รหัสอัจฉริยะ คู่มือเสริมสร้างพัฒนาการทางสมองของทารกตั้งแต่ในครรภ์

 


เขียนให้กับ Enfalac นานแล้ว 

คู่มือ  เตรียมความพร้อมเพื่อการเป็นพ่อแม่ A+   

คำนำ 

         จากอดีตที่เคยมีความเชื่อว่า เด็กยังเล็กยังไม่สามารถเรียนรู้อะไรได้ รอให้โตหน่อยก่อนถึงค่อยสอนถึงจะรู้เรื่อง  ยิ่งทารกที่อยู่ในครรภ์ก็ยิ่งไม่สามารถเรียนรู้อะไรได้หรอก คลอดออกมาแล้วค่อยมาว่ากันดีกว่า 

แต่ด้วยความก้าวหน้าทางด้านการแพทย์ในปัจจุบัน ทำให้เรารู้ว่าทารกในครรภ์สามารถเคลื่อนไหวได้ตั้งแต่ในไตรมาสแรก สามารถได้ยินเสียงตั้งแต่อายุครรภ์ 18 สัปดาห์ สามารถเห็นแสงสว่างได้ตั้งแต่อายุครรภ์ 28 สัปดาห์ สามารถตอบสนองต่อการกระตุ้นจากภายนอกได้ ซึ่งความสามารถ และพัฒนาการต่างๆ จะมีมากขึ้นตามลำดับ จนกระทั่งลูกลืมตามาดูโลก หากได้รับการกระตุ้นหรือส่งเสริมที่ถูกต้องจากคุณแม่ในระหว่างที่ตั้งครรภ์ จะเป็นผลให้เด็กมีพัฒนาการที่ดี พร้อมต่อทุกก้าวแห่งความมหัศจรรย์ที่จะเกิดขึ้น 

ดังนั้น จึงเป็นหน้าที่ที่สำคัญของคุณแม่ที่จะดูแลและส่งเสริมพัฒนาการของลูกตั้งแต่ในครรภ์  จากการศึกษาของผู้เชี่ยวชาญพบว่า ปัจจัยสำคัญที่จะช่วยส่งเสริมพัฒนาการทุกด้านของเด็กในครรภ์นั้น  ประกอบไปด้วย  4 ปัจจัยสำคัญ หรือที่เราเรียกว่า   รหัสอัจฉริยะ Enfa Smart System   ได้แก่...

 

Smart Nutrition ...     คุณค่าอาหาร เพื่อการเจริญเติบโต เสริมสร้าง พัฒนาสมอง

Smart Symphonies ...เสียงดนตรี สื่อดีๆ เพื่อเพิ่มไอคิว

Smart Play…            เล่นดี สมองดี มีศักยภาพ

Smart Language…   พูดคุยสื่อภาษา  พัฒนาการเรียนรู้

 

ซึ่งเนื้อหาในคู่มือ  เตรียมความพร้อม เพื่อการเป็นพ่อแม่ A+” เล่มนี้ ได้นำเสนอแนวทางให้คุณพ่อคุณแม่นำไปใช้ในการกระตุ้นและส่งเสริมลูกให้เกิดมหัศจรรย์แห่งพัฒนาการได้อย่างเต็มศักยภาพ                                                                                                                                                                                           ปรารถนาให้เด็กๆ เติบโตอย่างเต็มศักยภาพ

                                                                                             นพ. อานนท์ เรืองอุตมานันท์    สูติ-นรีแพทย์

 

 

 

                          ------------------------------------------------------- 

 

การเปลี่ยนแปลงและพัฒนาการของคุณแม่ตั้งครรภ์ 

ไตรมาสที่ 1   (1-3 เดือน) 

                ช่วงนี้รูปร่างของคุณแม่ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก ยังดูไม่ออกว่าตั้งครรภ์ จะเริ่มเห็นมีพุงนิดๆในช่วงท้ายๆ ของไตรมาสแรก  น้ำหนักตัวของคุณแม่ก็ยังคงเดิม หรือบางรายอาจมีน้ำหนักลดลงเล็กน้อย เนื่องจากคุณแม่อาจมีอาการแพ้ท้อง คลื่นไส้ อาเจียน ทานอาหารได้น้อยลง กินอะไรก็ไม่อร่อย กินน้ำก็ยังขม เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย ไม่มีแรง ขี้เกียจ อยากนอนทั้งวัน ตอนเย็นๆ บางรายอาจรู้สึกเหมือนมีไข้ตัวรุมๆ 

ส่วนทางด้านอารมณ์ความรู้สึก ด้วยระดับฮอร์โมนที่เพิ่มขึ้น ทำให้คุณแม่มีอารมณ์ขึ้นๆลงๆ แปรปรวนได้ง่าย อาจสับสน เครียด และกังวลใจ มีอาการแพ้ท้อง บางครั้งเอาแต่ใจตนเอง หงุดหงิด ขี้รำคาญ ขาดความมั่นใจ บางคนอาจซึมเศร้า ร้องไห้ได้  เมื่อผ่านไปได้ระยะหนึ่ง สิ่งต่างๆ เริ่มเข้าที่เข้าทาง คุณแม่ก็อาจเริ่มรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น

 

 ไตรมาสที่ 2   (4-6 เดือน) 

เริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงด้านร่างกายของคุณแม่ได้ชัดเจนมากขึ้น หน้าท้องขยายเพิ่มขึ้น เต้านมโตขึ้น น้ำหนักตัวเริ่มเพิ่มมากขึ้น ผิวหนังมีสีคล้ำขึ้น โดยเฉพาะตามข้อพับต่างๆ เริ่มสังเกตเห็นเส้นดำๆ กลางหน้าท้อง หัวนมเริ่มมีสีคล้ำขึ้นและรู้สึกเจ็บเมื่อถูกสัมผัส  เส้นเลือดฝอยตามผิวหนังปรากฏชัด เริ่มมีอาการเหนื่อยง่าย เหงื่อออกง่าย บางรายก็เริ่มมีอาการปวดหลังจากรูปทรงของร่างกายที่เปลี่ยนแปลงไป 

