ตั้งครรภ์ใต้วงล้อมญาติโกโหติกา

 

เมื่อคุณแม่ตั้งครรภ์ คนที่ตื่นเต้นดีใจก็ไม่เพียงแต่คุณพ่อคุณแม่เท่านั้น ว่าที่คุณปู่คุณย่า คุณตาคุณยาย ญาติโก โหติกาทั้งหลายก็พลอยดีอกดีใจไปด้วย  ยิ่งหลานคนแรกก็ยิ่งเห่อกันใหญ่ ดีใจกันอย่างเดียวคงไม่เท่าไหร่  แต่นี่ผู้หวังดีทั้งหลายต่างก็หมั่นมาคอยมาดูมาแลแทบไม่ต้องกระดิกกันเลยก็มี ... ยิ่งบางคนยิ่งญาติเยอะยิ่งปวดหัว คนโน้นก็ว่าอย่างนั้น คนนั้นก็ว่าอย่างนี้ จนไม่รู้ว่าจริงๆแล้ว ต้องว่ากันอย่างไหนแน่ ..เฮ้อ...ปวดหัวแทน!!!

แล้วจะทำอย่างไรดีล่ะ.....

คุณแม่รุ่นใหม่หลายๆคนก็มักจะแต่งปั๊บ ก็ย้ายบ้าน แยกบ้านไปอยู่กันอย่างครอบครัวเล็กๆ แยกออกมาแล้วก็คงสบายหน่อยที่ได้มีชีวิตเป็นตัวของตัวเอง แต่สำหรับคุณแม่ที่อยู่รวมกันเยอะๆ เป็นกงสีคงต้องปวดหัวกันบ้าง แต่ก็ขึ้นกับตัวคุณแม่เองด้วยนะครับ คุณแม่ที่ง่ายๆ หัวไม่แข็งนักก็สบายหน่อย เขาว่ากันมายังไงก็ทำได้ทั้งนั้น แต่คุณแม่เดี๋ยวนี้เป็นคุณแม่หัวสมัยใหม่กันแล้ว ถ้าไปเจอผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านที่ยังมีความเชื่อเก่าๆ กันเยอะ บางทีก็ทำตัวไม่ถูกเหมือนกัน


เรื่องกิน เรื่องอยู่

เรื่องกินเรื่องใหญ่..ใครว่าเรื่องเล็ก อาหารการกินของคุณแม่เป็นเรื่องสำคัญ สมัยก่อนคนท้องคนใส้เขาก็ห้ามกินของแสลงกัน กินนั่นก็ไม่ได้ กินนี่ก็ไม่ได้ กินเข้าไปแล้วเดี๋ยวอย่างโน้นอย่างนี้ เป็นนั่นเป็นนี่ .เคยได้ยินมาเหมือนกันว่า บางที่ คนท้องเขาให้กินแค่ข้าวกับเกลืออย่างเดียว ห้ามกินของคาวๆ กินแล้วมันแสลง ...โชคดีที่เดี๋ยวนี้ เรื่องของแสลงคนเราก็ไม่ค่อยถือกันแล้ว คนท้องเดี๋ยวนี้กินทุกอย่างที่ขวางหน้า ของแสลงเป็นยังไงไม่มีใครรู้จักกันหรอกครับ




อาหารการกินเดี๋ยวนี้ก็กินกันได้เกือบทุกอย่าง เวลาไปเยี่ยม ไปมาหาสู่กัน คนไทยก็มักจะมีของกินคาวหวานติดมือไปฝากกัน คนรู้จักกันเยอะ คนคิดถึงเยอะ คนหวังดีก็มากตามไปด้วย ของกินก็มีเต็มบ้าน มีให้กินก็เลยกินไม่ยั้ง น้ำหนักก็เลยขึ้นมากตามไปด้วย แทนที่น้ำหนักจะขึ้นเดือนละสองกิโล ก็กลายเป็นเดือนละสามสี่โล กว่าจะคลอดก็น้ำหนักเกินไปหลายเท่า ต้องเหนื่อยตอนรีดน้ำหนักช่วงหลังคลอดอีก

