เมื่อลูกเป็นก้างขวางคอ
ใครจะไปคิดล่ะครับว่าชีวิตคู่อันหวานชื่นจะเปลี่ยนไปเมื่อมีลูก ใครบอกว่าไม่เปลี่ยนไปเลยอย่าไปเชื่อนะครับ
จะมีก็แค่เปลี่ยนไปมากกับเปลี่ยนไปไม่มากเท่านั้น คู่หนุ่มคู่สาวที่ยังอายุไม่เยอะก็ควรใช้ชีวิตคู่กันสองคนให้คุ้มก่อน
จนรู้สึกชักจะเบื่อๆที่ต้องเจอหน้ากันแค่สองคน
ตอนนั้นแหละตัดสินใจมีลูกไปได้เลย
..หากมีลูกเร็วเกินไป
บางคนก็อาจผิดหวังเล็กๆที่มีเวลาอยู่ด้วยกันสองต่อสองสั้นนิดเดียว
คุณพ่อคุณแม่ทุกคนย่อมดีใจที่ลูกน้อยสุดที่รักได้เกิดมาเป็นสมาชิกใหม่ของครอบครัว
เรียกว่าดีใจจนลืมไปเลยว่า เจ้าลูกตัวดีนี้แหละที่จะมากลายเป็นคู่แข่งสำคัญ
ตัวขัดจังหวะ ตัวเกะกะสำหรับเรื่องบนเตียงในภายหลัง
สำหรับตัวคุณพ่อแล้วอะไรอะไรมันก็เปลี่ยนแปลงไปเยอะตั้งแต่เมื่อตอนตั้งครรภ์แล้ว
ยิ่งรายที่เพิ่งแต่งได้อาทิตย์เดียวก็ท้องซะแล้วยิ่งน่ากลุ้มใจใหญ่ สำหรับผู้ชายแล้ว
เรื่องการมีเพศสัมพันธ์เป็นเหมือนเรื่องสำคัญในชีวิตคู่เลยทีเดียว
แต่พอคุณภรรยาตั้งครรภ์ ก็ไม่สามารถทำอะไรได้เต็มที่เหมือนเมื่อก่อน
ขนาดไปแอบถามคุณหมอให้แน่ใจตั้งหลายรอบ
หมอบอกตามสบาย บางทีไม่แน่ใจ เกือบเที่ยงคืนยังโทรมาถามอีกก็เจอกันบ่อยๆ
..แต่จริงๆแล้วบางทีบางคนก็รู้สึกไม่สนิทใจหรอกครับ กลัวเจ็บท้อง กลัวเลือดออก กลัวอักเสบ
กลัวโดนลูก กลัวลูกดึง..กลัวกันได้สารพัด ยังไงความรู้สึกมันก็ไม่เหมือนสาวมีเอวอ้อนแอ้นตอนไม่ท้อง
ตอนที่ตั้งครรภ์อยู่ก็ไม่ได้ว่าอะไร ยังไงเพื่อลูกก็อดกันได้อยู่แล้ว แต่ก็ระวังนะครับ เจอกันบ่อยๆที่แอบไปเที่ยวซุกซนมีเล็กมีน้อยกันก็ตอนที่เมียท้องนี่แหละ จับตาดูไว้ให้ดีก็แล้วกัน
สถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป
ช่วงหลังคลอดเป็นช่วงที่บางทีก็ดูดีมีความสุข บางทีก็เหมือนมีอะไรมันขาดหายไป บางครั้งนึกไปนึกมาก็นึกไม่ออกว่าชีวิตมันขาดอะไรไป ....นั่นก็เพราะตอนนี้ยังเป็นช่วงที่ยังเห่อลูกอยู่นั่นเองครับ ก็เลยยังไม่ได้สนใจเรื่องอื่น แถมหลังคลอดก่อนกลับบ้านหมอก็ยังสั่งเอาไว้ไม่ให้ยุ่งกันตั้งเดือนครึ่ง ก็เลยต้องเชื่อหมอเอาไว้ก่อน แต่ก็แอบนับวันนับคืนอยู่ทุกวัน..กะว่าจะตกเบิกซะเจ็ดวันรวด พอถึงวันที่หมายมั่นปั้นมือเอาไว้ ลูกก็ดันไม่ยอมนอน ต้องอุ้มกันทั้งคืน เมียก็มัวแต่สาละวนเรื่องลูก ก็เลยได้แต่นอนหง่าวก่ายหน้าผาก..ก็เลยเริ่มรู้แล้วว่านี่ล่ะคือชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไป
หนึ่งคนสองบทบาท
มันก็เหมือนหนึ่งประเทศแต่สองระบบนั่นเองครับ คือผู้หญิงหนึ่งคนที่ต้องทำหน้าที่ทั้งเป็นเมีย และเป็นแม่ในเวลาเดียวกัน แต่ก็ดูเหมือนว่าสัญชาติญาณของความเป็นแม่จะเด่นกว่าในผู้หญิงทุกๆคน ก็เลยทำให้คุณแม่ทั้งหลายให้เวลาดูแลลูกมากกว่าดูแลสามี สุดท้ายก็กลายเป็นปัญหารักสามเส้าที่ผู้ชายอย่างเราต้องกลายเป็นผู้แพ้ แต่เรื่องนี้ก็แฮปปี้เอ็นดิ้งได้ไม่ยากหรอกครับ ที่สำคัญต้องมีความสมดุลในความสัมพันธ์ระหว่างพ่อ-แม่-ลูก ที่พอเหมาะพอเจาะ ตัวแม่ก็ไม่ใช่สนใจแต่ลูกจนลืมพ่อ ก็ต้องมีเวลาแอบสวีทกันบ้าง พ่อก็ไม่ใช่ปล่อยให้แม่ทำหน้าที่เลี้ยงลูกคนเดียวต้องคอยช่วยเหลือดูแลลูกด้วยจะได้เป็นการแบ่งเบาภาระ การมีกิจกรรมร่วมกันนี่แหละจะทำให้รู้สึกใกล้ชิดกันมากขึ้น หลังห่างเหินกันไปนาน ถ้าสั่งได้ก็ต้องให้ลูกเงียบๆหน่อยอย่าโยเย คุณพ่อคุณแม่จะได้มีเวลาจู๋จี๋กันบ้าง
เอาก้างไปไว้ให้ไกลคอ
คนบ้านเราส่วนมากก็จะให้ลูกนอนเตียงเดียวกับพ่อกับแม่ มีลูกสามคนก็นอนก่ายกันไปก่ายกันมาบนเตียงเดียวนั้นแหละ แต่ก็แปลกนะยังอุตส่าห์ท้องสองท้องสามตามมาได้อีก ไม่รู้ไปแอบทำอะไรกันตรงไหน ทางที่ดีตอนก่อนคลอดก็ควรต้องวางแผนกันเอาไว้ก่อน ว่าจะให้ลูกนอนตรงไหน จะให้แยกเตียง หรือนอนเตียงเดียวกัน ที่ดีที่สุดให้นอนแยกเตียงตั้งแต่แรกคลอดเลยจะดีกว่า เตียงเด็กอ่อนที่มีล้อลากไปลากมาได้ มีที่กั้นด้านข้างกันเด็กตกก็มีขายกันเยอะแยะ เวลานอนก็นอนห้องเดียวกัน แต่แยกลูกไปนอนอีกมุม ถ้าลูกตื่นกินนมก็ลากเอาเตียงมาชนกัน พอหลับก็ลากเตียงไปอีกมุมเหมือนเดิม เลี้ยงแบบนี้ตั้งแต่เกิด ลูกก็จะชินกับการนอนเตียงแยกไปเอง พ่อกับแม่ก็นอนกันสองคนบนเตียงสบายไม่ต้องมีใครมาเป็นก้างขวางคอ บางคนก็ให้ลูกนอนแยกแบบนี้ได้นานเป็นปีๆจนกว่าลูกจะโตแยกห้องไปเอง แต่บางคนก็ใจอ่อน พอลูกร้องก็อุ้มมานอนบนเตียงเดียวกัน ให้นมไปเพลินๆก็หลับไปบนเตียงเรานี่แหละ อยู่ไปอยู่มาก็เลยนอนรวมกันซะเลยหมดเรื่องหมดราว เตียงลูกก็เอาไว้ตากผ้า สุดท้ายก็หนีไม่พ้นที่ต้องนอนเตียงรวมกัน
นอนตรงไหนดีถ้าต้องนอนรวมกัน
ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆ หรือทำยังไงลูกก็ไม่ยอมแยกไปนอนในที่ของเขา สุดท้ายก็ต้องนอนรวมกัน พ่อแม่หลายคนก็มักจะให้ลูกนอนตรงกลาง ลูกจะได้ไม่กลิ้งตกเตียง คิดแบบนี้มันง่ายไปหน่อยครับ ตอนแรกๆก็ไม่ได้คิดอะไรหรอก แต่นานๆเข้าคุณพ่อคุณแม่ก็ได้แต่นอนมองกันตาปริบๆคนละฝั่งเตียง ยิ่งนานวันก็ยิ่งรู้สึกห่างเหิน ไม่เคยได้นอนกอดนอนสัมผัสกันเลย ... ลองใช้ที่กั้นเตียง หรือไม่ก็เลื่อนเตียงไปชิดผนัง ลูกก็จะได้นอนริม คุณแม่นอนตรงกลาง คุณพ่อนอนอีกข้างนึง แค่นี้คุณแม่ก็สามารถทำหน้าที่ทั้งเป็นแม่ ทั้งเป็นภรรยาได้ทั้งสองอย่าง รับรองไม่มีการห่างเหิน
มอมนมลูกให้หลับสนิท
พอถึงช่วงเวลาเข้าด้ายเข้าเข็ม
คุณพ่อคุณแม่ก็มักกลัวว่าลูกจะตื่น แล้วก็มีเยอะที่ลูกหูไว
เสียงดังนิดหน่อยก็ตื่นแล้ว ลูกตื่นก็เหมือนระฆังหมดยก ทำอะไรกันอยู่ก็ต้องเลิก
ต้องไปให้นมลูก เอาเขานอนใหม่อีกรอบ ปล่อยให้อารมณ์ค้างไปก่อน
เดี๋ยวค่อยมาว่ากันใหม่
...แต่พอลูกนอนหลับแล้วหันไปดูคุณพ่อก็หลับอ้าปากหวอไปแล้วเหมือนกัน
...สุดท้ายก็ต้องนอนหลับไปแบบครึ่งๆกลางๆทั้งคู่
ดังนั้นตอนจะเข้านอนก็ต้องพยายามให้นมลูกมื้อสุดท้ายก่อนนอนให้เต็มอิ่ม พออิ่มเต็มที่ก็จะหลับยาวสะเทือนยังไงลูกก็ไม่ค่อยตื่นหรอกครับ ..พอเอาลูกเข้านอนเรียบร้อยแล้วก็อย่ารอช้า มัวไปทำอย่างอื่นเดี๋ยวก็ถึงเวลาลูกตื่นพอดี ...ช่วงนาทีทองจะทำอะไรก็รีบๆทำซะ
พรางตัว
เวลาคนเรามีอะไรกันโดยมากแล้วก็ต้องเป็นที่ที่ลับเฉพาะ มีกันแค่สองคน ไม่มีบุคคลที่สาม ที่สี่ที่ห้าอยู่ในห้องเดียวกันหรอกครับ หากในห้องนอนมีกันอยู่หลายคน มันรู้สึกพะวงไม่มั่นใจยังไงชอบกล ก็เลยทำให้เรื่องอย่างว่าไม่ค่อยมีรสมีชาดเหมือนเมื่อก่อน ยิ่งเดี๋ยวนี้ถ้านอนเตียงสปริง ทำอะไรกันทีก็สะเทือนไปทั้งเตียง บางทีก็ต้องจับขาลูกเอาไว้ด้วยกลัวจะเด้งตกเตียงไปเสียก่อน บางทีก็ต้องเอาผ้าห่มมาคลุมเอาไว้ ทำอะไรกันใต้ผ้าห่ม ลำบากนิดหน่อย ร้อนก็ร้อน แต่สบายใจดี ลูกดันตื่นขึ้นมาก็ไม่ต้องแก้ตัวอะไรมาก หรือบางทีก็ปล่อยให้ลูกยึดเตียงไปซะเลย พอลูกหลับก็ชวนกันไปดูหนังที่ห้องอื่นแทน ถือว่าเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศไปในตัว จะได้ไม่จำเจอยู่แต่บรรยากาศเก่าๆ
ข้อแก้ตัว
ลูกเล็กๆรับรองได้ว่าเขาไม่รู้หรอกว่าคุณพ่อคุณแม่ทำอะไรกันอยู่ หากบังเอิญกำลังปฏิบัติกามกิจอยู่
หันไปเห็นลูกนั่งตาแป๋วอยู่พอดีจะทำอย่างไรดี
...ผมว่าก็คงต้องยอมผิดศีลมุสาไปก่อน อาจจะบอกว่าเล่นขี่ม้าอยู่
ออกกำลังกายกันอยู่ เกาหลังให้คุณแม่อยู่
อากาศมันร้อนเลยถอดเสื้อผึ่งลมเล่นอะไรทำนองนี้..
