ท้องนิ่ม ท้องแข็ง มดลูกแข็ง หรือ เด็กโก่งตัว
เมื่ออายุครรภ์มากขึ้น มดลูกที่อยู่ตรงหน้าท้องของคุณแม่ก็โตมากขึ้นเรื่อยๆ ...
ปกติแล้วมันก็เป็นก้อนนิ่มๆ ที่มีเจ้าตัวเล็กคอยดิ้นดุ๊กดิ๊กอยู่ข้างใน ...
แล้วอยู่มาวันนึง..เอ๊ะ!..ทำไมมดลูกถึงมีการแข็งขึ้นมาเป็นก้อนๆ บางทีก็แข็งตรงโน้นที แข็งตรงนี้ที..บางทีก็แข็งหมดทั้งท้องเลย ..บางทีก็รู้สึกแน่นท้องไปหมดโดยเฉพาะหลังกินอิ่มๆ ท้องแข็งแบบนี้จะเป็นอะไรหรือเปล่า...
จะคลอดก่อนกำหนดหรือเปล่านะ? ...
อาการท้องแข็ง หรือ มดลูกบีบตัว มักสร้างความกังวลใจให้ว่าที่คุณแม่ไม่น้อย
จะทำอะไรหน่อยเดี๋ยวมันก็แข็ง ลุกขึ้นก็แข็ง ล้มตัวลงนอนก็แข็ง ยุบหนอพองหนอแข็งอยู่ได้ทั้งวัน
ถ้าท้องแข็งแล้วไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็ดีไป แต่ถ้าแข็งไปแข็งมาแล้วกลายเป็นการเจ็บท้องคลอดก่อนกำหนดแบบไม่ทันรู้ตัวล่ะก็ แย่แน่เลย!!
เอ...แล้วท้องแข็งแบบไหน แข็งถี่แค่ไหนล่ะถึงอันตราย ต้องไปพบคุณหมอดีกว่า!
ท้องแข็งเพราะลูกโก่งตัว
ปกติแล้วท้องแข็งตามความหมายของหมอก็มักจะหมายถึง การบีบตัวของมดลูก ซึ่งถ้ามันบีบตอนท้องครบก็ไม่ว่าอะไร แต่ถ้ามันมีการบีบแข็งตัวก่อนเวลาอันควร ก็อาจเป็นสาเหตุให้มีการเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนดได้ ..
แต่ท้องแข็งตามความหมายของคนทั่วๆ ไป ก็มีสาเหตุได้สารพัดอย่างครับ
ท้องแข็งแบบแรกที่เจอกันบ่อยๆ ก็จะแข็งแบบ “แข็งบางที่ นิ่มบางที่”
ท้องแข็งแบบนี้ก็เกิดจากเด็กในท้องดิ้นหรือโก่งตัวนั่นเองครับ ตอนอายุครรภ์น้อยๆ เด็กยังตัวเล็กลอยไปลอยมา ยังไม่ชน ยังไม่ใหญ่พอที่จะโก่งยันผนังมดลูกได้
แต่พออายุครรภ์ประมาณ 24 สัปดาห์ คุณแม่จะเริ่มสังเกตุว่ามีอะไรข้างในเริ่มปูด เริ่มยันจากข้างในออกมา ทำให้รู้สึกว่าท้องมันนูนแข็งเป็นที่ที่
ก่อนหน้านี้เด็กยังตัวเล็กโก่งตัวเหยียดตัวก็ยังมีที่ให้บิดขี้เกียจได้สบาย แต่ตอน 24สัปดาห์นี่แหละ ตัวเด็กเริ่มโตจนรู้สึกว่ามดลูกมันเล็กไปเสียแล้ว โก่งตัว เหยียดตัวทีก็ชนนั่นชนนี่
ตรงไหนที่หลังไปโก่งชนก็จะรู้สึกเป็นก้อนแข็งๆป้านๆนูนออกมา
ตรงไหนที่เป็นเข่าก็จะรู้สึกเหมือนมีอะไรแหลมๆจิ้มออกมา
ตรงไหนที่เป็นเท้าก็จะรู้สึกดึ๊กดั๊กไต่ไปไต่มา
ถ้าท้องแข็งแบบนี้ก็ปล่อยให้มันแข็งไปเถอะครับ เพราะยังไม่มีใครทำยาแก้เด็กโก่งตัวขาย บอกให้มันหยุดโก่งมันก็ไม่ฟัง แล้วท้องแข็งแบบนี้ก็ไม่ได้มีอันตรายอะไร
อยากโก่งก็ปล่อยให้มันโก่งไปก็แล้วกัน ... 555
ท้องแข็ง เพราะกินมาก
คุณแม่บางคนก็อาจจะบ่นว่ายิ่งท้องแก่ กินอะไรเข้าไปมันก็แน่นไปหมด กินเสร็จท้องก็แข็งเป็ก แน่นจนหายใจไม่ออก ต้องนั่งสักพัก ยืดตัวยาวๆ เดี๋ยวสักพักอาการก็ดีขึ้นเอง
อาการนี้ก็มักเป็นกันตอนท้องแก่ๆมดลูกโตๆ
ตอนท้องอ่อนๆท้องเล็กๆ ก็ไม่ค่อยมีอาการอย่างนี้สักเท่าไหร่ ...