ในไตรมาสที่ 2 คุณแม่จะอารมณ์ดีที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงอื่นๆตลอดการตั้งครรภ์ เมื่ออาการแพ้ท้องหมดไป คุณแม่ก็มีความรู้สึกดีๆต่อการตั้งครรภ์มากขึ้น ปรับตัวได้มากขึ้น อารมณ์เริ่มผ่อนคลาย ควบคุมอารมณ์ได้ดีขึ้น มีความสุขมากขึ้น เมื่อลูกเริ่มดิ้นก็เริ่มรับรู้ถึงการมีชีวิตของลูกในครรภ์ ความรู้สึกของความเป็นแม่ก็เริ่มเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ  คุณแม่ก็จะพยายามขวนขวายหาความรู้ ตระเตรียมเครื่องใช้ต่างๆ สำหรับลูก

 

 ไตรมาสที่ 3   (7-9 เดือน) 

ช่วงนี้ ร่างกายของคุณแม่มีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมาก น้ำหนักตัวที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้คุณแม่อุ้ยอ้ายรู้สึกเหนื่อยง่าย ยิ่งช่วงท้ายๆ ของการตั้งครรภ์ คุณแม่จะรู้สึกอึดอัด ตึงแน่นท้อง เมื่อมดลูกโตขึ้น มีน้ำหนักมากขึ้น ก็จะกดทับทำให้เจ็บหัวหน่าว ปวดถ่วงเชิงกราน โดยเฉพาะเวลาเดินหรือเปลี่ยนจากท่านั่งเป็นยืน 

น้ำหนักของมดลูกที่เพิ่มขึ้นก็จะกดทับลงบนกระเพาะปัสสาวะ ทำให้คุณแม่รู้สึกปวดปัสสาวะบ่อย จนบางครั้งในขณะที่ลูกดิ้นอาจทำให้มีอาการปัสสาวะเล็ดได้ 

ช่วงท้ายของการตั้งครรภ์ มดลูกมีการขยายตัวมากขึ้น ก็จะไปเบียดทางด้านบน ทำให้พื้นที่ของปอดและกระเพาะอาหารเล็กลง  ...เมื่อปอดมีขนาดเล็กลงก็จะทำให้เหนื่อยง่าย เหมือนหายใจไม่เต็มอิ่ม หายใจถี่ขึ้นมากกว่าปกติ  และเมื่อกระเพาะอาหารถูกเบียดให้เล็กลง ก็จะกินอาหารได้น้อยลง รู้สึกจุกแน่นได้ง่าย น้ำย่อยภายในกระเพาะอาหารก็จะล้นย้อนเข้าไปในหลอดอาหารได้ง่าย  ทำให้รู้สึกแสบร้อนในอก การนอนหนุนหมอนสูง หรือดื่มนมอุ่นๆ ก่อนนอน จะช่วยลดอาการดังกล่าวได้ 

ช่วงท้ายๆ ของการตั้งครรภ์ ก็อาจมีอาการบวมที่ข้อเท้าและนิ้วมือได้ คุณแม่บางท่านอาจจะนอนไม่สบาย เนื่องจากท้องมีขนาดใหญ่ขึ้นมาก  ควรนอนตะแคงคล้ายท่ากอดหมอนข้างจะช่วยให้หลับสบายขึ้น 

ระยะนี้คุณแม่อาจจะรู้สึกเครียดและวิตกกังวลบ้าง เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในระหว่างตั้งครรภ์ การเตรียมตัวคลอด การเจ็บท้องคลอด และการเลี้ยงลูกหลังคลอด ทางที่ดีควรจะไปหาหมออย่าสม่ำเสมอ เพื่อให้คุณหมอตรวจครรภ์ และตรวจหาความผิดปกติที่อาจเกิดขึ้น หากมีข้อสงสัย ก็อย่าลังเลที่จะสอบถามให้แน่ใจ ไม่ควรเก็บความกังวลไว้คนเดียว ที่สำคัญ อย่าเสียเวลาฟังคำแนะนำจากคนที่ไม่รู้จริง เพราะแทนที่จะดี อาจทำให้สถานการณ์แย่ลงได้ 

 

 น้ำหนักคุณแม่ที่ควรเพิ่มขึ้นในแต่ละเดือน 

น้ำหนักเพิ่มขึ้นที่เหมาะสม และทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่อคุณแม่และลูกในครรภ์น้อยที่สุด คือ ช่วงน้ำหนักระหว่าง 12-15 กิโลกรัม ซึ่งสัดส่วนของน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นในแต่ละช่วงอายุครรภ์จะแตกต่างกันดังนี้ 

* ไตรมาสที่ 1   (1-3 เดือน)  เพิ่มขึ้นประมาณ 1-1.5 กิโลกรัม 

* ไตรมาสที่  2   (4-6 เดือน)  เพิ่มขึ้นประมาณ 4-5 กิโลกรัม 

* ไตรมาสที่ 3   (7-9 เดือน)  เพิ่มขึ้นประมาณ 5-6  กิโลกรัม 


น้ำหนักอยู่ที่ไหน 

สัดส่วนของน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น 12-15 กิโลกรัม จะกระจายตามส่วนต่างๆ ดังนี้ 

เจ้าตัวเล็ก  ประมาณ 3,000 กรัม

รก ประมาณ 500 กรัม

น้ำคร่ำ ประมาณ  800 กรัม

มดลูก ประมาณ  900 กรัม

เต้านม ประมาณ 400 กรัม

เลือดและน้ำในร่างกายคุณแม่ ประมาณ 1,200 กรัม

ไขมันและโปรตีน  ประมาณ 5,000 กรัม

  