บอกแล้วไงว่าเรื่องกินเรื่องใหญ่ แต่ความเชื่อผิดๆในเรื่องอาหารการกินก็มีอีกเยอะ อย่างเช่น พอไปหาหมอตรวจดู แล้วรู้ว่าท้อง ขากลับก็รีบแวะไปหาซื้อนมมาตุนไว้ให้กินกันตั้งแต่ลูกตัวเท่าขี้ฝุ่น ซึ่งที่จริงแล้ว กว่าลูกในท้องจะเริ่มสร้างกระดูก สร้างฟันก็ตอน 16 สัปดาห์โน่นแน่ะ ถึงตอนนั้นลูกถึงต้องการแคลเซี่ยม ถ้ากินนมกันตั้งแต่ลูกยังเป็นวุ้น เด็กก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรสักเท่าไหร่ เพราะช่วงนั้นยังไม่ได้ต้องการแคลเซียม แถมการกินนมสดตอนท้องอ่อนๆกลับทำให้รู้สึกคลื่นใส้อาเจียนมากกว่าปกติเสียอีก

พอชักจะหายแพ้ท้อง เริ่มกินได้เยอะขึ้น กินอะไรก็อร่อยไปหมด เวลาไปเจอหมอ หมอก็บ่นว่าอ้วนเกินไปแล้วนะ ขึ้นเดือนละ 2 กิโลก็พอแล้ว เลือกๆ กินหน่อย เน้นโปรตีน เน้นผัก เน้นนมพร่องมันเนยก็แล้วกันนะ คุณแม่ยุคใหม่คุมน้ำหนักดีๆ คลอดแล้วหุ่นดีๆ กันทั้งนั้น แต่พออยู่บ้าน กินน้อยไปเดี๋ยวก็โดนบ่น ...คนท้องคนไส้ให้กินเยอะๆ กินน้อยไปเดี๋ยวเด็กมันจะไม่แข็งแรง ..เฮ้อ..คิดแล้วก็กลุ้มใจ กินมากไปเดี๋ยวหมอก็บ่น กินน้อยไปญาติโก โหติกาก็ว่า เอาเป็นว่ากินยังไงก็แล้วแต่ ขอน้ำหนักขึ้น 2 กิโลต่อเดือน ตลอดท้องขึ้น 12 กิโล เท่านั้นก็พอครับ นอกจากเรื่องอาหาร บางบ้านก็ยังมีของแถมอย่างอื่นอีกด้วย ทั้งยาต้ม ยาหม้อ ยาชุด ยาจีนจับซาไทเป้า อะไรทำนองนี้แหละมาให้กินกันเยอะแยะ แต่ก็ยังดีนะที่ไม่เคยเจอว่าเหล่านี้มีผลเสียอะไรต่อการตั้งครรภ์

เรื่องในชีวิตประจำวันที่ ห้ามโน่น ห้ามนี่ ที่เจอกันบ่อยๆ อย่างแรกเลยก็เรื่องขับรถนี่แหละ พอรู้ว่าตั้งท้องปั๊บใครต่อใครก็ห้ามกันไปหมดว่าอย่าขับรถนะ เดี๋ยวจะเป็นอย่างนั้น เดี๋ยวเป็นอย่างนี้ ขู่สารพัด แล้วเดี๋ยวนี้คุณแม่ก็ไม่ได้อยู่บ้านนอนเล่นกันซะหน่อย ส่วนมากต้องออกไปทำงานนอกบ้านด้วยกันทั้งนั้น แล้วถ้าต้องไปซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ นั่งรถตู้ รถเมล์ สู้ขับรถไปเองจะดีกว่า สบายกว่า ปลอดภัยกว่ากันเยอะ แต่พอสตาร์ทรถออกไปปั๊บ กลับมาโดนบ่นจนหูชาไปเลยก็มี ...ทั้งๆที่โดยความเป็นจริงแล้วคนท้องขับรถได้สบายมาก