คุณแม่ที่ตัวเล็กๆ สั้นๆจะมีปัญหาอย่างนี้มากกว่าคุณแม่ที่ตัวยาวๆตัวใหญ่ๆ ..
ตัวเล็กก็เสียเปรียบอย่างนี้แหละครับ
เรื่องของเรื่องก็อยู่ที่ความจุของช่องท้อง ท้องของคุณแม่นั้นมันมีพื้นที่จำกัด
แล้วเวลาท้องมดลูกมันก็โตเอาโตเอา เบียดแย่งกินเนื้อที่อวัยวะอื่นๆในช่องท้องไปหมด
กระเพาะปัสสาวะด้านล่างก็ถูกเบียดแบนแต๊ดแต๋
ส่วนกระเพาะอาหารลำใส้ก็ถูกเบียดขึ้นไปจนติดอยู่ใต้กระบังลม
ยิ่งท้องแก่มดลูกก็ยิ่งโต กระเพาะอาหารก็ยิ่งถูกเบียดแบนมากขึ้น กินอะไรมากหน่อยก็แน่นไปหมดแล้ว ยิ่งถ้าไปกินเลี้ยง ไปงานแต่ง เลี้ยงโต๊ะแชร์ กินบุปเฟต์ ก็ยิ่งแน่นมากจนท้องแข็งไปหมด ..
ท้องแข็งแบบนี้ที่จริงแล้วมันก็ไม่ได้เกิดจากมดลูกมีการบีบตัวหรอกครับ
แต่มดลูกถูกเขาเบียดมาจนแข็ง โดยมากมักเป็นความรู้สึกแน่นมากกว่า
พอตรวจดูก็จะพบว่าหน้าท้องแน่นตึงไปหมด
ส่วนตัวมดลูกเองก็จะพบว่าไม่ค่อยแข็งสักเท่าไหร่!
ท้องแข็งแบบนี้ก็ไม่ได้มีส่วนทำให้เกิดอาการเจ็บท้องคลอดก่อนกำหนดแต่อย่างใด แต่ตราบใดที่ยังไม่คลอด มดลูกก็ยังกินเนื้อที่อยู่วันยังค่ำ อาการแน่นก็ยังคงต้องเป็นไปเรื่อยๆ
ดังนั้นคุณแม่ก็ควรกินอาหารอ่อน ย่อยง่ายๆ แบ่งอาหารเป็นมื้อย่อยๆ รับประทานครั้งละน้อยๆ หลังทานแล้วก็ต้องนั่งให้เรอออกมาก่อน แล้วพยายามอย่าให้ท้องผูก ควรถ่ายเป็นประจำทุกวันปล่อยของเก่าออกไปบ้างจะได้แน่นน้อยลง
หลังคลอดไปแล้ว มดลูกก็หดเล็กลงเหลือนิดเดียว ท้องมันก็หลวมโล่งไปหมด ตอนนี้เองครับที่อาการแน่นทั้งหลายนี้จะหายเป็นปลิดทิ้ง กินเท่าไหร่ก็ไม่รู้อิ่ม ..ถ้าไม่ระวังเรื่องอาหารการกินหลังคลอด ท้องมันก็ไม่ยุบง่ายๆหรอกครับ
ท้องแข็ง เพราะมดลูกบีบตัว
ท้องแข็งแบบนี้ มดลูกในท้องของคุณแม่จะต้องแข็งโป๊กขึ้นมาทั้งหมด ไม่ได้แข็งเป็นบางจุดบางที่เหมือนตอนเด็กโก่งตัว
ตอนที่ท้องแข็ง มดลูกมีการบีบตัว ก็จะมีอาการปวดท้องเหมือนปวดประจำเดือน
ท้องแข็งแบบนี้แหละครับที่มักมีปัญหา
ท้องแข็งของแท้ (มดลูกบีบตัวก่อนกำหนด) ปกติแล้วไม่ค่อยเกิดขึ้นช่วงตั้งครรภ์อ่อนๆ มีน้อยมากที่มีอาการเจ็บท้องก่อน 28 สัปดาห์
ช่วงอายุครรภ์ที่พบมีอาการท้องแข็ง มดลูกบีบตัวก่อนกำหนดบ่อยที่สุด ก็คือช่วงอายุครรภ์ 32 สัปดาห์ ซึ่งก็เป็นช่วงที่ลูกในท้องดิ้นมากที่สุด
การที่ลูกดิ้นมากๆก็อาจมีส่วนไปกระตุ้นทำให้มดลูกบีบตัวบ่อยขึ้นได้ด้วยเหมือนกัน
และถ้าผ่านช่วง 32-34 สัปดาห์นี้ไปได้ก็จะมีอาการท้องแข็งน้อยลง
บางคนพอถึงเวลาครบคลอดมดลูกกลับขี้เกียจไม่ยอมมีอาการเจ็บท้องคลอดซะเฉยๆ บางทีเลยกำหนดไปเลยก็มี
แต่มีคุณแม่หลายๆคนที่ท้องแข็งบ่อย แล้วไม่ดีขึ้น กลับยิ่งแข็งถี่ขึ้นซึ่งถึงตอนนี้คงเป็นเรื่องจำเป็นต้องไปหาคุณหมอแล้วล่ะครับ เพราะหากท้องแข็งแล้วไม่ได้รับการดูแลรักษา มดลูกจะบีบตัวจนปากมดลูกเปิด ตามมาด้วยการเจ็บท้องคลอดก่อนกำหนด...ทีนี้ล่ะกลายเป็นเรื่องใหญ่แน่ๆ
