ตั้งครรภ์กลางฝุ่น


มนุษย์เราเป็นสิ่งมีชีวิตที่ต้องใช้ออกซิเจนในการดำรงชีวิตอยู่ตลอดเวลา ดังนั้น คนเราก็ต้องหายใจอยู่ตลอดเวลาเพื่อเอาอากาศเข้าไปในปอด แต่ในอากาศที่เราหายใจนั้นมันไม่ได้มีแต่เพียงอากาศบริสุทธิ์เพียงอย่างเดียวนะครับ มันมีละอองฝุ่น ละอองเกสรดอกไม้ ขนแมว ขนหมา สิ่งแปลกปลอมต่างๆมากมาย แต่ระบบการหายใจของมนุษย์เราก็สามารถกรองสิ่งเหล่านี้ได้อย่างมหัศจรรย์โดยที่ ธรรมชาติได้ออกแบบระบบกรองอากาศให้มนุษย์มาอย่างซับซ้อนแยบยลมาก มนุษย์เรามีระบบหายใจที่ไม่ต้องมีไส้กรองอากาศ ไม่ต้องเปลี่ยนไส้กรองอากาศตลอดชีพ เจ๋งไหมล่ะครับ

 

มนุษย์เรามีท่อหายใจยาวจากจมูกถึง คอหอยประมาณแค่ 20 cm เท่านั้นเอง ท่อหายใจยาวแค่นี้แถมไม่มีใส้กรองด้วย กลับสามารถกรองอากาศที่เราหายใจเข้าไปให้ปราศจากฝุ่นได้อย่างไม่น่าเชื่อ ถ้ามีฝุ่น มีเชื้อโรคหล่นลงไปในหลอดลม หรือ ปอดเราแม้แต่เพียงนิดเดียว เราก็จะเป็นปอดอักเสบหรือปอดบวมได้

 

ในโพรงจมูกนั้นเรามีขนจมูกที่สามารถกรอง สิ่งแปลกปลอมหยาบๆใหญ่ๆได้ ในโพรงจมูกก็จะมีกลีบมีครีบของโพรงจมูกซับซ้อนเพื่อให้อากาศไหลเวียนหมุนวนในโพรงจมูก ทำให้ฝุ่นขนาดต่างๆทั้งเล็กทั้งใหญ่ ถูกเหวี่ยงไปติดกับผนังโพรงจมูกแฉะๆ แล้วโพรงจมูกเราก็มีเซลพัดโบกขับสิ่งสกปกเหล่านี้ออกมาเป็นขี้มูก ขี้มูกก็จะเคลื่อนที่ออกมาทางรูจมูกเรื่อยๆ จนเรารู้สึกได้ หลังจากนั้นเราก็มักจะแคะจมูกแบบไม่รู้ตัว..แคะเสร็จก็ใช้นิ้วดีดกระเด็นไปแบบไม่รู้ตัวด้วยเหมือนกัน วันไหนฝุ่นมาก หรือมีสิ่งแปลกปลอมที่ร่างกายรู้สึกว่ามันจะเป็นอันตรายต่อร่างกาย เราก็จะจามเอามันออกมาทันที พร้อมกันนั้นระบบออโต้ก็จะทำให้โพรงจมูกแฉะมากเป็นพิเศษ เพื่อดักจับฝุ่นได้มากขึ้น เราก็เลยมีน้ำมูกไหลออกมามากมายทันทีทันใดหลังจากจามนั่นเอง





 

เมื่ออากาศผ่านเลยโพรงจมูกลงไปแล้ว อากาศจะเคลื่อนที่จากแนวนอนเป็นแนวดิ่ง โค้งผ่านไปทางด้านหลังของคอ อากาศที่วิ่งเข้ามาด้วยความเร็ว แล้วหักศอกลงเลยเนี่ยก็จะทำให้ฝุ่นวิ่งชนผนังด้านหลังที่เป็นเยื่อเมือกแฉะๆ ... วันไหนที่มีฝุ่นมากๆเราถึงมีความรู้สึกสากๆในคอนั่นเองครับ ฝุ่นที่ถูกดักจับตรงนี้ก็จะขับออกมาเป็นเสมหะ พอมีเสมหะพอประมาณเราก็จะรำคาญแล้วบ้วนคายเสมหะออกมาในที่สุด ลึกลงไปอีกนิดก็ถึงหลอดลม เป็นเยื่อบุที่มีความเซ๊นสิทีฟมาก ถ้ามีสิ่งแปลกปลอมลอยเข้าไป ร่างกายก็จะมีปฏิกิริยาไอมันเอามาทันทีทันใด

