ฝีเย็บ...มันอยู่ตรงไหนในร่างกายเรานะ
งานของหมอสูติ มันก็อยู่ที่ช่องนิดเดียวนี้แหละ ตื่นเช้ามาทำงานก็นั่งจ้องอยู่กับช่องนี้ เดี๋ยวมันบวม เดี๋ยวมันแดง เดี๋ยวมันเจ็บ วันนึงเรื่องมันเยอะ ที่ลำบากสุดก็ตอนคลอดลูกต้องเอาเด็กตัวเบ้อเริ่ม ผ่านออกมาจากรูนิดเดียว .. จนบางทีก็ยังงงๆว่าทำไมธรรมชาติไม่สร้างช่องนี้ให้มันใหญ่ๆซะจะได้หมดเรื่อง เอาใหญ่ขนาดเด็กลอดออกมาได้สบายๆ เวลาคลอดลูกเบ่งไปหัวเราะไปสองทีก็ออกมาแล้ว...5555
กลับไปบ้านยังไปฝันเลยว่า ถ้าผู้หญิงทั้งโลกมีช่องนี้ใหญ่ๆกันทุกคน หมอสูติอย่างเราก็คงทำงานกันสบายขึ้นเยอะ แต่แล้วหันไปหันมาก็ต้องตกใจ ถ้าให้ของผู้หญิงใหญ่ยักษ์ ของผู้ชายทั้งโลกก็คงต้องใหญ่ตามไปด้วย คงหนักเดินตัวแอ่นตัวงอกันไปหมด ... สุดท้ายอันเล็กๆจุ๋มจุ๋มเท่าเดิมก็น่าจะดีกว่า เกิดมาคลอดลูกไม่กี่ครั้ง เจ็บนิดๆหน่อยๆก็คงไม่เป็นไร
เอาเป็นว่าธรรมชาติของเราก็ได้พิจารณารอบคอบแล้วว่า คลอดลูกตัวใหญ่ขนาดนี้ แต่ช่องคลอดดันเล็กขนาดนั้นมันพอดีแล้วล่ะ แล้วธรรมชาติก็ได้สร้างพื้นที่เฉพาะกิจอันนึงเอาไว้ เราเรียกพื้นที่ตรงนี้กันว่า “ฝีเย็บ”
ฝีเย็บเป็นพื้นที่ระหว่างช่องคลอดกับทวารหนัก เป็นเนื้อเยื่อพังผืดและกล้ามเนื้อแข็งแรงที่ต้องรับน้ำหนักอวัยวะในช่องท้องและอุ้งเชิงกรานทั้งหมด เวลาคลอดลูกช่วงนาทีสุดท้ายหัวของลูกจะถูกมดลูกบีบดันลงมาเรื่อยๆจนตุงปากช่องคลอด ... แต่ด้วยความที่ช่องคลอดมันเล็ก หัวมันก็เลยติดคาอยู่ตรงนั้นสักพัก แต่สุดท้ายก็ทนแรงเบ่งของแม่ไม่ได้ ฝีเย็บมันก็เลยฉีกขาดรุ่งริ่ง .. ในสมัยที่คลอดเองตามบ้านแผลก็มักไม่ได้เย็บ จะปล่อยให้แผลติดกันไปเอง แผลก็ไม่ค่อยติดแน่นแข็งแรงเท่าไหร่ สมัยโบราณเขาก็เลยห้ามก้าวขาขึ้นบันไดบ้าน....เพราะบ้านสมัยก่อนเป็นเรือนไม้ใต้ถุนสูงเอาไว้ผูกควาย บันไดหน้าบ้านเป็นขั้นห่างๆขึ้นบ้านแต่ละทีต้องก้าวขาแทบฉีก... แล้วเชื่อหรือไม่ครับว่าเดี๋ยวนี้แม้ว่าจะเย็บแผลกันแน่นหนา คนไทยเราก็ยังห้ามไม่ให้ขึ้นบันไดเหมือนเดิม ... โลกมันเปลี่ยนไปแล้ว บันไดมันก็เปลี่ยนไปแล้วเหมือนกัน .. ขึ้นไปนอนข้างบนได้เลยครับไม่มีปัญหา อย่ามัวทนนอนตากยุงข้างล่าง
