อุบัติเหตุในระหว่างการตั้งครรภ์
จะว่าไปแล้วคนที่เคยซุ่มซ่ามยังไง พอท้องมันก็ยังคงซุ่มซ่ามอยู่เหมือนเดิมแหละครับ เดี๋ยวหกล้ม เดี๋ยวตกกะได เดี๋ยวพลอยกระโจน ตอนไม่ท้องมันก็แค่เจ็บตัวกันนิดๆหน่อยๆ แต่ตอนที่มีลูกอยู่ในท้องนี่สิ ที่แม่ซุ่มซ่ามจะทำให้ลูกลำบากไปด้วย ไม่ใช่แค่แม่เจ็บตัวอย่างเดียว แต่บางทีอาจโชคร้ายทำให้เกิดการแท้ง หรือแม้แต่ทารกเสียชีวิตในครรภ์ได้
แต่จะบอกว่าอุบัติเหตุแค่ไหนมันถึงจะอันตรายก็เห็นจะบอกกันยาก
ก็คงต้องแล้วแต่โชคชะตาด้วยครับ เท่าที่เคยเจอมา
บางทีตกมอเตอร์ไซค์กระเด็นกลิ้งไม่รู้กี่ตลบ ลุกขึ้นมาไม่เป็นอะไรเลยก็มี
มีแผลนิดๆหน่อยๆ ตรวจดูลูกในท้องแข็งแรงดี ก็แค่ทำแผลแล้วให้กลับบ้านได้ แต่มีอยู่รายนึงแค่นั่งชักโครกพลาด
ลื่นลงมาก้นกระแทกพื้น หลังจากนั้นก็ปวดท้องมาก มาโรงพยาบาลก็พบว่ามดลูกแตก
ลูกในท้องเสียชีวิตไปแล้ว ทั้งๆที่ตกจากส้วมลงมาแค่ไม่ถึงสองฟุต
ผู้หญิงเราตอนที่ไม่ท้องก็อาจดูปราดเปรียว
แคล่วคล่องว่องไวเหมือนนางแมวสาว
แต่พอมีการตั้งครรภ์ รูปร่างก็จะเปลี่ยนไป กลายเป็นนางแมวอ้วนกลม
บางทีอาจดูเหมือนช้างน้ำด้วยซ้ำไป
ท้องที่โตขึ้นก็จะทำให้น้ำหนักทิ้งถ่วงไปทางด้านหน้า
เดินสะดุดอะไรหน่อยก็หัวทิ่มไปข้างหน้าแล้วครับ
ยิ่งเวลาลงบันไดชันๆตามสะพานลอยก็ยิ่งลำบาก
ก็น้ำหนักของท้องมันก็จะคอยถ่วงไปข้างหน้า แทนที่จะลงบันไดดีๆ
บางทีอาจจะกลิ้งลงมาเลยก็ได้ ยิ่งท้องโตก็ยิ่งอุ้ยอ้าย ยิ่งท้องแก่ก็ยิ่งเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย
ก็ยิ่งต้องระวัง
ของสำคัญที่ต้องให้ความสำคัญเป็นอย่างแรกในระหว่างที่ตั้งครรภ์ก็คือ
.....รองเท้า รองเท้าที่ดีของคนท้องต้อง
... “เตี้ย+แบน+นิ่ม” รองเท้าต้องส้นเตี้ยๆ ส้นยิ่งสูงเท่าไหร่ตัวเราก็ยิ่งแอ่นไปข้างหน้าเท่านั้น
นอกจากยิ่งทำให้ปวดหลังแล้วก็ยิ่งทำให้หกล้มหน้าคว่ำได้ง่ายอีกด้วย
ใส่ส้นเตี้ยๆไว้ไม่ต้องกลัวไม่สวยหรอกครับ
ยังไงก็ไม่มีใครหน้ามืดมาแอบปิ๊งคนท้องอยู่แล้ว...นอกจากส้นเตี้ยแล้วก็ยังต้องแบนด้วยนะ
ไม่ใช่ส้นเตี้ย แต่พื้นดันหนาแบบส้นตึก เดี๋ยวจะตกลงมาคอหักตายเสียก่อน
เลือกแบบที่แบนๆดีกว่าครับ ยิ่งแบนยิ่งดี....ตอนท้อง ยิ่งท้องโตตัวก็ยิ่งหนัก
น้ำหนักก็จะไปกดที่บริเวณฝ่าเท้ามาก
รองเท้านิ่มๆก็จะทำให้รู้สึกสบายฝ่าเท้ามากกว่า
หากพื้นแข็งนานๆเข้าก็จะเจ็บฝ่าเท้าได้
รองเท้าที่ดีก็ต้องยึดเกาะถนนดีด้วย
ควรมีพื้นเหมือนรองเท้ากีฬา มีร่องมีลายที่กันลื่นได้ดี
