เตรียมพร้อมสมองเพื่อการเรียนรู้ในอนาคต
ในระหว่างที่ตั้งครรภ์ ทุกวันลูกในท้องคุณแม่ก็โตขึ้นๆ โครงสร้างร่างกายมีพัฒนาการทุกวัน ที่มีอีกสิ่งหนึ่งที่เราอาจจะละเลยนึกไม่ถึง นั่นก็คือการพัฒนาการทางสมอง ซึ่งทุกคนทั้งคุณพ่อคุณแม่ต้องตระหนักเข้าใจ ให้เวลาในการพัฒนาสมองลูกในครรภ์บ้าง
สมัยก่อนเวลาตั้งครรภ์ ส่วนมากคุณแม่ก็มักจะลุ้นแค่ขอให้ลูกคลอดออกมาสมบูรณ์และแข็งแรงก็พอใจแล้ว ส่วนจะฉลาดหรือไม่ฉลาดค่อยมาลุ้นเอาตอนหลังคลอดซึ่งอาจจะต้องรอจนลูกโตพอสมควรแล้วจึงคิดว่าจะทำอย่างไรดีลูกถึงจะฉลาด บางคนก็ไม่คิดอะไรปล่อยไปตามธรรมชาติลูกจะฉลาดหรือไม่ฉลาดถือว่าเป็นเรื่องบุญกรรมที่มีมาแต่ชาติปางก่อน แต่ในปัจจุบันด้วยความรู้ทางการแพทย์ที่มากขึ้น ทำให้เราสามารถทราบถึงพัฒนาการของสมองลูกน้อยได้ตั้งแต่อยู่ครรภ์ว่ามีพัฒนาการอย่างไร และสามารถจะช่วยกระตุ้นพัฒนาการตั้งแต่อยู่ในครรภ์ได้อย่างไรบ้าง คุณแม่หลายคนจึงใจร้อนอยากจะช่วยกระตุ้นให้สมองของลูกมีการพัฒนาที่ดีโดยเริ่มตั้งแต่ลูกยังอยู่ในครรภ์เลย โดยหวังว่าเมื่อคลอดออกมา ลูกจะได้เป็นเด็กฉลาด ไหวพริบดี หรืออารมณ์ดี ไอ้ที่จะมารอพัฒนาลูกหลังคลอดก็กลัวว่าจะไม่ทันการณ์หรือช้าเกินไป ยิ่งในปัจจุบันมีข้อมูลจากสื่อต่างๆมากมายแนะนำให้คุณแม่กระตุ้นพัฒนาการสมองของลูกตั้งแต่อยู่ในครรภ์กันมากมาย จนไม่รู้จะทำอะไรก่อนดี หรือบางทีที่ได้รับคำแนะนำมาก็ทำไม่ถูกก็มี หลายคนเลยเครียด และวิตกกังวลกลัวลูกจะฉลาดสู้ลูกคนอื่นไม่ได้ บางคนกลัวตกยุค ไม่ทันสมัยก็มี ถ้าไม่ได้กระตุ้นพัฒนาการลูกในท้องเหมือนชาวบ้านเขา ผมอยากเรียนให้ทราบว่าการกระตุ้นพัฒนาการสมองของลูกน้อยตั้งแต่อยู่ในครรภ์ด้วยวิธีการต่างๆที่มีการกล่าวอ้างกัน ยังไม่มีข้อสรุปที่แน่ชัดเลยว่ามีประโยชน์จริงหรือไม่และวิธีการใดเป็นวิธีการที่ดีที่สุด เพียงแต่มีข้อสังเกตว่าทารกจำนวนไม่น้อยที่ได้รับการกระตุ้นพัฒนาการตั้งแต่อยู่ในครรภ์มีสติปัญญาดี เลี้ยงง่าย อารมณ์ดี ดังนั้นถ้าคุณแม่อยากจะกระตุ้นพัฒนาการสมองของลูกในครรภ์จะด้วยวิธีการใดก็ตาม ถ้าคุณแม่ทำแล้วรู้สึกว่าตัวเองสบายดีหรือมีความสุขและไม่น่าจะเป็นอันตรายอะไรก็ทำไปเถิดครับ แต่ถ้าทำแล้วตัวเองเครียดหรือกังวลก็เลิกเถอะครับ
จะกระตุ้นพัฒนาการสมองเมื่อไรดี ?