ถ้าแม่แข็งแรงปกติดี ลูกปกติดี จะเหนื่อยจะลำบากยังไงก็ให้ลูกอยู่ในท้องนานๆจะดีกว่า
เพราะหากคลอดออกมาก่อนกำหนดมันจะยิ่งเหนื่อยกว่าหลายเท่า
ที่สำคัญจะจนลงเยอะด้วย เพราะการดูแลเด็กคลอดก่อนกำหนดจะสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายมากอย่าบอกใคร ..แค่ยาช่วยขยายปอดเป็นน้ำใสๆ 2 ซี.ซี.ก็ตั้งหลายหมื่นบาทแน่ะ
แล้วกว่าจะโตพอที่จะเอากลับบ้านไปเลี้ยงได้ ไม่รู้ต้องหมดไปอีกเท่าไหร่
คุณแม่บางคนอาจมีอาการท้องแข็งที่เกิดจากมดลูกบีบตัวนิดๆหน่อยๆในแต่ละวันได้ เป็นการแข็งตัวนิดๆหน่อยๆที่เกิดขึ้นได้เองเป็นธรรมชาติ
ภาษาฝรั่งเขาเรียกการบีบตัวนิดๆหน่อยๆแบบนี้นี้ว่า Braxton Hicks Contraction ชื่อยาวน่าดู สำหรับภาษาไทยก็ยังไม่มีชื่อเรียกเฉพาะ เอาเป็นว่ามดลูกกลมๆของคนเรานั้น ไม่ใช่ว่ามันจะนิ่มตลอดทั้งวัน มดลูกอาจมีบีบๆบ้างโดยที่ไม่มีนัยสำคัญอะไร
ท้องแข็งแบบนี้ไม่ดีแน่
มดลูกเป็นก้อนกล้ามเนื้อที่ใหญ่และแข็งแรงมาก บางทีมันก็อาจจะอยากยืดเส้นยืดสายบีบตัวเล่นๆบ้าง แต่ก็จะบีบตัวเบาๆค่อยๆบีบช้าๆแข็งตัวอยู่นานพอสมควร แล้วก็คลายตัวลงช้าๆ เป็นอย่างนี้วันละหลายครั้ง แต่โดยมากไม่ควรเกินวันละ 6-10 ครั้ง ถ้าคุณแม่มีอาการท้องแข็งหน้าตาอย่างที่ว่ามานี้ก็สบายใจได้ ไม่มีอะไรต้องตื่นเต้น
แต่หากท้องแข็งบ่อยมากกว่าปกติ หรือเดี๋ยวแข็งเดี๋ยวหายติดๆ กันเป็นชุด บางทีแข็งจนเจ็บด้วยซ้ำไป
ถ้าเป็นแบบนี้ก็ไม่ควรนิ่งดูดาย ไปหาคุณหมอดีกว่าครับ เพราะคุณหมอจะพยายามหาสาเหตุว่าทำไมท้องถึงแข็ง ทำไมคุณลูกถึงอยากออกมาข้างนอกเร็วนักนะ ลูกในท้องแข็งแรงดีหรือเปล่า
รวมไปถึงช่วยพิจารณาด้วยว่าระหว่างยอมให้คลอดออกมากับเลี้ยงไว้ในท้องอย่างไหนปลอดภัยกว่ากัน
จริงๆ แล้วสาเหตุของท้องแข็งมีตั้งเยอะแยะ เขียนสิบหน้าก็ไม่หมด
เอาเป็นว่าอาจเกิดจากแม่ไม่แข็งแรง สุขภาพไม่ดี อาจเป็นเบาหวาน ความดันสูง หรือ เหตุอาจเกิดจากมดลูกไม่แข็งแรง มดลูกมีโครงสร้างไม่ปกติ มีเนื้องอกของมดลูก หรือ เกิดจากครรภ์แฝด เด็กตัวใหญ่ น้ำคร่ำมาก หรือ แม้แต่มีตกขาว มีการอักเสบของปากมดลูกก็เป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยๆ
แต่สาเหตุที่พบมากที่สุด มากกว่า 30% ก็คือ "ไม่ทราบสาเหตุ"...???
ทำยังไงให้หาย "ท้องแข็ง"
ในรายที่ท้องแข็งมาก แข็งถี่ มีการบีบตัวของมดลูกชัดเจน คุณหมอก็คงต้องจับให้นอนโรงพยาบาล ปล่อยให้กลับบ้านไป เดี๋ยวจะไปคลอดที่บ้านซะก่อน
การรักษาหลักๆก็คือให้คุณแม่นอนพักให้เต็มที่ ให้ยืนให้เดินน้อยที่สุด
ถ้ามีอาการมากบางทียังไม่ให้ลุกเดินไปห้องน้ำเลย ต้องใช้กระโถนทำธุระบนเตียงแทน
ถือว่าเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศก็แล้วกันนะ ...