มหัศจรรย์แห่งพัฒนาการ ของลูกน้อยในครรภ์ 

ปัจจุบัน เราทราบกันดีแล้วว่า เด็กในท้องมีความสามารถในการรับรู้และเรียนรู้ตั้งแต่ในครรภ์  เหตุที่เป็นเช่นนี้ ก็เพราะธรรมชาติสามารถสร้างระบบการทำงานของสมองให้สอดประสานกันได้อย่างน่าอัศจรรย์  โดยเริ่มตั้งแต่หลังการปฏิสนธิในครรภ์ ไปจนถึงไตรมาสสุดท้ายก่อนคลอด จะเป็นเวลาที่สำคัญที่สุดในการสร้างพื้นฐานการพัฒนาสมองของลูกน้อย  เพราะขณะที่อวัยวะส่วนต่างๆ ของร่างกายลูกน้อยกำลังเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่องนั้น  เซลล์สมองของลูกน้อยก็จะแตกกิ่งก้านสาขาออกไปอย่างรวดเร็วด้วยเช่นกัน  หากคุณแม่ตั้งครรภ์รับประทานสารอาหารที่จำเป็นต่อการพัฒนาสมองอย่างเพียงพอ ตลอดจนเรียนรู้วิธีกระตุ้นวงจรการทำงานของสมองลูกน้อยในครรภ์ได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม โดยเฉพาะช่วงไตรมาสสุดท้าย  นับเป็นโอกาสทองที่คุณแม่จะสร้างพื้นฐานที่สมบูรณ์ที่สุดสำหรับสมองของลูกน้อยในอนาคต 

 

พัฒนาการทางสมองของลูกน้อยในครรภ์ 

* ไตรมาสที่ 1   (1-3 เดือน) 

พัฒนาการทางสมองของทารกเริ่มขึ้นตั้งแต่หลังปฏิสนธิเพียง 8 สัปดาห์ ระบบใยสมองของทารกจะเริ่มเชื่อมโยงเป็นร่างแห เซลล์สมองแบ่งตัวอย่างรวดเร็ว  ประมาณนาทีละ 250,000 เซลล์ เพื่อสร้างเนื้อสมอง ช่วงนี้ตัวทารกจะมีขนาดประมาณเม็ดถั่วแดง โดยจะเป็นส่วนสมองของทารกมากกว่าครึ่งของขนาดลำตัว 

 

* ไตรมาสที่ 2    (4-6 เดือน) 

ระยะนี้การแบ่งตัวของเซลล์สมองลดลง แต่จะมีการขยายตัวใหญ่ขึ้น และมีการแผ่ขยายของเซลล์ประสาท ในระยะนี้จำนวนเซลล์ประสาทของทารกจะมีเท่ากับผู้ใหญ่แล้ว เส้นประสาทสมองจะได้รับการห่อหุ้มด้วยเยื่อหุ้ม Myelin

เมื่อทารกอายุประมาณ 6 เดือน ก็จะมีลักษณะคลื่นสมองคล้ายกับทารกที่ครบกำหนด 

 

* ไตรมาสที่ 3   (7-9 เดือน) 

ระยะนี้ สมองมีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว ระบบประสาทส่วนกลางของทารกพัฒนาไปอย่างมาก เส้นประสาทมีการสร้างเยื่อหุ้มที่มาจากไขมัน ทำให้การส่งผ่านสัญญาณในเส้นประสาททำได้รวดเร็วขึ้น มีการแผ่กิ่งก้านสาขา เพื่อเชื่อมต่อกันเป็นร่างแหของระบบประสาท สมองมีขนาดใหญ่ขึ้น และมีรอยหยักในสมองที่บ่งถึงความเฉลียวฉลาดมากขึ้น (หลังคลอดทารกมีขนาดสมองเท่ากับ 10%  ของน้ำหนักตัว คือประมาณ 350 กรัม) 

 

 พัฒนาการของร่างกายลูกน้อยในครรภ์ 

 

เดือนที่ (หลังจากปฏิสนธิ-4 สัปดาห์) 

ลูกน้อยในครรภ์อายุ 1 เดือน จะเริ่มสร้างอวัยวะต่างๆแล้ว ใน 2 สัปดาห์หลังปฏิสนธิ ทารกจะมีลักษณะคล้ายลูกอ๊อด ส่วนหัวโตมากกว่าตัวมาก ปลายสัปดาห์ที่ 3 หัวใจเริ่มเต้น สัญญาณบ่งบอกถึงการอุบัติขึ้นของอีกชีวิตหนึ่งบนโลกใบนี้   ลูกน้อยอยู่ในช่วงเริ่มสร้างอวัยวะสำคัญต่างๆ จึงเป็นช่วงที่ต้องเอาใจใส่ดูแลร่างกายอย่างดีที่สุด ทั้งเรื่องอาหารการกิน ยา และสารพิษต่าง ๆ

 

เดือนที่

หัวของลูกจะโตขึ้นอย่างรวดเร็ว สมองเติบโตและมีพัฒนาการมากกว่าอวัยวะอื่นๆ เริ่มมีการตอบสนองต่อการกระตุ้นต่างๆ   เซลล์ประสาทเริ่มเชื่อมโยงถึงกันเหมือนระบบสายไฟฟ้า เพื่อพัฒนาเป็นระบบประสาทที่ซับซ้อนขึ้น   อวัยวะสำคัญต่าง ๆ เริ่มสร้างจนเกือบครบ  หัวใจมีโครงสร้างสมบูรณ์ ช่วงนี้คุณแม่จึงควรได้รับสารอาหารต่าง ๆ อย่างเพียงพอ เพื่อให้ทันกับการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วของทารกในครรภ์

 