นับตั้งแต่ไข่จากแม่และตัวอสุจิจากพ่อมาผสมกัน เกิดเป็นหน่วยชีวิตเล็กๆที่เรียกว่า เซลล์ จากเซลล์เพียงเซลล์เดียวก็จะมีการแบ่งตัวอย่างรวดเร็วและพัฒนาต่อเนื่องไปเรื่อยเกิดเป็นเซลล์ที่สร้างระบบอวัยวะต่างมากมายจนเกิดเป็นลูกน้อยอยู่ในท้องของคุณแม่ เซลล์สมองก็เช่นเดียวกับเซลล์ของระบบอวัยวะอื่น กล่าวคือจะเริ่มสร้างขึ้นตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์เช่นเดียวกันและจะมีการเพิ่มทั้งจำนวนและขนาด เกิดเป็นเนื้อสมองและเส้นใยประสาทที่เชื่อมโยงกับสมองและเชื่อมโยงกันเองเกิดเป็นข่ายใยเส้นประสาทอย่างมากและรวดเร็วเพื่อทำหน้าที่ต่างๆ ตั้งแต่ลูกน้อยมีอายุประมาณ 8 สัปดาห์ เรื่อยไปจนถึงคลอดออกมาแล้วมีอายุ 2 ขวบ หลังจากนั้นพัฒนาการของสมองก็จะลดลง ดังนั้นช่วงทองที่ควรจะกระตุ้นพัฒนาลูกน้อยจึงควรเป็นช่วงเวลาดังกล่าว
จะกระตุ้นลูกน้อยให้สมองดีได้อย่างไร?
การที่คนเราจะมีสมองดีหรือมีความเฉลียวฉลาดมีปัจจัยที่มาเกี่ยวข้องหลายประการ ปัจจัยที่สำคัญมี 3 ประการ คือ กรรมพันธุ์ อาหารการกินของแม่ขณะตั้งครรภ์และของลูกภายหลังคลอด และประการสุดท้ายคือสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบตัวเด็กทั้งขณะที่อยู่ในท้องและภายหลังคลอด ปัจจัยทางกรรมพันธุ์เป็นเรื่องที่ติดตัวมาตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์ พ่อแม่ที่เฉลียวฉลาดก็จะถ่ายทอดลักษณะที่ดีนี้มาให้ลูกได้ เหมือนกับโรงงานไหนที่ผลิตสินค้าที่คุณภาพดี ก็จะผลิตแต่สินค้าคุณภาพดี แต่บางโรงงานที่มีความสามารถในการผลิตสินค้าได้แค่เพียงสินค้าคุณภาพต่ำ ผลิตอย่างไรสินค้าก็คุณภาพดียาก คุณแม่คงจะเห็นได้ว่าเด็กบางคนพ่อแม่ไม่ได้ให้การดูแลอะไรเป็นพิเศษทั้งขณะตั้งครรภ์หรือหลังคลอดแล้ว ก็ยังฉลาดได้เลย อ่านมาอ่านนี้แล้ว พ่อแม่ที่คิดว่าตัวเองสมองไม่ค่อยดีก็อย่าเพิ่งสิ้นหวังเสียทีเดียวครับ เพราะ ความเฉลียวฉลาดของคนเรายังขึ้นกับ อาหารการกินและสิ่งแวดล้อมดังกล่าวแล้วอีกด้วย ซึ่งปัจจัยเหล่านี้นำมาซึ่งแนวคิดในการกระตุ้นพัฒนาการสมองของลูกน้อยตั้งแต่อยู่ในครรภ์นั่นเองครับ การกระตุ้นพัฒนาการของสมองลูกน้อยตั้งแต่อยู่ในครรภ์สามารถทำได้หลายวิธี ผมจะยกตัวอย่างวิธีที่ทำได้ง่ายๆ ไม่สิ้นเปลือง และไม่เป็นอันตรายให้คุณแม่ลองนำไปปฏิบัติดูนะครับ
