนื้อ จนถึงตัวมดลูก จนสุดท้ายปลายเข็มก็มารออยู่นอกถุงน้ำคร่ำ ขยับหัวเครื่องอุลตร้าซาวด์ ดูซ้ายขวาหน้าหลังให้สบายใจว่าจะไม่ไปโดนเอาเด็กเข้า ดูแน่ใจแล้วก็ดันเข็มเข้าไปอีกนิด ...ปุ๊..เข้าไปในถุงน้ำคร่ำเรียบร้อย ปลายเข็มก็ทะลุเข้าไปในถุงน้ำคร่ำ เดินเข็มเข้าไปอีกนิดแล้วก็เอียงเข็มให้ปลายเข็มตะแคงชี้ออกไปจากตัวเด็ก ถึงแม้ว่าตอนนี้เด็กเค้าเกิดอยากจะดิ้นพอดี ก็จะถีบโดนเฉพาะด้ามของลำเข็ม จะไม่ไปโดนคมของปลายเข็มเป็นอันขาด เมื่อได้ตำแหน่งดีแล้วคุณหมอจะจับเข็มให้นิ่งๆเข้าไว้แล้วเอาไซริ้งค์ขนาด 10 ซีซีมาต่อแล้วดูดเอาน้ำคร่ำออกไปช้าๆ พอเต็มแล้วก็เปลี่ยนเอาไซริ้งค์อีกอันมาดูดต่อ พอได้ครบ 20 ซีซี ก็เป็นอันเรียบร้อย ดึงเข็มออกช้าๆกดไว้แป๊บนึงแล้วแปะพลาสเตอร์ไว้เป็นเสร็จครับ
ที่สำคัญในระหว่างการเจาะน้ำคร่ำคุณแม่ควรอยู่เฉยๆนอนนิ่งๆที่สุดเท่าที่ทำได้ เอามือกอดอกไว้อย่าไปปัดอย่าไปยุ่งอะไรกับคุณหมอเขา ตอนโดนเข็มฉีดยาชาจิ้มก็อาจจะเจ็บนิดหน่อย ก็แกล้งๆทำเป็นไม่เจ็บก็แล้วกัน ระหว่างที่เจาะอยู่ก็นอนทำใจสบายๆไว้ คิดถึงเรื่องอะไรเพลินๆก็ได้ แต่ห้ามหัวเราะ ห้ามไอ ห้ามจาม เพราะตอนนี้มีเข็มยาว 10 เซนต์ปักคาอยู่ที่ท้อง อยู่นิ่งๆไว้อย่าดุ๊กดิ๊กใช้เวลาเจาะไม่ถึง 3 นาทีก็เสร็จแล้ว ...แต่ไม่ต้องถึงกับต้องกลั้นหายใจนะครับ เดี๋ยวจะขาดอากาศขาดใจไปซะก่อน
ในช่วงนี้น้ำคร่ำก็จะมีปริมาณประมาณ 200ซีซี ถูกดูดออกไป 20 ซีซีก็ไม่มีผลใดๆต่อการตั้งครรภ์ แล้วเยื่อบุถุงน้ำคร่ำก็จะสร้างน้ำคร่ำขึ้นมาทดแทนได้อย่างรวดเร็ว
เจาะน้ำคร่ำเสร็จแล้ว ทุกคนก็มักจะพูดเป็นเสียงเดียวกันเลยครับว่าไม่เจ็บอย่างที่คิด ไม่เจ็บอย่างที่เคยถูกขู่เอาไว้เยอะ แต่มันก็เสียว ทำยังไงก็ไม่หายเสียว สุดท้ายก็ผ่านวันนี้ไปได้ ...เจาะน้ำคร่ำเสร็จคุณหมอก็จะให้นั่งพักสังเกตอาการสักระยะ หากไม่มีอะไรก็ให้กลับบ้านได้
หลังเจาะน้ำคร่ำก็จะมีรูเท่ารูเข็มเกิดขึ้นหนึ่งรู ถ้ากลับบ้านไปพักผ่อนดี ไม่ทำงานหนัก ไม่ยกของหนัก ไม่เดินเยอะ ไม่ไปเพิ่มแรงดันในช่องท้องก็จะไม่ค่อยมีปัญหา แต่ถ้ากลับบ้านไปแล้วไปเดินเยอะ ทำงานเยอะ ไปเบ่งท้อง เพิ่มแรงดันในช่องท้อง น้ำคร่ำก็จะรั่วออกมาทางรูเข็มที่เจาะได้ ปกติแล้วรูนี้เป็นเซลที่มีชีวิตที่สามารถซ่อมแซมตัวเอง และปิดได้เองใน24ชั่วโมง ก็พยายามพักให้เต็มที่สักวันก็ยังดี ไม่ต้องขยันทำงานมากยิ่งถ้ามีอาการท้องแข็งบ่อยๆก็ควรต้องพักผ่อนให้มากขึ้น ภาวะแทรกซ้อนที่พบได้ก็คือมีมดลูกแข็งตัวก่อนกำหนด มีเลือดออก หรือมีน้ำเดิน ซึ่งถ้ามีอาการเหล่านี้ก็ควรรีบไปพบคุณหมอทันที ภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้พบได้ไม่บ่อยหรอกครับ 10 ปีมานี้ก็เจอแค่คนสองคน ส่วนพลาสเตอร์ที่ปิดอยู่ตอนเย็นอาบน้ำก็แกะออกได้เลย ไม่ต้องดูแลอะไรเป็นพิเศษ อาบน้ำ ทาครีมได้เหมือนปกติ
เจาะน้ำคร่ำเสร็จก็ไม่ได้รู้ผลเลยทันทีนะครับ
น้ำคร่ำที่ได้ก็จะส่งไปห้องแลป เอาไปปั่นจนตกตะกอน
ส่วนที่เป็นตะกอนก็คือเซลล์ของเด็กที่ล่องลอยอยู่ในน้ำคร่ำนั่นเองครับ
เอาเซลล์ที่ว่านี้มาเพาะเลี้ยงเซลล์บนถาดเพาะเลี้ยง จนได้กลุ่มของเซลล์เยอะมากขึ้น
จึงนำเซลล์เหล่านี้มาตรวจดูด้วยกล้องจุลทรรศน์อีเลคตรอน
แล้วจึงนำภาพที่ได้มาวิเคราะห์ด้วยคอมพิวเตอร์ แล้วจึงรายงานผลกลับมา
....ขั้นตอนมันเยอะมากฟังดูก็เหนื่อยแล้ว ขั้นตอนทั้งหมดนี้ก็กินเวลาประมาณ 2-3
สัปดาห์ ช่วงนี้ก็เป็นช่วงรอคอยที่แสนระทึก...ไม่รู้ออกหัวหรือออกก้อย ...
ก็จำเอาไว้ก็แล้วกัน เกิดมาชาติหน้าก็ให้รีบๆแต่ง รีบๆมีลูกกันหน่อย
มัวแต่ชักช้าร่ำไรก็เลยต้องมาเจาะน้ำคร่ำกันอย่างนี้
จะว่าไปแล้วพวกผู้หญิงที่เป็นหมอนี่แหละ เห็นต้องเจาะน้ำคร่ำกันทั้งนั้น
ก็กว่าจะเรียนจบ กว่าจะใช้ทุน กว่าจะเรียนต่อเฉพาะทางจบ
ใครมาจีบก็ไม่ค่อยได้มีเวลาชำเลืองดูหรอกครับ กว่าจะคิดได้ก็อายุก็มากซะแล้ว
..แต่ก็ยังดีที่ไม่ขึ้นคานไปซะก่อน/.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น