เดือนที่

อวัยวะสำคัญทั้งหมดของลูกสร้างครบสมบูรณ์หมดแล้ว มีซี่โครงและกระดูกที่เป็นเนื้อเยื่ออ่อน  และเริ่มมีแคลเซียมมาสะสมอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดเป็นกระดูกแข็ง  ..อวัยวะเพศเริ่มแยกได้ชัดเจนขึ้น  เริ่มตอบสนองต่อสิ่งเร้าภายนอก  ลูกสามารถดิ้นไปมาได้ตลอดเวลา แต่คุณแม่ยังไม่สามารถรู้สึกได้ 

 

เดือนที่ 4 

ลูกน้อยเติบโตอย่างสม่ำเสมอ ส่วนขายาวกว่าแขน โครงกระดูกหนาแน่นขึ้น มีแคลเซียมมาเกาะมากขึ้น เริ่มได้ยินเสียงของแม่และเสียงหัวใจของแม่ อวัยวะเพศภายนอกบ่งบอกเพศได้ชัดเจนขึ้น ในเดือนนี้จำนวนของเซลล์ประสาทจะเพิ่มขึ้นเท่ากับจำนวนของผู้ใหญ่ และมีการเชื่อมโยงระหว่างระบบประสาทและกล้ามเนื้อ ทำให้ลูกสามารถขยับแขนขาเคลื่อนไหวได้

 

เดือนที่ 5 

ลูกมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แต่อัตราการเจริญเติบโตจะช้าลงกว่าช่วงแรกๆ อวัยวะต่าง ๆ พัฒนาสมบูรณ์ขึ้น ระบบประสาทเริ่มสมบูรณ์จนสามารถควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อต่างๆได้ดี สามารถดิ้น ยืดตัว พลิกตัวได้ดีขึ้น สามารถรับรู้ถึงแรงที่มากระแทกหน้าท้องของแม่  สามารถเคลื่อนไหวหนีได้   สามารถรับรู้รส แยกรสหวานและขมได้ เริ่มมีฟันน้ำนมเกิดขึ้นภายในเหงือก รวมทั้งมีการสร้างระบบภูมิคุ้มกันอีกด้วย

 

เดือนที่ 6 

ลูกแข็งแรงมากขึ้น ตัวยาวขึ้น เริ่มได้สัดส่วนกับหัวมากขึ้น น้ำหนักเพิ่มขึ้น แขนขามีกล้ามเนื้อที่สมบูรณ์ ความยาวของขาได้ สัดส่วนกับลำตัว เซลล์สมองที่ทำหน้าที่จดจำเริ่มทำหน้าที่ ทำให้ลูกมีความสามารถในการจดจำและเรียนรู้ได้แล้ว ลูกจึงสามารถจดจำเสียงของพ่อและเสียงของแม่ ที่พูดกับเขาบ่อย ๆ ได้ 

 

เดือนที่ 7 

ระบบประสาทจะพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว สมองจะโตขึ้นจนเต็มภายในกระโหลกศรีษะและมีร่องบนเนื้อสมองเพื่อเพิ่มเนื้อที่ในการเก็บข้อมูลมากขึ้น เซลล์สมองและวงจรของระบบประสาทจะประสานกันอย่างสมบูรณ์และตื่นตัวเต็มที่ ลูกสื่อความต้องการและความรู้สึกตอบโต้แม่ได้ด้วยการดิ้นและแตะ ลูกจะเตะและดิ้นแรง หากมีเสียงดัง หรือ เวลาหิว และสามารถเคลื่อนไหวเมื่อได้ยินเสียงดนตรี

 

เดือนที่ 8 

สัดส่วนของร่างกายของลูกเท่ากับเด็กคลอดครบกำหนดแล้ว  เพียงแต่ยังมีขนาดตัวเล็กอยู่ โดยทารกมีความยาวประมาณ 40 เซนติเมตร มีน้ำหนักประมาณ 1,600-2,000 กรัม อวัยวะต่าง ๆ ของลูกสมบูรณ์เกือบหมด ยกเว้นปอดซึ่งยังพัฒนาไม่เต็มที่   เซลล์สมองและวงจรของระบบประสาทประสานกันอย่างสมบูรณ์ กล้ามเนื้อแข็งแรงมากขึ้น สามารถเคลื่อนไหวอยู่ภายในครรภ์ได้อย่างคล่องแคล่ว  ลูกเริ่มพัฒนาความสามารถในการมองเห็น รูม่านตาสามารถขยายและหรี่ได้  สามารถกระพริบตาได้  เพ่งมองสิ่งต่างๆ ในถุงน้ำคร่ำได้  สามารถปรับภาพให้คมชัดได้ในระยะใกล้ๆ  มีการฝึกกลืนและดูด .. ในกรณีที่เป็นเด็กผู้ชาย ลูกอัณฑะจะลงไปที่ถุงอัณฑะแล้ว 

 

เดือนที่ 9

ลูกในครรภ์โตขึ้นและมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นทำให้แม่มีความรู้สึกถ่วงในอุ้งเชิงกรานมากขึ้น  ยิ่งช่วงท้ายๆใกล้คลอด ลูกเริ่มกลับเอาหัวลงสู่อุ้งเชิงกราน ก็ยิ่งทำให้มีอาการปวดถ่วงมากขึ้นอีก   เดือนสุดท้ายนี้ลูกก็จะมีไขมันใต้ผิวหนังสะสมมากขึ้น จนอ้วนเต็มพื้นที่ในมดลูก เวลาดิ้นจึงรู้สึกเหมือนลูกโก่งตัว บางทีทำให้รู้สึกเจ็บได้  ปอดเกือบสมบูรณ์เต็มที่ มีการเคลื่อนไหวของทรวงอก เพื่อเป็นการเตรียมพร้อมสำหรับการหายใจ  ..ในระหว่างที่อยู่ในครรภ์นี้ ระบบภูมิต้านทานโรคของลูกยังไม่สามารถทำงานได้ ต้องอาศัยภูมิต้านทานจากแม่ผ่านทางรกไปก่อน แต่หลังคลอดภูมิต้านทานจากแม่ก็จะลดน้อยลงเรื่อยๆ จึงจำเป็นต้องฉีดวัคซีน เพื่อสร้างภูมิต้านทานสำหรับโรคบางอย่างทันทีที่เด็กเกิด 