การปรับอารมณ์ให้ดีอยู่เสมอ
คนอารมณ์ดีย่อมมีความสุขกว่าคนอารมณ์ไม่ดีอยู่แล้ว จากการศึกษาทางการแพทย์พบว่าคุณแม่ที่อารมณ์ดีอยู่เสมอจะทำให้ร่างกายมีการหลั่งสารแห่งความสุขที่เรียกว่า เอนดอร์ฟิน (endorphin) ออกมาผ่านไปทางสายสะดือไปยังลูกทำให้ลูกมีพัฒนาการที่ดีทั้งสมอง (IQ) และอารมณ์ (EQ) ในทางตรงกันข้ามคุณแม่ที่มีอารมณ์หงุดหงิด โมโหง่าย ร่างกายจะหลั่งสารแห่งความเครียดที่เรียกว่า อะดรีนาลิน (adrenalin) ออกมาผ่านไปยังลูก ผลดังกล่าวจะทำให้ลูกคลอดออกมาเด็กงอแง เลี้ยงยาก พัฒนาการช้า ฟังดูแล้วจะว่าทำได้ง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ยาก เพราะบางคนไม่ใช่คนที่จะปล่อยวางอะไรได้ง่ายๆ หรือเป็นคนเครียดตลอดเวลา ถ้าต้องมาปรับอารมณ์ให้ดี อาจจะเครียดจากการปรับอารมณ์หรือเปล่าผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน
จากประสบการณ์เลยนะครับข้างบ้านข้างซ้าย พ่อแม่อารมณ์ดี เพื่อนฝูงมาเต็มบ้าน นั่งกินข้าวนั่งหัวเราะกันทั้งวัน เดี๋ยวไปเที่ยว เดี๋ยวไปดูหนัง ใช้ชีวิตแฮปปี้ ... ลูกคลอดออกมา อารมณ์ดีมากๆ เอานิ้วแหย่สะดือนิดนึงก็หัวเราะไม่หยุด หัวเราะกันจนเหนื่อย แต่ข้างบ้านข้างขวา ดูเป็นคนเครียดจริงจังกับชีวิตมาก ทะเลาะกันแทบทุกอาทิตย์ ลูกคลอดออกมาก็ขี้ร้อง ร้องเช้าสายบ่ายค่ำ พ่อแม่ก็ยิ่งเลี้ยงลูกเครียดไปกันใหญ่
ถ้าจะให้อธิบายเป็นในทางวิทยาศาสตร์หน่อย ลูกจะเรียนรู้พฤติกรรมจากสิ่งแวดล้อมที่แม่อยู่ ถ้าแม่อยู่ในสิ่งแวดล้อมอุดมสมบูรณ์ มีความสุข ระหว่างตั้งครรภ์ลูกก็อยู่ในกระแสเลือดที่มีเอ็นดอรฟินมากมาย ลูกก็อารมณ์ดีมีความสุข แต่หากแม่อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่อดอยาก มีสงคราม มีความเครียดสูง ลูกก็จะอยู่ใน Fighting Environment อยู่ในท้องแม่ที่มีอดรีนาลินสูง พอคลอดแล้วก็ต้องการความรู้สึกปลอดภัยสูง ต้องอุ้มตลอด วางก็ร้อง หิวก็ร้อง .. อย่างนี้พ่อแม่เหนื่อยสาหัส
คุณแม่ควรฝึกตัวเองให้มีความสุข ความสุขสร้างขึ้นมาเองได้เชื่อมั๊ย...ลองทำดู