ยาที่ใช้รักษาอาการเจ็บครรภ์ก่อนกำหนดก็เป็นยากลุ่มเดียวกันกับยารักษาหอบหืด ..
คุณแม่คงสงสัยใช่มั้ยล่ะครับว่าไม่ได้เป็นหืดสักหน่อยทำไมหมอถึงสั่งยาหอบหืดมาให้กิน?
ยาบางตัวก็เป็นยาที่ใช้รักษาในโรคความดันโลหิตสูง แต่ก็สามารถใช้รักษาการเจ็บท้องก่อนกำหนดได้เหมือนกัน
นั่นก็เพราะยากลุ่มนี้จะใช้คลายกล้ามเนื้อเรียบ กล้ามเนื้อหลอดลม กล้ามเนื้อหัวใจ รวมทั้งกล้ามเนื้อเรียบของมดลูกด้วย
ยาเดียวกันนี้ก็เลยรักษาได้หลายโรค ยานี้พอกินเข้าไปแล้วจะมีอาการข้างเคียงบ้าง คือ อาการใจสั่น หัวใจเต้นเร็วเหมือนเจ้าเข้า ดูเหมือนเหนื่อยๆ
ถึงจะมีอาการข้างเคียงบ้าง แต่ก็ต้องทนหน่อยนะครับ เพราะท้องจะหายแข็งต่อเมื่อใจสั่น หากใจไม่สั่นท้องก็ไม่หายแข็ง ถ้าลดยาลงไม่ให้ใจสั่น ท้องก็จะกลับมาแข็งเหมือนเดิม เลยต้องยอมทนใจสั่นไปก่อน พออาการท้องแข็งดีขึ้นหมอจึงจะลดยาลงได้เรื่อยๆ
ส่วนคุณแม่ที่ท้องแข็งบ่อยแต่ไม่มากถึงกับต้องนอนโรงพยาบาล คุณหมอก็จะให้ยากลับไปกินที่บ้าน ที่เขาเรียกกันว่า "ยาคลายมดลูก" คืออันเดียวกันนี่แหละครับซึ่งก็เป็นยาที่กินแล้วมีอาการใจสั่นบ้างเหมือนกัน แต่เท่านี้ไม่พอครับต้องอาศัยการปฏิบัติตัวที่ถูกต้องควบคู่กันไปด้วย ถึงจะสามารถอยู่รอดปลอดภัย อยู่จนครบคลอดได้
อันดับแรกเลยก็ต้องนอนพักให้มากๆ หากงานที่ทำต้องเดินมาก ใช้แรงงานเยอะก็ให้หยุดอยู่บ้านดีกว่า อยู่บ้านแล้วก็ห้ามขยัน ให้ทำตัวขี้เกียจที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถ้าขี้เกียจอยู่แล้วก็สบายหน่อยท่าทางจะหายเร็ว
“พยายามใช้นิ้วกับใช้ปากให้มากที่สุด” คือ ใช้นิ้วชี้ใช้คนอื่นทำ ใช้ปากสั่งคนโน้นทำ คนนี้ทำ ถ้ามีใครเกี่ยง ใครไม่ยอมทำก็อ้างได้เลยว่า “หมอสั่งมา” ก็การรักษาโรคนี้ที่ดีที่สุดก็คือการนอนพักนี่ครับ
พยายามหลีกเลี่ยงการเดินเยอะๆ การขึ้นลงบันได การยกของหนัก เพราะยิ่งมีกิจกรรมมากท้องก็จะยิ่งแข็งมาก งานบ้าน งานหลวง งานราษฎร์ยกให้สามีทำหมด
อย่าลืมขอใบรับรองแพทย์จากคุณหมอมายืนยันให้สามีดูด้วยนะครับ!
ข้อควรปฏิบัติ เมื่อมีอาการเจ็บครรภ์ก่อนกำหนด
1. ขี้เกียจได้ แต่อย่าบิดขี้เกียจ
หมอสั่งมาให้นอนพักเยอะๆทำงานน้อยๆ มดลูกจะได้ไม่บีบตัว ตัวขี้เกียจก็เลยเกาะอยู่เต็มตัว พอบิดขี้เกียจปุ๊บท้องแข็งขึ้นมาทันที
มันเหมือนกับตอนที่เราบิดผ้าเปียกๆนั่นแหละครับ ยิ่งบิดน้ำก็จะน้ำก็จะทะลักออกมา ....
ตอนเราบิดขี้เกียจก็เหมือนกัน ช่องท้องของเราปริมาตรจะเล็กลง ความดันในมดลูกก็จะสูงขึ้น ท้องก็เลยแข็งได้
2. ลุกขึ้นลุกลงอย่าให้มดลูกสะดุ้ง
ตอนเราล้มตัวลงนอน หากล้มหงายหลังลงตรงๆ ก็ต้องมีการเกร็งกล้ามเนื้อหน้าท้อง
ตอนลุกขึ้น หากงัดตัวลุกขึ้นตรงๆก็จะต้องเกร็งหน้าท้องขึ้นเหมือนกัน
การเกร็งหน้าท้องนี้ก็เป็นการเพิ่มแรงดันในช่องท้อง ก็จะส่งผลทำให้มดลูกมันบีบตัวได้
คุณแม่หลายคนก็คงจะรู้สึกว่าท้องมักแข็งเวลาเกร็งหน้าท้องลุกขึ้นลุกลง
ดังนั้นในรายที่มีอาการเจ็บครรภ์ก่อนกำหนดก็ยิ่งต้องระวังมากขึ้น จะล้มตัวลงนอนก็ต้องตะแคงลงช้าๆ จะลุกขึ้นก็ต้องพลิกตัวแล้วตะแคงขึ้นช้า
ท่านี้เค้าเรียกว่าท่าเข้าบรรทมแบบนางเอกลิเก...