สมมุติคุณแม่มีน้ำหนัก 50 กก. เวลาเดินก้าวขาแต่ละข้าง ขาอีกข้างที่ยืนอยู่บนพื้นก็รับน้ำหนักข้างละ 50 กก. สลับกันไป เวลาเดินก็ต้องสะเทือนบ้าง ยิ่งขึ้นบันไดลงบันไดก็ยิ่งสะเทือนใหญ่ แต่ตอนขับรถคุณแม่ก็จะออกแรงเหยียบคันเร่งแค่เบาๆ เท่านั้นเอง เหยียบยังไงก็ไม่มีทางออกแรงเกิน 5 กก.ด้วยซ้ำไป ยิ่งเดี๋ยวนี้รถเก๋งไหนๆก็เป็นเกียร์ออโต้กันหมด ยิ่งขับแทบไม่ต้องออกแรงอะไรเลย อย่างหนักที่สุดหากเป็นคุณแม่ขาลุย ขับรถกระบะโฟว์วีลเกียร์ธรรมดา ถึงแม้คลัชจะแข็งแค่ไหนก็ออกแรงไม่มากหรอกครับ แรงกดรับรองไม่มีทางเกิน 5-10 กก. สรุปแล้วการขับรถออกแรงน้อยกว่าเดิน แล้วก็สะเทือนน้อยกว่าเดินด้วย ที่สำคัญมันอยู่ที่ถนน ถ้าขับในกรุงเทพฯ ถนนเรียบดีก็ไม่สะเทือนอะไรมาก แต่ถ้าทางทุรกันดารมากบางทีก็ทำให้สะเทือนจนเจ็บท้องได้เหมือนกัน ที่สำคัญก็ระวังอุบัติเหตุเอาไว้เป็นดีที่สุด

ตอนท้องอาจมีบางครั้งที่มีเจ็บป่วยไม่สบายกันบ้าง คุณแม่ญาติน้อยๆก็ไม่ค่อยมีอะไรมาก ไปหาหมอกินยาไม่นานก็หาย แต่คุณแม่ญาติเยอะนี่สิ แต่ละคนก็เป็นหมอใหญ่กันทั้งนั้น คนโน้นว่าอย่างนี้ คนนี้ว่าอย่างโน้น จนบางทีคุณแม่ฟังไปฟังมาชักสับสน ถ้ามันเริ่มสับสนแล้ว ทำตามฝ่ายไหนมันก็ยังสับสนอยู่ดี ไม่รู้จะเชื่อใครดี ทางที่ดีปรึกษาคุณหมอที่ฝากครรภ์ไว้นั่นแหละดีที่สุด หรือถ้าไม่รู้จะปรึกษาใครก็เปิดหาอ่านได้จากหนังสือคู่มือตั้งครรภ์ที่มีขายกันเยอะแยะ หรือ ค้นหาข้อมูลอ่านเอาจากอินเตอร์เนตก็ยังดี ข้อมูลแน่น ทำอะไรก็มั่นใจขึ้นอีกเยอะ


คลอดแบบนี้ แบบไหน?