 

แต่ยังไงก็ตาม ร่างกายของมนุษย์เราก็มีข้อจำกัดในการกำจัดสิ่งแปลกปลอมเหล่านี้เหมือนกัน ในกรณีที่ฝุ่นนี้มีขนาดเล็กมากๆ เล็กจนเกินกว่าที่ร่างกายเราสามารถตรวจจับหรือกำจัดออกไปได้ ฝุ่นเล็กๆที่ว่านี้ก็คือฝุ่น PM2.5 นี่เองครับ ฝุ่นนี้เกิดจากการเผาไหม้น้ำมันเตา น้ำมันดีเซล ปล่องโรงงานอุตสาหกรรม เผาป่า แม้แต่ปลาเผา กุ้งเผาปิ้งย่างที่เรากินก็ทำให้เกิดฝุ่นจิ๋วที่ว่านี้ได้ทั้งนั้น ฝุ่นนี้ประกอบไปด้วยสารคารบอน โลหะหนัก รวมถึงสารก่อมะเร็งหลายๆอย่าง ไม่ใช่ว่าฝุ่นนี้เพิ่งจะเพิ่งเกิดมาสมันเรานี้นะครับ มันมีอยู่คู่กับโลกเรานี้มานานแล้ว ...แต่ก่อนก็พอรับได้ แต่เด๋วนี้มันมากจนกลายเป็นมลพิษ เป็นภัยต่อสุขภาพไปซะแล้ว

 

ฝุ่นจิ๋ว เหล่านี้จะลอยเข้าไปตามลมหายใจ โดยที่ไม่ถูกดักจับโดยระบบทางเดินหายใจส่วนต้นเลย ... พอเข้าไปถึงถุงลม มันก็สามารถผ่านเซลล์ของถุงลมเข้าไปในหลอดเลือด เข้าสู่ระบบไหลเวียนโลหิต กระจายไปสู่ส่วนต่างๆของร่างกาย ... ถ้าให้เปรียบเทียบ มันก็เหมือนกับระบบน้ำประปาในบ้าน หากมีเศษสนิมสิ่งแปลกปลอมเข้าไป มันก็จะไปติดตามไส้กรองของก๊อกน้ำไส้กรองของเครื่องทำน้ำอุ่น ทำให้เครื่องใช้ในบ้านต่างๆเหล่านี้ไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ ต้องถอดเครื่องออกมาล้าง แต่สำหรับร่างกายเรา เมื่อเจ้าฝุ่นจิ๋ว PM 2.5 นี้เข้าไปในร่างกายเราแล้ว เราก็จะไม่สามารถถอดล้างทำความสะอาดเครื่องในอะไรได้เลย ทำให้อวัยวะภายในต่างๆเกิดการเสื่อมสภาพได้เร็วกว่าปกติ

 



อวัยวะที่ เจ้าฝุ่นละออง PM 2.5 นี้ลอยเข้าไปติดค้างและทำให้เกิดการทำงานที่ไม่ปกติที่สุดก็คือระบบประสาทนั่นเองครับ ระบบคอมพิวเตอร์ใหญ่ๆหรือห้องควบคุมอีเลคโทรนิคใหญ่ๆยังต้องมีระบบกรองฝุ่นอย่างเข้มงวด ต้องเปลี่ยนชุด ต้องคลุมผมมิดชิด กว่าจะเข้าไปได้ เพราะฝุ่นละอองอาจทำให้เครื่องมือที่มีความละเอียดอ่อนสูงเกิดความเสียหายทำงานผิดพลาดได้ระบบประสาทของคนเราก็เป็นระบบที่มีความละเอียดสูงซับซ้อนแบบสุดๆ ฝุ่นจิ่วที่เข้าไปในร่ายกาย ก็จะไปมีผลต่อส่วนเชื่อมต่อต่างๆของระบบประสาท ทำให้การส่งผ่านกระแสประสาทไม่เป็นไปตามปกติ มันก็เหมือนสวิชท์ไฟที่มีฝุ่นละอองฝุ่นทรายติดตามหน้าสัมผัส เปิดปิดสวิตช์ ไฟก็อาจจะติดบ้างไม่ติดบ้าง ความฉลาด ความทรงจำของคนเรามันขึ้นกับการเชื่อมโยงมากมายของเส้นประสาท ยิ่งเชื่อมโยงกันมากความฉลาดก็มาก ...แต่หากการเชื่อมต่อในระบบประสาทเสียหาย ความสามารถในการเรียนรู้ก็จะลดลง...พูดง่ายๆสั้นๆก็คือ โง่ลงนั่นแหละครับ