หัดทำท่านี้สวยๆไว้รับรองได้ครับ ...ท้องไม่แข็งแน่!
3. อย่ากลั้นปัสสาวะ
ภายในท้องน้อยของผู้หญิงนั้น ตรงด้านหน้าจะเป็นกระเพาะปัสสาวะ ถัดเข้าไปตรงกลางก็จะเป็นกระเพาะปัสสาวะ ด้านหลังก็เป็นทวารหนัก ...
พอท้องโตขึ้นมา กระเพาะปัสสาวะกับมดลูกก็เลยต้องเบียดแย่งที่กันอยู่ตรงนั้น
ยิ่งท้องโตขึ้นเรื่อยๆ กระเพาะปัสสาวะยิ่งจะถูกเบียดเล็กลงเรื่อยๆ
คุณแม่เลยมีอาการปัสสาวะบ่อยขึ้น
คราวนี้หากกลั้นปัสสาวะ กระเพาะปัสสาวะก็จะโป่งมากขึ้น ..มดลูกก็โป่ง กระเพาะปัสสาวะก็โป่ง มันก็เลยเบียดแย่งเนื้อที่กัน
มดลูกก็จะมีความดันสูงขึ้น เป็นเหตุทำให้มดลูกบีบตัว ท้องแข็งได้
คุณแม่ก็เลยทีอาการท้องแข็งบ่อยตอนกำลังจะปวดปัสสาวะ โดยเฉพาะตอนเช้าๆใกล้สว่าง พอปัสสาวะออกไปแล้วอาการท้องแข็งก็บรรเทาลง
4. อย่ามือบอนจับท้องบ่อย
มดลูกเป็นอวัยวะที่ประกอบไปด้วยกล้ามเนื้อเรียบที่ไวต่อการกระตุ้นมาก ยิ่งจับบ่อย มันก็ยิ่งแข็งบ่อย คุณแม่ที่รู้สึกว่าท้องแข็งบ่อย ก็มักจะชอบเอามือไปลูบๆ คลำๆ อยู่ตลอดด้วยเป็นกังวลว่ามดลูกมันจะแข็งตัว ..
มดลูกมันก็เลยสู้มือ...แข็งสมใจซะเลย
ท่องเอาไว้เลยนะครับ...ดูแต่ตา มืออย่าต้อง ท้องจะแข็ง
5. อย่าจู๋จี๋มีเพศสัมพันธ์
ในคุณแม่ที่เจ็บครรภ์ก่อนกำหนด คุณหมอก็จำใจจำเป็นต้องสั่งงดการมีเพศสัมพันธ์
เพราะการมีเพศสัมพันธ์จะไปกระตุ้นแถวบริเวณปากมดลูก ซึ่งจะทำให้มีการบีบตัวของมดลูกตามมา เพราะถ้าจะเปรียบไปแล้วการกระแทกกระเทือนระหว่างมีเพศสัมพันธ์มันก็เหมือนพาคนท้องนั่งสามล้อวิ่งบนลูกระนาด สุดท้ายก็ยิ่งทำให้ท้องแข็งไปกันใหญ่
แหม...บางคนยังมาต่อรองอีกนะว่า ค่อยๆทำเบาๆ ได้หรือเปล่า
อย่าดีกว่านะ เพราะเดี๋ยวเวลาคุณเธอถึงจุดสุดยอดขึ้นมา มดลูกก็จะมีการบีบตัวเป็นจังหวะตามมาอีก เดี๋ยวยุ่งกันเสร็จก็ต้องพาไปคลอดต่อได้เลย
นอกจากนั้นในทางการแพทย์ก็ยังพบว่า ในน้ำอสุจิจะมีสารเคมีที่ชื่อว่า พรอสตาแกลนดิน ซึ่งสารตัวนี้แหละเป็นตัวการสำคัญของธรรมชาติที่ทำให้ปากมดลูกขยายตัวในระหว่างการคลอด ดังนั้นหากอดไม่ได้ หรือจำเป็นต้องมีเพศสัมพันธ์จริงๆ ..(อ้างแบบนี้ทุกที) ก็ให้ปล่อยน้ำเชื้อข้างนอกก็แล้วกัน ... เลอะเทอะอีก
6. ห้ามซุกซนยุ่งกับหน้าอกหน้าใจ
เวลามีอะไรกัน ก็น้อยนักที่จะไม่ไปยุ่งอะไรกับเต้านมเลย ยิ่งในขณะที่ตั้งครรภ์เต้านมจะยิ่งขยายเต่งตึง เต็มไม้เต็มมือ เห็นแล้วก็หักห้ามใจได้ยากยิ่งนัก เวลาไปยุ่งอะไรกับจุกนมก็มักมีผลทำให้มดลูกบีบตัวได้