การคลอดลูกในปัจจุบันนี้เราก็มักจะตัดฝีเย็บกันนะครับ หมอบางคนก็ชอบตัดตรงกลาง แผลสวย เจ็บน้อย แต่หมอบางคนก็ชอบตัดตะแคงออกทางด้านข้าง ไม่สวยเห็นรอยชัด เจ็บเยอะ แต่คลอดลูกตัวโตๆได้ดี ไม่ค่อยฉีกต่อเข้าไปถึงก้น
ในช่วงหลังคลอด แผลฝีเย็บตรงนี้ก็ต้องเจ็บน้อยลงเรื่อยๆ ห้ามเจ็บมากขึ้นเป็นอันขาด การดูแลฝีเย็บก็เลยต้องดูแลกันให้ดีเป็นพิเศษหน่อย เดี๋ยวของรักของหวงมันอักเสบขึ้นมา ทั้งเจ็บทั้งบวมเดินหุบขาไม่ลงกันไปอีกเป็นเดือน หลังคลอดแรกๆก็ทุ่มเทดูแลมันหน่อยก็แล้วกัน เวลาทำความสะอาดก็ต้อง “เช็ดลงล่างทางเดียวทิ้ง” ก็คือต้องเช็ดทำความสะอาดเริ่มจากช่องคลอดแล้วเช็ดลากไปทางทวารหนักทุกครั้ง ห้ามย้อนศรเด็ดขาด ถ้าเช็ดย้อนขึ้นเชื้อโรคจากทวารหนักก็จะยกโขยงเข้าไปในแผล อีกสองวันก็ได้เรื่องแล้วครับ แล้วไม่ต้องขี้เหนียวนะครับ เช็ดทีเดียวแล้วทิ้งเลย ไม่ใช่เช็ดแล้ววนมาเช็ดอีกเรื่อยๆ เพราะพอเช็ดแล้วสำลีมันก็สกปรกมีเชื้อโรคเรียบร้อยแล้ว เอามาเช็ดซ้ำแทนที่จะสะอาดกลับกลายเป็นเอาเชื้อโรคเข้าแผลซะนี่
เวลาอาบน้ำหากแผลโดนน้ำก็ไม่มีปัญหาครับ ล้างด้วยน้ำเปล่าได้โดยให้น้ำรินไหลผ่านนะครับ ห้ามเอาหัวฉีดล้างชำระ หรือใช้ฝักบัวล้างโดยตรง เพราะแรงของน้ำก็จะทำให้แผลเปิดแยกออกจากกันได้ แถมบางทีกลับทำให้เชื้อโรคเข้าไปสู่ส่วนลึกๆของแผลได้อีกด้วย อาบน้ำเสร็จก็เช็ดให้แห้งใส่ผ้าอนามัยไว้ให้เรียบร้อย
ช่วงหลังคลอดก็จะมีน้ำคาวปลาไหลซึมออกมาทางช่องคลอด ก็เลยต้องใส่ผ้าอนามัยเอาไว้ตลอด ก็ต้องเปลี่ยนผ้าอนามัยบ่อยๆนะครับ ให้แผลแห้งๆไว้เป็นดี อย่ามัวแต่ขี้เหนียวใส่ตัวเดียวอันเดียวกันทั้งวันทั้งคืน แผลมันก็จะแฉะชื้นหมักหมม แผลก็จะอักเสบได้ง่ายเหมือนกัน
คุณแม่หลังคลอดก็มักจะบ่นกับหมอเรื่อยเลยครับว่ารู้สึกแผลมันจะตึงๆ ผมก็เลยต้องบอกคุณแม่ ทุกทีว่า ถ้ารู้สึกว่าตึงๆก็ต้องดีใจนะครับ แผลมันตึงก็แปลว่าหมอเค้าเย็บแผลได้กระชับดี ถ้าหากรู้สึกแผลมันหย่อนๆหลวมๆนั่นแหละที่น่าเป็นห่วง คราวนี่ถ้าแผลมันตึงเวลาทำอะไรก็ต้องระวังนิดหน่อยนะครับ ส่วนมากเวลาอยู่บนเตียงจะให้ลูกกินนมก็มักจะชอบนั่งขัดสมาธิกัน นั่งท่านี้ขามันก็จะฉีกแยกออกจากกันเยอะ แผลที่ตึงอยู่แล้วก็แทบจะปริแยกออกจากกันเลยล่ะครับ เจ็บแทบตายเลยล่ะ ก็พยายามนั่งเป็นท่านั่งพับเพียบก็แล้วกัน ดูเรียบร้อยดี แล้วก็ไม่เจ็บด้วย