พอถึงตอนจะคลอด คุณแม่ญาติเยอะก็มีเรื่องต้องปวดหัวกันอีก คนนั้นก็บอกคลอดเองดี เจ็บนิดหน่อย แต่ฟื้นตัวเร็ว เลี้ยงลูกสบาย แต่คนนี้ก็บอกว่าผ่าดีกว่า คลอดเองเดี๋ยวเสียศูนย์หมด ญาติคนที่คลอดเองก็มักจะบอกว่าคลอดเองดีกว่า คนที่เคยผ่าก็มักจะบอกว่าผ่าออกดีกว่า กลายเป็นว่าคนที่ตัดสินการคลอดไม่ใช่หมอ ไม่ใช่แม้แต่ตัวคุณแม่เองด้วยซ้ำไป เรื่องที่ทำให้หมอปวดหัวกันมากที่สุดก็เรื่องฤกษ์นี่แหละ บางคนกว่าจะคลอดได้ เปลี่ยนฤกษ์เปลี่ยนเวลากันเจ็ดแปดรอบ ฤกษ์นี้ชงกับคนโน้น ไม่ถูกกับคนนี้ ฤกษ์นี้วัดนั้น วัดนั้นดังกว่าวัดนี้ ..สุดท้ายหมองงไม่รู้จะเอาฤกษ์ไหน เลยลืม เลยไม่ได้ซักฤกษ์ สุดท้ายยังไงก็นึกว่าหมอขอร้องก็แล้วกันว่า จะเอาฤกษเอายามยังไงก็แล้วแต่ ข้อแรกคือเด็กในครรภ์ต้องสมบูรณ์แข็งแรง จะมัวเอาแต่ฤกษ์ แต่เด็กต้องมาคลอดก่อนกำหนด อย่างนี้ก็ไม่ดีหรอกครับ ข้อสอง ก็คือ ฤกษ์ที่ดีก็ควรสะดวกสำหรับหมอสำหรับบุคลากรทุกๆคนด้วย ไม่ใช่ว่าจะเอาฤกษ์ตีสองหมอผ่าไปหลับในไป ตื่นเช้ามายังไม่รู้เลยว่าเมื่อคืนผ่าอะไร!!!


ความเชื่อหลังคลอด

พอถึงช่วงหลังคลอดนี่สิที่เป็นช่วงสำคัญ ร่างกายของคุณแม่ต้องฟื้นฟูสภาพกลับเข้าสู่สภาวะปกติ ก่อนกลับบ้านคุณหมอก็สั่งนักสั่งหนาให้พยายามควบคุมอาหาร ไม่กินอาหารมากเกินไปนะ "กินดี แต่ไม่ต้องกินเยอะ" พยายามเลือกกินแต่อาหารที่มีประโยชน์ เน้นโปรตีน ผักสดผลไม้ ดื่นนมพร่องมันเนย เน้นคุณภาพ ไม่เน้นปริมาณไม่จำเป็นต้องกินอะไรเยอะแยะมากมาย ไม่อย่างนั้นท้องก็คงจะยุบลงเหมือนตอนที่ไม่ท้องได้ยาก

แต่ในความเป็นจริง พอกลับถึงบ้านปั๊บ คุณย่าคุณยายทั้งหลายก็แห่กันมาเยี่ยมมาช่วยดูแล อาหารการกินไม่ต้องพูดถึง ทั้งผัดกระเพาะหมู แกงเลียง หมูผัดขิง ขาหมู..ทำให้กินอย่างกับว่าที่โรงพยาบาลไม่มีอะไรให้กินอย่างนั้นเลย ที่จริงคุณย่าคุณยายก็หวังดีนะ กลัวกินไม่พอแล้วจะไม่แข็งแรง น้ำนมจะไม่ไหล แต่กลับกลายเป็นว่าคลอดแล้วลดไม่ลง ก็ลองหันไปดูหุ่นคุณย่า คุณยายดูสิ แต่ละคน ตัวกลมๆทั้งนั้น