 

ไตรมาสสุดท้าย 

ส่วนใหญ่ ในระยะ 7-9 เดือนในครรภ์เป็นระยะที่เซลล์สมองทารกขยายขนาดโตขึ้น  มีการแผ่ขยายสร้างโยงใยของระบบประสาทมากขึ้น สมองมีหยักตัวเป็นร่องเพิ่มขึ้น เพื่อเป็นแหล่งเก็บสะสมข้อมูล ยิ่งเซลล์สมองมีขนาดใหญ่ มีเส้นใยมากมีการเชื่อมโยงประสานของเส้นใยมาก  มีร่องสมองมาก ก็ยิ่งจะทำให้มีความจำ มีการเรียนรู้ และรับรู้ข้อมูลต่าง ๆ เป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

 

------------------------------------------------------------------

 

บทบาทคุณพ่อต่อคุณแม่และลูกน้อย

 

เตรียมตัวและใจเป็นคุณพ่อ

การเตรียมตัวเป็นคุณพ่อนั้น เป็นสิ่งสำคัญไม่ยิ่งหย่อนกว่าการเป็นแม่ ว่าที่คุณพ่อจึงต้องเตรียมตัวตั้งแต่แม่ตั้งครรภ์อยู่ การปล่อยให้ถึงเวลาใกล้คลอดแล้วค่อยมาเตรียมตัวอาจสายเกินไป ยิ่งยุคนี้ คนส่วนใหญ่อยู่กันแบบครอบครัวเดี่ยว การหาคนมาเลี้ยงลูกจะยิ่งยาก คุณพ่อจึงต้องช่วยคุณแม่ดูแลลูกน้อยด้วย โดยเริ่มจากการศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ ว่าแม่ตั้งครรภ์จะต้องเผชิญกับอาการอะไรบ้าง คุณพ่อจะได้เข้าใจให้ความช่วยเหลือ และให้กำลังใจคุณแม่ได้ เตรียมตัวเป็นแบบอย่างที่ดีให้ลูก โดยใช้ลูกเป็นกำลังใจสำคัญในการมุ่งมั่นทำในสิ่งที่จะทำให้ครอบครัวมีความสุข 


10 เรื่องที่แม่ตั้งครรภ์ต้องการจากพ่อ 

1.   ต้องการให้คุณพ่อพาไปฝากครรภ์ หรือไปพบแพทย์ทุกครั้ง เพราะไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งแค่ไหน แต่ช่วงตั้งครรภ์จิตใจคุณแม่จะเปลี่ยนแปลงง่าย และต้องการคนสำคัญมาช่วยดูแล มาช่วยกันซักถามแพทย์ ประหนึ่งว่า แม่และลูกในครรภ์เป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับชีวิตเขา ช่วงนี้เป็นช่วงเวลาที่คุณพ่อจะแสดงความรัก ความห่วงใยต่อกันได้ดีที่สุด 

2.   แสดงออกให้รู้ถึงความรักความห่วงใย เช่น ถามไถ่ เป็นอย่างไรบ้างวันนี้   เดินช้าๆ นะครับ  อยากได้อะไรก็บอกนะฮะฯลฯ   หรือเตือนให้กินยาตามที่แพทย์สั่งให้ หรือถือโอกาสนี้รับหน้าที่จัดการเรื่องการกินให้คุณแม่ ถามไถ่เธอว่าอยากกินอะไร แล้วก็ช่วยจัดมื้ออาหารคุณภาพที่เหมาะกับแม่ตั้งครรภ์ให้แก่เธอด้วย เธอจะมีความสุขและยินดีรับประทานอาหารนั้นแม้จะมีอาหารบางอย่างไม่ชอบก็ตาม 

3. ช่วยนวดคลายปวดเมื่อย   ด้วยโครงสร้างร่างกายที่เปลี่ยนแปลงไป และท้องที่โตขึ้นเรื่อยๆ น้ำหนักถ่วงไปทางด้านหน้ามากขึ้น  ทำให้แม่ตั้งครรภ์เกิดอาการปวดหลัง ปวดไหล่ ปวดเอว ฯลฯ  ถ้าว่าที่คุณพ่อช่วยบีบนวดให้บ้างช่วงก่อนนอน ถามไถ่คุณแม่ว่าปวดเมื่อยที่ไหน จะช่วยผ่อนคลายให้คุณแม่ได้อย่างดีเยี่ยม หายเมื่อยทั้งร่างกาย และจิตใจก็แจ่มใส ซึ่งส่งผลต่ออารมณ์ลูกน้อยในท้องด้วย 

4. ช่วยทำงานบ้าน      ผู้ชายส่วนใหญ่อาจไม่ชอบการทำงานบ้าน  แต่ไม่ว่าจะเป็นช่วงตั้งครรภ์หรือไม่ ก็ควรช่วยภรรยาทำงานบ้านบ้าง แต่ในช่วงที่คุณแม่ตั้งครรภ์ ควรช่วยให้มากขึ้นโดยเฉพาะส่วนที่ต้องใช้แรงงาน เช่น ยกข้าวของ ให้เป็นหน้าที่ของว่าที่คุณพ่อ  และจะทำให้คุณพ่อรู้ว่าการทำงานบ้านนั้น เป็นงานหนักอย่างหนึ่ง จึงไม่ควรปล่อยให้เป็นหน้าที่ของคุณแม่ตามลำพัง 