หาที่สงบๆ พักกายพักใจให้สบาย นึกถึงดอกไม้สวยๆมองแล้วมีความสุข .... หลับตาอ้าแขนหงายมือขึ้นสู่ท้องฟ้า ทำตัวให้เหมือนดอกไม้ที่กำลังบาน นึกถึงความสุขสุดๆที่ผ่านมา นึกถึงตอนแฟนบอกรักครั้งแรก นึกถึงความสุขตอนเด็กๆ เอาความสุขทั้งหมดมาใส่ไว้ในหัวใจ จนรู้สึกว่ามันพองโตด้วยความสุข....รู้สึกหรือยัง ลองดูเรื่อยๆนะ
ฟังเพลง
ระบบประสาทการรับฟังของลูกน้อยในครรภ์จะเริ่มทำงานตั้งแต่อายุครรภ์ประมาณ 18 สัปดาห์ การใช้เสียงกระตุ้นจะทำให้เครือข่ายใยประสาทที่ทำงานเกี่ยวกับการได้ยินของลูกมีพัฒนาการดีขึ้น เสียงที่ดีที่ควรใช้ในการกระตุ้นก็คือ เสียงเพลง โดยเฉพาะเพลงที่มีความไพเราะและคุณแม่ชอบฟัง ไม่จำเป็นต้องเป็นเพลงคลาสสิคอะไรที่ฟังไม่รู้เรื่องหรอกครับ เพราะบางเพลงถ้าฟังไม่ดีอาจจะประสาทรับประทานก็ได้ครับ เวลาคุณแม่ฟังเพลง ควรจะเปิดเสียงเพลงให้อยู่ห่างจากหน้าท้องประมาณ 1 ฟุต และเปิดเสียงดังพอประมาณเพื่อลูกในครรภ์จะได้ฟังเสียงเพลงไปด้วย การที่ลูกในครรภ์ได้รับฟังเสียงเพลงคลื่นเสียงจะไปกระตุ้นให้ระบบประสาทที่เกี่ยวข้องกับการได้ยินมีการพัฒนาระบบการทำงานได้เร็วขึ้น ทำให้เมื่อลูกคลอดออกมา มีความสามารถในการจัดลำดับความคิดในสมอง รู้สึกผ่อนคลาย และจดจำสิ่งต่างๆได้ดี
การฟังเพลงก็ต้องการให้แม่มีความสุขด้วย ดังนั้นคุณแม่ก็ควรเลือกเพลงที่แม่ชอบ ฟังแล้วมีความสุข ฟังแล้วอินไปกับเพลง ระหว่างที่ลูกได้ยินเสียงเพลง ลูกก็จะได้ฮอร์โมนเอ็นดอรฟินจากแม่ไปด้วย ดังนั้นถ้าฟังเพลงโมซาร์ทไม่รู้เรื่อง ฟังแล้วหงุดหงิดก็ไม่ต้องฟัง แทนที่ลูกจะมีความสุข ลูกอาจจะรับรู้ความหงุดหงิดของแม่ไปแทน ยิ่งมีผลเสียใหญ่
พูดคุยกับลูก
การพูดคุยกับลูกในครรภ์บ่อยๆ จะช่วยให้ระบบประสาทและสมองที่ควบคุมการได้ยินมีพัฒนาการที่ดีและเตรียมพร้อมสำหรับการได้ยินหลังคลอด คุณแม่ควรพูดกับลูกบ่อยๆ ด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ประโยคซ้ำๆ เพื่อให้ลูกคุ้นเคย ใส่ความรู้สึกดีๆในคำพูดทุกครั้ง.... ลูกคือสิ่งดีดีที่สุดที่แม่เคยมีมา แม่รักลูกที่สุดนะ ขอบคุณลูกนะที่ทำให้แม่มีความสุข ความรู้สึกดีๆเหล่านี้จะทำให้คุณแม่และลูกรู้สึกมีความสุขผูกพันกันไปนานเท่านาน
ลูบหน้าท้อง