มีหลายบ้านที่พอจะคลอด คุณย่าคุณยาย ป้าน้าอา ก็จัดการหายาดองเหล้า มาเตรียมไว้ให้ เดี๋ยวนี้ยาดองเหล้าดีดีไม่ใช่ถูกๆ ขวดละหลายพันเชียวนะ แถมยังขู่อีกด้วยนะว่า นี่ถ้าไม่กินยาดองเหล้า ไม่ขับน้ำคาวปลา เดี๋ยวเลือดมันจะขัง น้ำคาวปลาจะเป็นพิษ ......ความจริงแล้ว คำว่าน้ำคาวปลาเป็นพิษก็คือการติดเชื้อภายในมดลูกในระยะหลังคลอด คุณแม่จะมีไข้ ปวดท้อง น้ำคาวปลาสีช้ำเลือดช้ำหนอง มีกลิ่น ซึ่งในการคลอดปกติเดี๋ยวนี้ หมอเขาก็มียาปฎิชีวนะให้กินเพื่อป้องกันการอักเสบอยู่แล้ว การกินยาดองเหล้า ยาขับน้ำคาวปลา ไม่ได้ช่วยป้องกันการอักเสบใดๆด้วยซ้ำไป นอกจากนั้นยาดองเหล้า ซึ่งชื่อมันก็บอกอยู่แล้วว่าต้องผสมเหล้าด้วยแน่ๆ เหล้ามันก็จะออกมาทางน้ำนมได้ ลูกกินนมแม่เข้าไปก็เมาหลับไม่รู้เรื่อง คนสมัยก่อนก็บอกว่า เห็นมั๊ย กินยาดองเหล้าแล้วเด็กเลี้ยงง่ายไม่โยเย แต่การที่เด็กเมาหลับ ก็ทำให้เขาขาดการเรียนรู้ขาดการพัฒนาการ สมองช้ากว่าเด็กอื่นๆได้




แล้วเชื่อหรือเปล่าครับว่า ถึงสมัยนี้แล้วก็ยังมีคุณแม่หลังคลอดมากมาย ผมว่าเกือบจะถึงครึ่งเลยล่ะที่กลับไปบ้านแล้ว ปรากฎว่าคุณย่าคุณยายจัดการขนที่นอนหมอนมุ้งจากห้องนอนข้างบน ลงมานอนข้างล่าง แล้วก็บอกว่า “คลอดลูกแล้วเขาไม่ให้ขึ้นลงบันไดนะ ขึ้นๆลงเดี๋ยวแผลมันจะแยก เดี๋ยวกระบังลมมันจะหย่อน..?” จะดื้อจะเถียงก็ไม่ได้ พี่ป้าน้าอา ต่างก็กำชับเป็นเสียงเดียวกันว่า คลอดลูกแล้วห้ามขึ้นบันไดนะ


เหตุเกิดเช่นนี้ก็เพราะว่า คนสมัยก่อนเขาคลอดลูกกันตามบ้านเขาก็ไม่ได้เย็บแผลด้วยไหมละลายสวยงามเหมือนเช่นทุกวันนี้ สมัยนั้นเขาก็จะล้างทำความสะอาดแผล แล้วให้แผลติดกันเองโดยธรรมชาติ บางทีเขาก็บอกว่าให้เอาขามัดติดกันไว้ สามวันแผลก็ติดแล้ว แต่คนโบราณเขาก็จะบอกเลยว่า ห้ามก้าวขาข้ามท้องร่อง ห้ามขึ้นบันไดบ้าน บ้านไทยสมัยก่อนก็เป็นบ้านทรงไทยใต้ถุนสูง ใต้ถุนบ้านก็จะเลี้ยงควาย เลี้ยงไก่ไปตามเรื่อง บันไดขึ้นด้านก็เป็นขั้นห่างๆ เวลาขึ้นทีก็ต้องปีนขึ้น อ้าขากว้างพอสมควร คนโบราณกลัวแผลจะแยกก็เลยไม่ให้คนคลอดลูกขึ้นบันได ...เดี๋ยวนี้ พอคลอดลูกเสร็จ หมอก็นั่งก้มหน้าก้มตาเย็บแผลเข้าที่สวยงาม แผลตึงแน่นแข็งแรง โอกาสที่แผลจะแยกนั้นมีน้อยมาก ถ้าแผลมันแยกก็เป็นผลมาจากการติดเชื้อแผลอักเสบเสียมากกว่า แล้วบันไดบ้านเดี๋ยวนี้ก็เป็นขั้นเล็กๆ ไม่ได้ห่างๆต้องก้าวขากว้างๆเหมือนบ้านสมัยก่อน