5. เป็นเพื่อนดูแลยามค่ำคืน   ในตอนกลางคืน คุณแม่อาจเผชิญกับอาการอึดอัด แน่นท้อง ทำให้ไม่สบายตัว นอนไม่หลับ หรือต้องตื่นขึ้นมาเข้าห้องน้ำบ่อยๆ การตื่นขึ้นมากลางคืนตามลำพัง อาจสร้างความรู้สึกอ้างว้าง คุณแม่ได้ แต่หากคุณพ่อจะได้ตื่นขึ้นมาเป็นเพื่อน ถามไถ่อาการ คอยช่วยเหลือ จะทำให้คุณแม่รู้สึกดีขึ้น 

6. ช่วยเลือกซื้อข้าวของเครื่องใช้  โดยเฉพาะของใช้ลูก การมีคุณพ่อคอยช่วยเลือก คอยแสดงความคิดเห็นกับการซื้อของให้ลูกนั้น สร้างความสุขใจให้คนเป็นแม่ได้เป็นอย่างดี 

7.  สัมผัสท้อง พูดคุยกับลูกในท้อง    การมีคนที่รักมาสัมผัสลูบท้อง พูดคุยกับลูกในท้องอย่างสม่ำเสมอ เป็นความสุขของคนเป็นแม่ และส่งผลดีต่อพัฒนาการของลูกในครรภ์ด้วย 

8. เป็นกำลังใจยามคลอด    เมื่อถึงเวลาเจ็บครรภ์คลอด โดยเฉพาะคุณแม่ที่คลอดครั้งแรก มักจะเกิดความรู้สึกกลัว วิตกกังวล   ถ้าคลอดในโรงพยาบาลที่อนุญาตให้คุณพ่อเข้าไปในห้องคลอดได้ ก็ขอแนะนำให้คุณพ่อเข้าไปอยู่ในห้องคลอดด้วย เพื่อเป็นกำลังใจให้คุณแม่ การได้รับกำลังใจจากคนเป็นสามีอยู่เสมอ จะช่วยให้คุณแม่มีภูมิต้านทานกับภาวะซึมเศร้าหลังคลอด ซึ่งอาจจะไม่เกิดขึ้นเลย หรือเกิดเพียงช่วงสั้นๆ แล้วหายไป เพราะคุณแม่มีพื้นฐานทางจิตใจที่ดีตลอดการตั้งครรภ์ คือ ไม่เครียด ได้รับความอบอุ่นจากคุณพ่อ มีความสุขและความมั่นคงทางจิตใจ 

9.  มารับแม่-ลูกกลับบ้าน  หลังจากผ่านช่วงเวลาอันยิ่งใหญ่ คือให้กำเนิดลูกน้อยออกมาลืมตาดูโลก คุณพ่อคุณแม่ก็ได้ชื่นชมลูกน้อยที่เฝ้ารอมา 9 เดือน ความเหน็ดเหนื่อยของคุณแม่หายไปเกือบหมด และเมื่อถึงวันกลับบ้าน คุณแม่ทุกคนต่างก็ต้องการให้คุณพ่อมารับกลับบ้าน พาลูก พาคุณแม่ที่เพิ่งคลอดกลับไปอวดญาติพี่น้อง เพื่อนบ้านที่คอยต้อนรับอยู่ 

10. ช่วยเลี้ยงลูก   การเลี้ยงลูกแรกเกิด ถือเป็นภาระที่หนักเอาการ ช่วงนี้คุณพ่อควรแบ่งเบาภาระของคุณแม่ ช่วยชงนม ล้างขวดนม หรือช่วยซักผ้าอ้อม ฯลฯ จะช่วยให้คุณแม่เหนื่อยน้อยลง และยังทำให้บรรยากาศในครอบครัวอบอุ่นและผูกพันกันมากขึ้น เพื่อให้รู้วิธีการเลี้ยงดูลูก คุณพ่อควรเข้าอบรมความรู้เรื่องการดูแลลูกหลังคลอดด้วย จะได้ช่วยเลี้ยงดูลูกน้อยได้อย่างถูกวิธี เพราะถ้าคุณพ่อได้มีช่วยดูแลคุณแม่ขณะตั้งครรภ์และดูแลลูกน้อย จะก่อให้เกิดความรักและความผูกพันระหว่างพ่อแม่และลูกน้อยไปอีกยาวนาน  เพราะฉะนั้นได้เวลาเตรียมตัวเป็นคุณพ่อคนใหม่กันแล้ว… 

 

* Enfa Smart System    เพื่อสร้างเสริมมหัศจรรย์แห่งพัฒนาการลูกน้อยในครรภ์ 

สมัยก่อนเราเคยเชื่อว่า ความฉลาดของเด็ก ถูกกำหนดด้วยพันธุกรรมของพ่อแม่มาตั้งแต่เริ่มต้น แต่ปัจจุบันนี้ เราได้ค้นพบว่า แท้จริงแล้วสิ่งแวดล้อมในการเลี้ยงดู ประสบการณ์ที่เด็กได้รับเริ่มตั้งแต่ในครรภ์ กระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้ และส่งผลต่อพัฒนาการของลูกน้อยในหลายๆ ด้านเมื่อโตขึ้น  และพบว่ามีปัจจัยสำคัญ 4 ด้านที่ส่งผลต่อการพัฒนาศักยภาพสมองของเด็กตั้งแต่อยู่ในท้อง  นั่นก็คือ โภชนาการ ดนตรี การเล่น และภาษา  หรือที่เราเรียกว่า รหัสอัจฉริยะ  Enfa Smart System  ซึ่งคือแนวคิดเสริมสร้างศักยภาพสมองอย่างเต็มระบบ  และเป็นสิ่งที่พ่อแม่สามารถนำไปส่งเสริมลูกในครรภ์ได้  เพื่อให้พัฒนาการของลูกน้อยรุดหน้าไปได้อย่างดี   ระบบที่ว่านี้ประกอบด้วย.... 