คุณแม่ที่เคยมีลูกมาก่อน น่าจะนึกออกว่านะครับว่า ตอนลูกดูดนม มดลูกจะมีการบีบตัวพร้อมๆกันไปด้วย ด้วยเหตุนี้ หมอเลยต้องเอ่ยปากห้ามยุ่งตรงนี้ไว้ก่อน..ในรายที่คุณแม่มีอาการเจ็บครรภ์ก่อนกำหนด ..แต่ไม่รู้เป็นอะไร ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ ..นิสัยผู้ชาย ยิ่งต้องห้าม ยิ่งต้องแอบ ยิ่งตื่นเต้น..ยิ่งชอบ พูดแล้วเหมือนว่าตัวเอง ไม่พูดดีกว่า
ระหว่างอาบน้ำก็ไม่ควรไปฟอกไปจับบริเวณหัวนมจนเกินความจำเป็น หากหัวนมแข็งชันขึ้นมาเมื่อไหร่ มดลูกก็อาจจะแข็งตัวตามมาได้เมื่อนั้น สรุปแล้วหากท้องแข็งบ่อยก่อนเวลาหมอก็คงต้องสั่งห้ามการมีเพศสัมพันธ์ไว้ก่อน ตรงเต้านมก็ไม่เว้น ห้ามยุ่ง ห้ามจับ ห้ามดม ห้าม...ห้ามหมดทุกอย่าง หลังคลอดก็ไปคิดบัญชีย้อนหลังกันเอาเองก็แล้วกัน
ที่ว่ามาทั้งหมดนั้นก็เป็นเรื่องราวของท้องแข็ง หรือ มดลูกบีบตัวในขณะที่ท้องยังไม่ครบกำหนด
คราวนี้ก็มาถึงช่วงตั้งครรภ์ครบกำหนดคลอด ช่วงท้ายๆนี้ก็มีท้องแข็งหลายแบบ ทั้งแข็งหลอก เจ็บเตือน เจ็บจริง...จนคลอดไปแล้วมดลูกมันก็ยังแข็งของมันต่อไปอีก เกิดมาเป็นมดลูก เกิดมาเพื่อแข็งตัวอย่างเดียวเลยมั๊ง ..เหนื่อยแทน
"ท้องแข็ง" ตอนใกล้คลอด
ปกติแล้วคนเราจะตั้งครรภ์ 40 สัปดาห์ นับจากวันแรกที่มีประจำเดือนมาไปจนถึงกำหนดคลอด ถ้านับ 4 สัปดาห์เป็น 1 เดือนก็จะตั้งครรภ์รวมแล้ว 10 เดือน
ที่จริงแล้วที่ไหนๆ เขาก็นับกัน 10 เดือนคลอด
คนจีนนับ 10 เดือน ฝรั่งก็นับ 10 เดือน ประเทศเพื่อนบ้านเราก็นับ 10 เดือน
มีพี่ไทย กับน้องลาว 2 ประเทศเท่านั้นแหละครับที่นับท้องครบ 9 เดือนคลอด
ที่คนไทยเรานับ 9 เดือนคลอดก็เพราะว่าเราไปนับเอาตอนประจำเดือนขาดแทนที่จะไปนับตอนประจำเดือนมาครั้งสุดท้าย
ตอนที่ประจำเดือนขาดนั่นเราก็ท้องเรียบร้อยไปแล้ว 2 สัปดาห์
ถ้าหากนับเป็นสัปดาห์ คนเราก็จะครบคลอดได้ตั้งแต่สัปดาห์ที่ 37 เป็นต้นไป หากเจ็บท้องขึ้นมาก่อนหน้านี้ก็จะถือว่าเป็นการเจ็บครรภ์ก่อนกำหนด ส่วนการตั้งครรภ์เกินกำหนดก็คือการตั้งครรภ์เกินกว่า 42 สัปดาห์
ปกติแล้วยิ่งใกล้กำหนดคลอดมากเท่าไหร่ คุณแม่ก็จะรู้สึกว่าท้องแข็ง หรือมดลูกบีบตัวบ่อยขึ้นเท่านั้น แล้วยิ่งเดินเยอะ ทำงานเยอะ ก้มๆเงยๆเยอะ ก็จะยิ่งท้องแข็งบ่อยขึ้น
ท้องแข็งในระยะแรกๆก็จะไม่ค่อยแรง ไม่ค่อยถี่ ไม่ค่อยเจ็บสักเท่าไหร่ จังหวะการแข็งค่อนข้างห่าง คือจะบีบแข็งตัวขึ้นช้าๆ แล้วก็แข็งคาไว้อย่างนั้นนานพอดู แล้วก็ค่อยๆ คลายตัวลงช้าๆ ซึ่งเปรียบดูก็จะเหมือนระรอกคลื่นเตี้ยๆ ที่มาห่างๆ นานๆ ถึงจะบีบตัวสักที
แต่ยิ่งใกล้คลอด ระรอกคลื่นก็จะสูงขึ้น มาถี่ขึ้น จนตอนจะคลอดมันคงแรงและถี่เป็ยจังหวะทุก 3 นาทีเลยนะครับ
"เจ็บเตือน"