สรุปแล้ว คลอดลูกแล้วสามารถขึ้นลงบันไดบ้านได้ตามสบาย แผลไม่มีทางแยก มดลูกไม่มีทางหย่อน จะห้ามไม่ให้ขึ้นบันไดแค่สองกรณี คือ หมอไม่ได้เย็บแผลให้ หรือไม่ก็ที่บ้านยังเลี้ยงควายอยู่ใต้ถุนบ้านอยู่!!!

ตอนอยู่ที่โรงพยาบาลก่อนกลับบ้าน หมอก็กำชับให้บริหารร่างกายให้เข้าที่ ทำซิตอัปวันละอย่างน้อย 30 ครั้ง ขมิบก้น บริหารกระบังลมอีกอย่างน้อย 30 ครั้งต่อวัน ...คุณแม่ก็กลับบ้านไปด้วยความไฝ่ฝ้นว่าหุ่นจะกลับมาเอวเล็กเอวบางเซ็กซี่เหมือนเมื่อก่อน..บริหารได้สองทีที่บ้านเห็นเข้าก็โดนว่าอีกแล้ว ..คลอดลูกแล้วใครเขาให้ออกแรงขนาดนี้ ต้องไม่ให้ออกแรง ไม่ให้ออกจากบ้านหนึ่งเดือนเต็ม ..ใครเขามาให้ออกกำลังกายกันแบบนี้ ขนาดหมอยังโดนว่าไล่หลังมาเลย ...ความเชื่อไทยๆเราก็อย่างนี้แหละครับ แต่ถ้าเป็นเรื่องราวทางการแพทย์แล้ว หลังคลอดเราจะให้ออกกำลังกายเพื่อฟื้นฟูสภาพ ให้กล้ามเนื้อกลับมาตึงตัวแข็งแรงทันทีที่ไม่เจ็บแผล ไม่เจ็บท้อง ขนาดมีตำราการบริหารร่างกายในระยะหลังคลอดขายดิบขายดีทีเดียว..

เรื่องนี้ก็ต้องแล้วแต่คุณแม่เองแล้วล่ะครับ แต่ก็ต้องบอกก่อนว่า หลังคลอดแล้วหุ่นจะกลับเหมือนเดิมได้ประมาณ 75 เปอร์เซนต์ อีก 25 เปอร์เซนต์ เป็นพะโล้ท้องไม่ยุบ ...ถ้ากลัวเขาจะว่าเอา ก็บริหารอย่าให้เขาเห็นสิ ง่ายจะตายไป!

อ่านแล้วอย่าเพิ่งกลุ้มนะครับ ที่เล่ามาให้ฟังก็เป็นแค่ตัวอย่างที่เจอกันบ่อยๆเท่านั้นเอง อ่านแล้วจะได้เตรียมตัวรับมือเรื่องอย่างนี้ได้ทัน ที่จริงแล้ว..มีผู้หลักผู้ใหญ่ช่วยกันดูแลกันเยอะๆ นี่ก็ดีนะ เวลามีธุระ เวลาอยากจะหนีไปเที่ยวผ่อนคลายบ้าง ก็มีคนช่วยดูลูกให้ ที่สำคัญคุณแม่หลายคนก็ต้องกลับไปทำงาน มีญาติผู้ใหญ่อยู่คอยดูแล มันก็สบายใจกว่าจ้างพี่เลี้ยงมาดูแลเป็นไหนๆ ยังไงก็คงต้องอย่าไปขัดใจแกมากเดี๋ยวจะงอนไม่ยอมช่วยเลี้ยงหลานแล้วเดี๋ยวจะลำบาก






ความคิดเห็น