รองเท้าที่พื้นเรียบๆลื่นๆก็อย่าไปเสี่ยงดีกว่าครับ
อุบัติเหตุก็เป็นเหตุที่เกิดขึ้นโดยไม่คาดฝัน บางทีระวังแทบตาย
ก็ยังอุส่าห์หกล้ม หรือตกกระไดจนได้
เหตุมันจะเกิดมันก็ต้องเกิดจนได้แหละครับ
แต่ก็เหมือนกับว่าธรรมชาติจะรู้ใจว่าคนท้องจะเป็นโน่นเป็นนี่ได้ง่าย
ก็เลยออกแบบให้มีโครงสร้างในการปกป้องไม่ให้เกิดอันตรายต่อทารกในครรภ์ได้ง่ายๆ
กว่าจะมีอะไรไปกระทบกระเทือนกับลูกในท้องก็ต้องฝ่าด่านระบบป้องกันภัยถึง 5
ชั้นแน่ะ ดูซิว่าผู้หญิงเรามีอะไรไว้ป้องกันให้ลูกในครรภ์บ้าง
ชั้นแรก..เมื่อท้องร่างกายของคุณแม่ก็จะมีการสะสมไขมันมากขึ้น
โดยเฉพาะที่ก้นกับที่สะโพก ยิ่งท้องโตก้นก็ยิ่งใหญ่ ตรงนี้เขาเรียกว่า กันชน หรือ Bumper
ก็แล้วกันครับ ก้นที่ใหญ่หนานุ่มของคุณแม่ก็จะรับแรงกระแทกกระเทือนได้มากขึ้น
แรงกระแทกกระเทือนเล็กๆน้อยๆก็จะได้ไม่กระเทือนไปสู่ลูกในท้องได้มากนัก
แต่ถ้าหนักๆ เช่นตกจากที่สูงก็รับไม่ไหวเหมือนกันนะครับ
ชั้นที่สอง...ช่วงที่ยังท้องอ่อนๆซึ่งจะมีอัตราการแท้งได้สูง
มดลูกก็จะจมอยู่ในอุ้งเชิงกราน
มีกระดูกเชิงกรานใหญ่แข็งแรงโอบอุ้มเป็นเกราะป้องกัน เหมือนโครงสร้างGOA ของรถยนต์เลยครับ
หากโชคไม่ดีมีอุบัติเหตุหนักๆ
มดลูกก็ไม่ค่อยได่รับอันตรายเท่าไหร่เพราะมีกระดูกเชิงกรานคอยป้องกันไว้
แต่ถ้าหนักๆถึงกระดูกเชิงกรานแตกหักก็ไม่ต้องคิดมากครับ เพราะถ้าถึงขนาดนั้น
บางทีแม่ก็มักไม่รอดเหมือนกัน
กระดูกเชิงกรานของผู้หญิงเราก็จะเป็นปีกโอบไปทางด้านหลัง
ด้านหน้าเปิดโล่งๆให้มดลูกขยายออกไปทางด้านหน้าได้
ดังนั้นกระดูกเชิงกรานก็จะปกป้องทางด้านหลังได้ดีกว่าทางด้านหน้า
เพราะคนเราถ้าล้มไปข้างหลังก็ไม่ค่อยได้เอามือเอาเข่าช่วยยันไว้ได้หรอกครับ
ส่วนท้องที่ยื่นไปข้างหน้าก็จะถูกปกป้องด้วยสัญชาติญาณ
ไม่มีใครที่ล้มไปข้างหน้าลงไปทั้งแท่งโดยที่ไม่เอามือเอาเข่ายันไว้หรอกครับ
ดังนั้นก็มีโอกาสน้อยมากที่หกล้มไปข้างหน้าแล้วท้องจะกระแทกพื้น
ชั้นที่สาม...มดลูกของผู้หญิงเราจะมีปากมดลูกติดอยู่กับส่วนปลายของช่องคลอด
ส่วนตัวมดลูกเองก็จะลอยขึ้นไปในช่องท้อง
โดยจะมีปีกมดลูกสองข้างคอยดึงรั้งมดลูกให้ตั้งตรงอยู่ตรงกลาง
ดังนั้นมดลูกก็เหมือนลูกตุ้มที่แกว่งไปมาในช่องท้องได้
ถ้าคุณแม่เกิดซุ่มซ่ามเดินชนเสาไฟฟ้าโป้งเข้าให้...มดลูกก็จะไม่ได้รับแรงกระแทกกระเทือนเต็มๆหรอกครับ
มันจะแกว่งตัวโยกไปเยกมาเพื่อดูดซับแรงสะเทือนได้เยอะ