Smart Nutrition ...     คุณค่าอาหาร เพื่อการพัฒนาสมอง

Smart Symphonies ...เสียงดนตรี สื่อดีๆ เพื่อเพิ่มไอคิว

Smart Play…             เล่นดี สมองดี มีศักยภาพ

Smart Language…    พูดคุยสื่อภาษา พัฒนาการเรียนรู้

Smart Nutrition…คุณค่าอาหาร เพื่อการพัฒนาสมอง

 

ช่วงเวลาตั้งครรภ์นับเป็นโอกาสทองในการพัฒนาสมองลูกน้อยได้ดีที่สุด  เพราะเซลล์สมองของลูกน้อยจะมีการแบ่งตัวและเพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็วเฉพาะช่วงที่อยู่ในครรภ์เท่านั้น   ในช่วงนี้ หากคุณแม่รับประทานสารอาหารที่มีคุณค่าต่อการพัฒนาสมองในปริมาณที่เพียงพอ  สารอาหารเหล่านั้นจะถูกส่งผ่านไปหล่อเลี้ยงเซลล์สมอง ของลูกน้อยให้แตกกิ่งก้านสาขาออกไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงส่งผลให้พัฒนาการด้านต่างๆ ของลูกน้อยเจริญรุดหน้าได้อย่างเต็มที่

 

ด้วยเหตุนี้ คุณแม่ตั้งครรภ์จึงควรทุ่มเทและใส่ใจเป็นพิเศษในการเลือกรับประทานอาหารที่มีคุณค่าต่อการพัฒนาสมองของลูกน้อย  เพื่อเสริมสร้างมหัศจรรย์แห่งพัฒนาการของลูกในครรภ์  

 

* สารอาหารที่ช่วยพัฒนาสมองลูกน้อยในครรภ์ ได้แก่ ... 

DHA   เป็นกรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัว มีบทบาทสำคัญต่อพัฒนาการและการทำงานของสมองและจอประสาทตาของลูกในครรภ์ เนื่องจากสมองมีไขมันเป็นส่วนประกอบ 50-60% และมี DHA ถึง 15-20% โดยจะเริ่มสะสม DHA ตั้งแต่ทารกยังอยู่ในครรภ์ระยะ 3 เดือนสุดท้าย จนถึงอายุ 18 เดือนหลังคลอด ซึ่งมีการสะสม DHA ที่จอประสาทตาสูงสุดในช่วงสัปดาห์ที่ 36-40    ทารกในครรภ์และช่วงแรกเกิดมีความสามารถในการนำกรดไขมันโอเมก้า 3 ( เป็นสารตั้งต้นของ  DHA) ไปใช้ได้อย่างจำกัด จึงจำเป็นต้องได้รับจากคุณแม่ผ่านทางรกและจากนมแม่แทน แม่จึงต้องเลือกอาหารที่มีกรดไขมันโอเมก้า3 อย่างเพียงพอ เพื่อลูกน้อยโดยเฉพาะในช่วงตั้งครรภ์และ 3 เดือนแรกของการให้นมทารก 

ดังนั้นการที่คุณแม่รับประทานอาหารที่มี DHA และกรดไขมันโอเมก้า3 อย่างเพียงพอ โดยเฉพาะช่วง 3 เดือนสุดท้ายของการตั้งครรภ์ (เดือนที่ 7-9) จะทำให้สมองของลูกน้อยมีการเจริญเติบโตที่ดี เพราะได้รับ DHA เพียงพอต่อการสร้างเซลล์สมองนับล้านๆ เซลล์  

DHA พบมากในปลาทะเล สาหร่ายทะเลบางชนิด และน้ำมันสกัดจากผลิตภัณฑ์ทางทะเล

โคลีน    เป็นองค์ประกอบสำคัญในกระบวนการต่างๆ ของร่างกายแม่และทารก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการพัฒนาสมองระยะแรกของทารก ยิ่งไปกว่านั้น โคลีนเป็นส่วนประกอบสำคัญของเยื่อหุ้มเซลล์และเนื้อเยื่อต่างๆ รวมถึงสารสื่อประสาทที่ใช้ในการติดต่อสื่อสารระหว่างเซลล์ประสาทต่างๆ ซึ่งมีส่วนช่วยในการเสริมสร้างการเรียนรู้และความจำ สถาบันทางการแพทย์ของสหรัฐอเมริกา (US Institute of Medicine) จึงกำหนดปริมาณโคลีนที่เพียงพอสำหรับทารก เด็ก ผู้ใหญ่ และหญิงตั้งครรภ์ หรือให้นมบุตร นั่นคือ หญิงตั้งครรภ์ 450 มิลลิกรัม/วัน หญิงให้นมบุตร 550 มิลลิกรัม/วัน   โคลีน พบมากในไข่แดง นมถั่วเหลือง ดอกกะหล่ำ และธัญพืชต่างๆ 

แคลเซียม   ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันของทารกให้แข็งแรง ช่วยให้การส่งสัญญาณของระบบประสาททำงานได้ถูกต้อง คุณแม่ควรได้รับแคลเซียมอย่างเพียงพอ เพื่อให้ลูกน้อยนำไปใช้ในการสร้างกระดูกและฟัน   แคลเซียมพบมากใน นม กุ้งแห้ง ปลาตัวเล็กตัวน้อย เต้าหู้ ถั่วเขียว ถั่วเหลือง ผักโขม ยอดแค มะเขือพวง คื่นฉ่าย ใบชะพลู 