เจ็บเตือนก็เป็นอาการเจ็บครรภ์อย่างหนึ่งที่ไม่ใช่เจ็บครรภ์คลอด แต่เป็นสัญญาณเตือนว่าจะเจ็บครรภ์คลอดภายในไม่ช้า
เมื่อมีอาการเจ็บเตือนมดลูกจะมีการบีบตัวเป็นจังหวะ เดี๋ยวบีบ เดี๋ยวหายติดๆ กันเป็นชุด แรงบีบอาจจะแรงบ้าง เบาบ้างไม่แน่ไม่นอน บีบๆ หายๆ อยู่สักพักก็หายไปได้เอง โดยมากแล้วเจ็บเตือนชุดนึงก็จะกินเวลาประมาณ 20-30 นาที การเจ็บเตือนที่จริงแล้วมักไม่รู้สึกเจ็บหรอกครับ แต่สามารถรู้สึกได้ว่ามดลูกมันบีบตัวแข็ง อย่างมากก็มีอาการเหมือนตอนปวดประจำเดือนอย่างนั้นเลยครับ
แล้วอาการเจ็บเตือนก็ไม่ได้เกิดขึ้นกับคุณแม่ทุกๆ คนนะครับ บางคนเจ็บเตือนอยู่ได้ตั้งนาน ..เตือนแล้วเตือนอีก ไม่เอาจริงซะที แต่บางคนอาจไม่มีเจ็บเตือนให้เสียเวลา ถึงเวลาก็เจ็บท้องคลอดเลยไม่ต้องเรื่องมาก
โดยมากแล้วเจ็บเตือนมักเป็นกับท้องสอง ท้องสามมากกว่าที่จะเป็นในท้องแรก ก็ยังไม่รู้เหตุผลเหมือนกันนะครับ แต่ตามสถิติเขาว่ากันมาอย่างนี้ ที่จริงท้องแรกมือใหม่น่าจะให้เจ็บเตือนนานๆ ก่อนคลอดนะ จะได้ตั้งตัวทัน
ปกติแล้วเจ็บเตือนก็จะนำหน้ามาก่อนเจ็บจริง โดยเฉลี่ยแล้วประมาณ 7 วัน แต่ก็อาจนำมาก่อนแค่วันเดียวก็ได้ หรืออาจเตือนนาน 10 กว่าวันก็มี แต่เฉลี่ยแล้วราวๆ 7 วันนี่แหละครับ ดังนั้นหากมีอาการเจ็บเตือนก็เก็บกระเป๋าเตรียมรอไว้ได้เลย...อีกไม่กี่วันได้คลอดแน่
เมื่อคุณแม่มีอาการเจ็บเตือนก็ยังไม่ต้องไปโรงพยาบาลนะครับ
รอสังเกตุอาการสักครู่ดีกว่า เพราะบางทีพอไปถึงมือหมอ มันก็มักจะหายเจ็บท้องไปซะทุกที
เลยไปเก้อ ไปแล้วก็หมอก็ให้กลับบ้าน ดังนั้นหากมีอาการเจ็บเตือนก็เฝ้าดูมันใจเย็นๆ
ถ้าอีกแป๊บมันหายได้เองก็ไม่ใช่เจ็บจริงแน่ แต่ถ้าเจ็บเตือน แล้วมันเตือนไม่หยุด
เจ็บแรงขึ้น ถี่ขึ้น เจ็บมากขึ้น อย่างนี้ก็ไปโรงพยาบาลได้เลยครับ
แล้วก็เป็นเรื่องประหลาดเหมือนธรรมชาติแกล้งเพราะทั้งเจ็บเตือน เจ็บจริงมักจะเจ็บเอาตอนกลางคืนมากกว่ากลางวัน ก็เลยเป็นเหตุทำให้หมอคลอดลูกมักถูกตามตัวเอากลางดึกซะทุกที นี่ถ้าไปเจอเอาหมอขี้เซาสงสัยคงต้องเจ็บรอไปก่อน ยิ่งถ้าหมอเหนื่อยมาทั้งวันนี่นะหลับเป็นตายเลยล่ะ
“เจ็บจริง”
คราวนี้ถึงตอน "เจ็บจริง" ของจริงซะที
เจ็บจริงจะไปเจ็บกันตอนไหนวันไหนก็ไม่มีใครรู้
แต่โอกาสจะเจ็บท้องตรงวันครบกำหนดคลอดพอดีจะราวๆ 5 เปอร์เซ็นต์
โอกาสที่จะเจ็บเกินกำหนดก็ประมาณ 3 เปอร์เซ็นต์
ส่วนใหญ่จะเจ็บก่อนกำหนดคลอดนิดหน่อยโดยเฉพาะสัปดาห์สุดท้ายของการตั้งครรภ์
คุณแม่ที่ท้องแข็งบ่อยๆ มักจะเริ่มเจ็บท้องเร็วกว่า
ส่วนคุณแม่ที่ท้องนิ่มเงียบจะเจ็บท้องช้ากว่า ..