แต่เวลาเดินกลับไม่ให้เดินหนีบๆนะ ให้เดินขาแยกออกจากกันเล็กน้อย เดินแบบจิ๊กโก๋ซ่าคับซอยทำนองนั้นแหละ ก็เพราะแผลมันจะอยู่ตรงกลางระหว่างขาพอดี ถ้าเดินหนีบๆแบบนางสาวไทยแผลมันก็จะสีกันเองระบม เดินแยกนิดหน่อยแต่พองามแผลมันจะได้ไม่สีกันระบม เดินอย่างนี้สัก 7 วันจนแผลหายก็พอ เดี๋ยวเดินขาแยกจนเสียนิสัย เดี๋ยวใครเขาจะนึกว่าเป็นฝีมะม่วง
ปกติแผลฝีเย็บนี่จะหายเจ็บค่อนข้างเร็ว ความเจ็บถ้าวัดกันเป็นตัวเลขได้ก็จะเจ็บน้อยลงวันละ 30 เปอร์เซ็นต์ วันแรกเจ็บ 100 วันที่สองเจ็บ 70 วันที่สามเจ็บ 40 วันที่สี่เจ็บ 10 แล้วก็หายเจ็บไปเลย ถ้าเจ็บมากขึ้นนี่สิเป็นปัญหา ยิ่งแผลบวม แผลแดงมากขึ้นก็แสดงว่าท่าจะไม่ดี แผลอาจมีการอักเสบเกิดขึ้นแล้ว ต้องรีบให้คุณหมอดูแผลว่ามันจะอักเสบหรือเปล่า
เวลาเจ็บแผลมากๆก็หายาพาราเซตกินกันก่อนนะ แต่ถ้ากินยาแล้วไม่ดีขึ้นก็ค่อยเอาผ้าห่อน้ำแข็งมาประคบ มันจะเย็นจนชาคลายปวดได้ดี แต่มันเย็นจนหนาวขนลุกไปทั้งตัวเลยครับ..บรื๋อ..รู้สึกหนาวแทน
ผู้หญิงเราเวลานั่งบริเวณฝีเย็บมันก็จะโดนน้ำหนักตัวทับลงกับพื้นทุกที เลยทำให้คุณแม่คลอดใหม่ๆนั่งตรงๆไม่ค่อยได้ ต้องคอยตะแคงเอาน้ำหนักลงแก้มก้นซ้ายที ขวาที เวลานั่งพับเพียบก็เลยไม่ค่อยเจ็บ แต่ถ้านั่งไม่ถนัดก็หาห่วงยางของเด็กๆอันละไม่กี่สิบบาทมานั่งรองก้นก็ได้ เผื่อลูกโตยังเอาไปหัดว่ายน้ำต่อได้
หลังการคลอดลูกไปแล้ว คุณแม่หลายคนอาจจะดีใจที่ได้ผ่านบทเรียนของการเป็นแม่บทแรกไปได้แล้ว แต่หนทางของการเป็นแม่ยังมีอีกยาวไกลนัก ลูกน้อยจะต้องเติบโต ต้องเรียนรู้ อะไรต่ออะไรอีกมากมาย ...หน้าที่ของแม่ดูเหมือนมันไม่มีที่สิ้นสุด คุณแม่ต้องเรียนรู้ที่จะเป็นคุณแม่ที่ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก็ขอเป็นกำลังใจให้คุณแม่ทุกคนนะครับ ..อ้อ แล้วก็อย่าลืมทำหน้าที่ศรีภรรยาที่ดีด้วยนะ หกสัปดาห์หลังคลอดก็สามารถมีอะไรกันได้ตามปกติแล้วครับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น