โฟเลต   ช่วยพัฒนาเซลล์สมองและระบบประสาทของลูกให้สมบูรณ์  ป้องกันความผิดปกติของสมองและไขสันหลัง   คุณแม่ควรได้รับโฟเลตอย่างเพียงพอตั้งแต่ก่อนการตั้งครรภ์ และ เมื่อเริ่มตั้งครรภ์โดยเฉพาะใน 3 เดือนแรก เพราะการขาดโฟเลตอาจจะมีผลต่อการสร้างระบบประสาทของทารกผิดปกติหรือทำให้เกิดความพิการได้   โฟเลต พบมากในผักใบเขียว ผลไม้ เช่น ถั่วลันเตา คะน้า กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก ปวยเล้ง หน่อไม้ฝรั่ง บล็อกโคลี่ กล้วยน้ำว้า น้ำส้มคั้น รวมถึงข้าวซ้อมมือ ตับหมู ตับไก่ ขนมปังโฮลวีต 

ธาตุเหล็ก เป็นส่วนประกอบสำคัญของฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดง มีบทบาทในการนำพาออกซิเจนไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกาย ช่วยพัฒนาสติปัญญาและการเรียนรู้  ธาตุเหล็ก พบมากในเนื้อสัตว์เนื้อแดง  ใบขี้เหล็ก ใบตำลึง ถั่วเขียว ถั่วเหลือง 

โปรตีน มีหน้าที่สำคัญต่อโครงสร้างและกิจกรรมภายในเซลล์ของสิ่งมีชีวิตทุกชีวิต เป็นแหล่งสำรองพลังงาน หรือเรียกง่ายๆ ว่าร่างกายคนเราไม่สามารถขาดโปรตีนได้เลย ซึ่งโปรตีนในแต่ละส่วนทำหน้าที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะคุณแม่ตั้งครรภ์ที่ต้องการโปรตีนเพื่อนำไปสร้างเนื้อเยื่อให้ลูกน้อยในครรภ์เจริญเติบโตอย่าสมบูรณ์  โปรตีนพบมากในเนื้อสัตว์ต่างๆ นม ไข่ ถั่ว 

วิตามินต่างๆ     เสริมสร้างร่างกายคุณแม่ให้แข็งแรง ปรับสมดุลฮอร์โมนในร่างกายให้ทำงานประสานกันได้อย่างดี และยังมีส่วนช่วยบำรุงประสาท และเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของลูกน้อยในครรภ์ให้แข็งแรงอีกด้วย   วิตามินพบมากในนมสด ไข่แดง ผักใบเขียว ผลไม้สีเหลือง เครื่องในสัตว์ ผลไม้รสเปรี้ยว มะเขือเทศ ฝรั่ง ปลา ถั่ว 

ปัจจุบันนี้ มีผลิตภัณฑ์นมสำหรับมารดามีครรภ์และให้นมบุตร ที่เสริมสารอาหารดังกล่าวในปริมาณที่เพียงพอ ซึ่งช่วยให้คุณแม่ได้รับสารอาหารอันมีคุณค่าครบถ้วนได้อย่างสะดวก ปลอดภัย เพื่อมหัศจรรย์แห่งพัฒนาการของลูกรักตั้งแต่ในครรภ์เรื่อยไปจนถึงทุกช่วงวัย 

 

โภชนาการสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์  

Smart Nutrition   เพื่อสร้างเสริมมหัศจรรย์แห่งพัฒนาการลูกน้อยในครรภ์

  

อายุครรภ์ 

อาหารและสารอาหารที่เหมาะสม

 

เดือนที่ 1 

* ดื่มน้ำผลไม้สด หรือนมวันละ 1 แก้ว ยกเว้นในกรณีที่มีอาการแพ้ท้องควรงดนมไว้ก่อน 

* รับประทานอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการให้ครบทั้ง 5 หมู่ โดยเฉพาะโฟเลต และอาหารประเภทปลาทะเล ที่มี  DHA เช่น ปลาทูน่า หรือน้ำมันสกัดจากผลิตภัณฑ์ทางทะเล ที่จะส่งผลดีต่อระบบการทำงานของเซลล์สมองลูกน้อยในครรภ์

 

เดือนที่ 2 

*  คุณแม่ที่มีอาการแพ้ท้อง  คลื่นไส้ และอาเจียนบ่อย  อาจทำให้สูญเสียน้ำ และสารอาหารบางอย่าง  จึงควรรับประทานอาหารอ่อนๆ ที่ย่อยง่าย ไม่คาว ไม่มัน กลิ่นน้อยๆ มีโปรตีนสูง เช่น ข้าวต้ม หรือโจ๊ก   

* ควรรับประทานผลไม้สด เป็นอาหารว่าง

 

เดือนที่ 3 

*  คุณแม่บางท่านอาจเริ่มมีอาการท้องผูก จึงควรดื่มน้ำให้มาก หรือรับประทานผักสด ผลไม้มากๆ เพื่อช่วยเพิ่มเส้นใย ที่จะช่วยให้ถ่ายง่ายขึ้น

 

เดือนที่ 4 

* ทารกในครรภ์เริ่มมีการสร้างกระดูกและฟัน  คุณแม่ตั้งครรภ์ควรรับประทานอาหารที่มีแคลเซี่ยมสูง ควรดื่มนมอย่างน้อย 2 แก้วต่อวัน ควรเน้นอาหารประเภทโปรตีน และธาตุเหล็ก เพิ่มขึ้น  ซึ่งสารอาหารเหล่านี้จะมีอยู่ในตับ ไข่แดง นม ใบตำลึง ใบขี้เหล็ก ฯลฯ

 

เดือนที่ 5 

*  เพราะสมองและระบบประสาทของลูกน้อยยังเจริญเติบโต  คุณแม่ควรรับประทานสารอาหารที่จำเป็นต่อการพัฒนาสมองของลูกน้อย  ได้แก่ DHA โฟเลต สังกะสี และวิตามินบี 12  แหล่งอาหารที่อุดมด้วยสารอาหารพัฒนาสมอง เช่น นม ไข่ เนื้อปลา อาหารทะเล เครื่องในสัตว์ ใบเขียว เนื้อสัตว์ เมล็ดทานตะวัน ฯลฯ

 

 

ความคิดเห็น