ไม่มีใครหรอกครับที่ไปบอกลูกตรงๆว่าจริงทำอะไรอยู่ ต้องโกหกไว้ก่อน
ลูกก็ไม่ได้สนใจอะไรหรอก เพียงแต่ได้ยินเสียงครวญครางเลยตกใจตื่นมาก็เท่านั้นเอง แต่ถ้าหากลูกโตมากแล้วก็อย่าไว้ใจนะครับ
เขาอาจจะรู้เรื่องแล้ว เด็กสมัยนี้รู้เรื่องอย่างว่าเร็วจะตายไป
...ให้ย้ายห้องไปนอนที่อื่นดูจะปลอดภัยที่สุด
เรียกความเป็นส่วนตัวกลับคืนมา
ถ้าใจอ่อนให้ลูกมานอนเตียงเดียวกันแล้วก็ต้องกำหนดเวลาเอาไว้ให้ชัดเจนเลยนะครับว่าจะให้ลูกนอนอยู่ด้วยถึงกี่ขวบกันแน่
ไม่ใช่นอนก่ายรวมกันจนโต ปกติประมาณ 4-5 ขวบก็แยกห้องกันได้แล้ว
แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนะครับ แรกๆก็ต้องหลอกล่อกันพอสมควร
ห้องก็ให้เขาเลือกสีเอง จะติดรูปคิตตี้ รูปยอดมนุษย์ก็ต้องช่วยเขาติด
ให้รู้สึกว่าห้องนั้นเป็นของเขา ให้มีความรู้สึกเป็นเจ้าของ ทำการบ้าน เล่นของเล่นก็พยายามให้มาเล่นในห้องเขาเอง แล้วเอาเขาเข้านอน นอนเป็นเพื่อนจนลูกหลับ
แล้วค่อยย่องกลับมานอนห้องตัวเอง
แค่นี้วันชื่นคืนสุขที่เคยนอนกันส่วนตั๊วส่วนตัวก็กลับมาหวานชื่นเหมือนเดิมอีกครั้ง
แต่บอกไว้ก่อนว่าเด็กๆเค้าอ่อนไหวกลัวอะไรกันได้ง่ายๆ แค่เผลอให้ดูหนังผีน่ากลัวๆแค่ครั้งเดียวก็ไม่ยอมไปนอนคนเดียวอีกเลย
ต้องไปนอนเป็นเพื่อนอีกตั้งนานกว่าจะหายกลัว ...พ่อก็เลยพลอยเหี่ยวแห้งตามไปด้วย
ครอบครัวของหลายๆคนที่มีลูกกันแล้วมักจะเจอปัญหาเรื่องความสัมพันธ์ของคุณพ่อคุณแม่เปลี่ยนไปจากแต่ก่อน จากความหวานชื่นแบบหนุ่มสาวก็ดูจะจืดจางลง
ยิ่งนานวันก็ยิ่งดูห่างเหิน
..บางทีก็นึกไม่ออกเหมือนกันว่าอะไรมันเปลี่ยนแปลงไป
เมื่อมองดูด้านหนึ่งก็พบว่าลูกเป็นเหมือนสายใยให้ครอบครัว แต่บางครั้งลูกก็ทำให้ความสัมพันธ์ของพ่อแม่จืดจางลงได้เหมือนกัน
ดังนั้นทุกคนในครอบครัวต้องดูแลบทบาทของตัวเองให้สมดุล คุณพ่อต้องเป็นพ่อที่ดี
และสามีที่ดี คุณแม่ก็ต้องเป็นแม่ที่ดีและเมียที่ดีในเวลาเดียวกัน แบ่งเวลาให้กัน
มีเวลาให้กันทั้งแบบครอบครัวและแบบสองต่อสอง
...ต่อไปจะมีลูกอีกซักกี่คนความรักก็ไม่มีวันจืดจาง/.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น