พูดง่ายก็คือ “ยิ่งแข็งบ่อย..ก็ยิ่งใกล้คลอดมาก ยิ่งแข็งห่างยิ่งอยู่ได้อีกยาว"
เมื่อถึงเวลาเจ็บจริงมดลูกจะเริ่มบีบแข็งเป็นจังหวะ แรกๆ ก็เป็นจังหวะห่างๆ บีบเบาๆ แล้วก็บีบแรงขึ้นแข็งขึ้นเรื่อยๆ จังหวะถี่ขึ้นเรื่อยๆ จนเริ่มรู้สึกเจ็บ แล้วก็จะเจ็บมากขึ้น..มากขึ้น แล้วก็มากขึ้น
ช่วงแรกๆ ที่เจ็บท้องมดลูกยังบีบตัวเป็นจังหวะห่างบ้างถี่บ้างยังไม่คงเส้นคงวา แต่พอเริ่มเจ็บได้ที่มดลูกจะบีบตัวเป็นจังหวะ ซึ่งจะบีบตัวแข็งเกือบนาที แล้วก็เว้นห่าง 3 นาที แล้วก็แข็ง 1 นาที เว้น 3 นาทีอย่างนี้ไปเรื่อยๆ
เมื่อคุณแม่มีอาการเจ็บครรภ์แล้ว เรื่องที่กังวลเสมอก็คือต้องไปโรงพยาบาลตอนไหน อันดับแรกต้องแน่ใจก่อนว่านี่เป็นการเจ็บจริงของแท้ หากเป็นแค่เจ็บเตือน พอเดินทางไปถึงโรงพยาบาลมันก็ดันหายเจ็บเอาดื้อๆ ต้องนอนรออีกตั้งหลายวันกว่าจะเจ็บจริง หรือดีไม่ดีหมอก็ไล่กลับไปนอนที่บ้าน เจ็บจริงแล้วค่อยมาใหม่
คุณแม่ที่คลอดลูกเองโดยวิธีธรรมชาติ ก็คงต้องมีการเจ็บครรภ์กันทุกคน ไม่เจ็บท้องคลอดมันก็ไม่มีทางคลอด ที่ต้องเจ็บครรภ์ก็เพราะธรรมชาติออกแบบมาให้คนเรามีทางเข้ากับทางออกจากมดลูกเป็นทางเดียวกัน แล้วสิ่งที่จะต้องเดินทางผ่านเข้าออกช่องคลอดก็มีแค่อวัยวะเพศชายกับตัวเด็กตอนคลอดเท่านั้นเอง ...
แล้วธรรมชาติจะให้ช่องคลอดมีขนาดพอดีกับตัวเด็ก หรือพอดีกับอวัยวะเพศของผู้ชายดีล่ะครับ? ..
หากให้ช่องคลอดมันใหญ่กว่าทุกวันนี้ เอาให้ขนาดโตเท่าขนาดตัวเด็กที่จะคลอดก็พอ ..ผู้หญิงทั้งโลกนี้ก็คงสบาย ไม่ต้องมาเจ็บทรมานกับการคลอด เบ่งทีเดียวก็ออกแล้วไม่ยากไม่เย็น ..แต่ผู้ชายคงจะลำบากเพราะอวัยวะเพศของผู้ชายต้องโตขึ้นเท่าตัวเด็กถึงจะสามารถใช้การได้พอดี เวลาไปไหนมาไหนก็คงต้องแบก ต้องอุ้มกันไปลำบากแย่!
ตกลงธรรมชาติก็เลยลงมติให้ช่องคลอดมีขนาดเล็กพอดีกับขนาดของอวัยวะเพศของผู้ชายจะได้ไม่ลำบากกันทั้งสองฝ่าย แต่จะลำบากอีกทีก็ตอนคลอดเพราะต้องให้เด็กตัวเบ้อเริ่มผ่านออกมาทางช่องคลอดที่ขนาดเล็กนิดเดียวให้ได้ ..
เรื่องนี้มดลูกก็เลยรับหน้าที่นี้ไป เป็นหน้าที่ของมดลูกที่ต้องบีบตัวผลักดันให้เด็กสามารถคลอดผ่านช่องแคบๆ นี้ออกมาได้ ...
เมื่อถึงเวลาคลอด มดลูกจะบีบตัวเป็นพักๆ การบีบแต่ละครั้ง แรงบีบจะดันหัวของเด็กไปกดถ่างขยายปากมดลูก จากที่ปิดสนิทหัวเด็กก็จะดันไปเรื่อยๆจนเปิดหมด ถึงตอนนั้นแรงบีบของมดลูกร่วมกับแรงเบ่งของกล้ามเนื้อหน้าท้องจะทำให้ลูกคลอดผ่านช่องคลอดออกมาได้...พอคลอดออกมาเรียบร้อยแล้วเห็นลูกแล้วมันน่ามหัศจรรย์จริงๆ ที่เด็กตัวไม่ใช่เล็ก สามารถคลอดผ่านช่องคลอดที่เส้นผ่าศูนย์กลางแค่ 2 เซนต์ออกมาได้
ความมหัศจรรย์นี้ก็ต้องยกความดีความชอบให้กับมดลูกด้วยประการทั้งปวง
ถึงตอนนั้นก็เป็นอันหมดภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่ยาวนานของมดลูกซะที...
ก็คงได้พักกันอีกนาน
ส่วนอาการท้องแข็งที่คอยกวนหัวใจคุณแม่ให้กังวลก็จะหายไปเช่นกัน
เอาเป็นว่าตั้งครรภ์ครั้งต่อไปค่อยมาว่ากันใหม่ครับ...
ขี้เกียจอ่านกดฟังตามลิงค์นี้เลยครับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น