การลูบหน้าท้องจะกระตุ้นระบบประสาทสัมผัส และสมองส่วนรับรู้ความรู้สึกของลูกให้มีพัฒนาการดีขึ้น การลูบท้องควรลูบเป็นวงกลม จะจากบนลงล่างหรือจากล่างขึ้นบน ลูบด้วยความรู้สึกผ่อนคลายนุ่มนวล ถ้าคุณแม่เลี้ยงแมวที่บ้าน ก็ลูบไม่ต่างอะไรกับลูบหลังแมว เกาคางแมว ซึ่งก็ทำให้แมวมันมีความสุขได้ การลูบไล้ท้องก็ทำให้ลูกรู้สึกมีความสุขได้เหมือนกัน
ส่องไฟที่หน้าท้อง
ลูกน้อยในครรภ์สามารถมองเห็นแสงสว่าง สามารถกระพริบตาเพื่อตอบสนองต่อแสงไฟที่กระตุ้นได้ตั้งแต่อายุครรภ์ประมาณ28 สัปดาห์ การส่องไฟที่หน้าท้องจะทำให้เซลล์สมองและเส้นประสาทส่วนรับภาพและการมองเห็นมีพัฒนาดีขึ้นและเตรียมพร้อมสำหรับการมองเห็นภายหลังคลอด การส่องไฟที่หน้าท้องก็ควรใช้แสงไฟขนาดถ่าน 2ก้อนกำลังดี ไม่แรงไม่จ้าเกินไป เมื่อลูกเห็นแสงก็มักมีการดิ้นตอบสนองต่อการกระตุ้น การส่องไฟที่ท้องก็ควรทำตอนที่ลูกดิ้น วันละสัก 10-15นาที ส่องด้านที่หัวเด็กอยู่ คือถ้าไปส่องก้นมัน เด็กก็คงไม่รู้เรื่อง ดังนั้นก็ควรรู้คร่าวๆก่อนว่าลูกนอนท่าไหนอยู่ ...ก็คิดง่ายๆนะว่า ถ้าถีบบนหัวจะอยู่ล่าง ถ้าถีบล่างหัวมักอยู่บน ถีบขวาหันขวา ถีบซ้ายหันซ้าย...แค่นี้ก็รู้แล้วว่าควรจะส่องกันแถวไหนดี
ออกกำลังกาย
เวลาคุณแม่มีการออกกำลังกาย ลูกที่อยู่ในครรภ์ก็จะมีการเคลื่อนไหวตามไปด้วย
และผิวกายของลูกจะไปกระทบกับผนังด้านในของมดลูก
ผลดังกล่าวจะกระตุ้นระบบประสาทสัมผัสของลูกให้พัฒนาดีขึ้น การออกกำลังกายก็ควรออกพอประมาณ
ไม่เหนื่อยจนเกินไป ออกกำลังกายง่ายๆไม่กระแทกกระเทือน ที่แนะนำก็ โยคะ
หรือว่ายน้ำนะครับ
เลือกรับประทานอาหารที่เหมาะสม
เนื้อสมองของลูกน้อยในครรภ์มีองค์ประกอบเป็นไขมันโดยเฉพาะไขมันที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวเป็นองค์ประกอบถึงร้อยละ 60 กรดไขมันไม่อิ่มตัวที่ความสำคัญต่อพัฒนาการสมองของลูกน้อยในครรภ์คือ กรดไขมันที่มีชื่อว่า ดีเอ็ช เอ (DHA) ซึ่งมีมากในอาหารปลาพวกปลาทะเลและสาหร่ายทะเล และ เออาร์เอ (ARA) ซึ่งมีมากในอาหารพวกน้ำมันพืช เช่น น้ำมันดอกคำฝอย น้ำมันเม็ดทานตะวัน และน้ำมันข้างโพด การเลือกรับประทานอาหารที่มีสารอาหารดังกล่าวให้เพียงพอจะทำให้ลูกในครรภ์ได้รับวัตถุดิบคุณภาพดีในการสร้างเนื้อสมองและระบบเส้นใยประสาทให้มีคุณภาพดีตามไปด้วยนะครับ
ขอให้คุณแม่ทุกคนโชคดีมีลูกน่ารักและเฉลียวฉลาดสมดังที่ตั้งใจนะครับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น