 


ในคนท้อง์ PM 2.5 นี้สามารถเล็ดลอดเข้าสู่กระแสเลือดของมารดา ผ่านรกเข้าไปถึงระบบเลือดของลูกในครรภ์ได้ มีการวิจัยมากมายหลายแห่งพบว่าแม่ที่ได้รับ PM 2.5 ในระหว่างการตั้งครรภ์ โดยเฉพาะในไตรมาสสุดท้าย มีผลทำให้ทารกในครรภ์เกิดหัวใจห้องบนรั่วได้ง่าย ... และมีการทดลองในหนูทดลอง เอาแม่หนูมาเลี้ยงในที่ที่มี PM2.5สูง ก็พบว่าทำให้เกิดความผิดปกติของระบบประสาท หนูที่ทำการทดลองพบมีการเจริญเติบโตของเซลล์ประสาทของส่วนการเรียนรู้น้อยลง แต่การทดลองนี้ก็ยังไม่มีการทดลองในคนมาก่อน แต่ก็เชื่อว่ามารดาที่ได้รับฝุ่นจิ๋วในระยะเวลาหนึ่ง อาจทำให้มีผลทำให้ทารกในครรภ์มีปัญหาด้านการเรียนรู้ มีความเสี่ยงในการเกิดกลุ่มอาการออทิสติคมากขึ้นกว่าปกติ ... ในหลายการวิจัยก็ยังพบว่าทารกที่เกิดจากมารดาที่หายใจในที่มีฝุ่นมาก จะทำให้เกิดเด็กตัวเล็กเด็กเติบโตช้าในครรภ์ได้

 

คุณแม่ตั้งครรภ์จึงควรระมัดระวังเรื่องนี้เป็นพิเศษนะครับ เนื่องจากมีผลกระทบต่อทารกในครรภ์ไม่มากก็น้อย และเนื่องจากว่าการวิจัยค้นคว้าในเรื่องนี้ยังไม่กว้างขวางมากนัก ข้อมูลในเรื่องนี้จึงมีไม่มากนัก แต่ยังไงฝุ่นมากฝุ่นน้อยเราก็ยังต้องหายใจอยู่ดี แต่ถ้าสามารถป้องกันได้ ลดความเสี่ยงได้ ก็จะช่วยลดปัญหาที่จะตามมาได้บ้างพอสมควร

 

เรามาดูที่ว่าเราสามารถป้องกันอะไรได้บ้าง ... อันดับแรกก็ต้องติดตามข่าวสารอยู่ตลอด เด๋วนี้เรื่องราวต่างๆหาดูได้ง่ายมาก ติดแอปบนมือถือก็ทำให้รู้ทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าสามีจะอยู่ตรงไหน ไปไหนมา แวะไหนบ้างรู้ม๊ด เรื่องขี้ฝุ่นก็ไม่ยากเลย ติดแอป AirVisual หรือ Air4Thai หรืออะไรก็ได้แล้วแต่สะดวก แล้วคุณแม่ก็สามารถดูว่าคุณภาพอากาศตรงบริเวณที่จะอยู่จะไปนั้นเป็นยังไงบ้าง ถ้าฝุ่นเยอะมากก็ควรหลีกเลี่ยง ถ้าเลี่ยงไม่ได้ก็ควรใส่หน้ากากกันฝุ่น ซึ่งก็ควรเลือกชนิดที่คุณภาพดีสามารถกรองฝุ่นละเอียดได้ อยู่ที่บ้านถ้าวันไหนฝุ่นเยอะก็ควรปิดหน้าต่างให้มิดชิด เปิดเครื่องกรองอากาศกรองฝุ่น อยู่บ้านทั้งวันก็ขอให้หายใจเอาอากาศดีดีบ้าง

 

ก็ทำเท่าที่ทำได้ก็แล้วกันนะครับ จะหนีไปไหนก็หนีไม่ได้ ยังไงเราก็ต้องหายใจอยู่ดี จะไม่หายใจก็ไม่ได้ ตระหนกมากไปก็เท่านั้น ยิ่งเห็นบอกว่าสภาพฝุ่นแบบนี้ก็มีมาอย่างน้อย 7 ปีแล้ว เพียงแต่เราไม่รู้เท่านั้นเอง ... หลงนึกว่าอากาศดีหมอกลงเย็นๆ ไปวิ่งสูดอากาศสบายปอดไปซะหลายปี...555

ความคิดเห็น