ลูกคงไม่รู้สึกเหมือนวิ่งไปชนเสาไฟฟ้าเหมือนแม่แน่นอน
ชั้นที่สี่...มดลูกของผู้หญิงก็จะอยู่ลึกลงไปในท้องน้อย
แต่ก็ไม่ได้ลอยแคว้งคว้างอยู่ตัวคนเดียวนะครับ รอบๆตัวมันก็ยังมีอวัยวะต่างๆอยู่ใกล้เยอะแยะ
ที่สำคัญก็คือมีลำไส้ขดเล็กขดน้อยอยู่ล้อมรอบเต็มไปหมด ในลำไส้ก็จะมีน้ำ
มีอาหารเละๆ มีแก๊สอยู่ข้างใน
มันก็เหมือนเราเอาเครื่องแก้วใส่กล่องแล้วเอาโฟมเป็นหลอดๆใส่เอาไว้ล้อมรอบ...เวลาคุณแม่เกิดโดนอะไรกระแทกที่ท้อง
แรงกระแทกนั้นก็จะไม่สะเทือนไปถึงมดลูกตรงๆ
แต่จะไปเจอลำไส้เล็กลำไส้น้อยรอบๆก่อน
แก๊สกับน้ำในลำใส้ก็จะทำหน้าที่เหมือนถุงลมนิรภัยคอยดูดซับแรงกระแทกไปได้เยอะทีเดียว
...แต่อย่านึกว่ามีถุงลมนิรภัยแล้วจะต้องปลอดภัยเสมอไปนะครับ ...ทุกชีวิตปลอดภัยในวอลโว่ถ้าเจอหนักๆเข้าก็ไม่รอดเหมือนกันครับ
ชั้นที่ห้า..ปราการด่านสุดท้ายก็คือถุงน้ำคร่ำในมดลูกที่ห่อหุ้มลูกอยู่นั่นเองครับ
เด็กในครรภ์จะลอยอยู่ในน้ำอย่างอิสระ
เวลามีการสั่นสะเทือนเล็กๆน้อยๆก็จะทำให้เด็กไม่ค่อยรู้สึกอะไรมากนัก
อย่างเวลาเราขับรถวิ่งผ่านลูกระนาดบนถนน
รถสั่นตึ้ดๆๆๆ..แม่นั่งตัวสั่น..มดลูกแม่ก็สั่น แต่เด็กลอยอยู่ในน้ำ
อาจจะสั่นสะเทือนเหมือนกัน แต่ก็ไม่มากหรอกครับ
การที่เด็กลอยอยู่ในน้ำก็ดีในแง่ลดการสั่นสะเทือนเล็กๆได้ดี แต่ก็ไม่เหมาะกับการสะเทือนเยอะๆนะครับ
จะไปกระโดดโลดเต้นไม่ได้นะ ลองนึกภาพจับปลาทองใส่ถุงพลาสติก
ใส่น้ำเต็มแล้วเขย่าไปเขย่ามา
มันก็เหมือนลูกในท้องที่แม่กระโดดไปกระโดดมายังไงยังงั้นเลยล่ะ
ถุงน้ำคร่ำนอกจากช่วยดูดซับการสั่นสะเทือนได้บ้างแล้ว
ยังช่วยป้องกันการกดทับโดนตัวเด็กด้วย น้ำในถุงน้ำคร่ำจะช่วยให้มดลูกทรงรูปอยู่ได้
นอนทับด้านนี้ น้ำคร่ำก็จะโป่งออกไปทางด้านโน้น
ปริมาตร หรือพื้นที่ภายในมดลูกก็จะคงที่ตลอด ดังนั้นก็ไม่ต้องกลัวหรอกครับว่านอนไปนอนมาจะนอนทับแขนขาลูกหัก
ดูแล้วไม่น่าเชื่อว่าลูกในท้องจะมีระบบป้องกันภัยเยอะแยะอะไรปานนั้น มากกว่ารถเก๋งแพงๆด้วยซ้ำไป แต่อะไรมันก็มีขีดจำกัดของมันเหมือนกันนะครับ ถ้าหกล้มหกลุกนิดๆหน่อยๆก็คงไม่ว่ากัน แต่ถ้าหากตกบันไดมายี่สิบขั้น ขับรถตกลงมาจากทางด่วน โดนสิบล้อทับ อย่างนี้ก็คงต้องแล้วแต่ชะตากรรมแล้วครับ ระบบป้องกันภัยที่ว่ามาก็คงช่วยไม่ได้
ปัญหาที่เกิดกับคุณแม่ที่ได้รับอุบัติเหตุรุนแรงก็อาจเป็นได้หลายรูปแบบ
บางทีก็ไม่เป็นอะไรเลย บางทีก็เจ็บท้องคลอดก่อนกำหนด
บางทีรกก็ลอกตัวก่อนเวลาทำให้เด็กเสียชีวิตในครรภ์ได้
หรือถ้าหนักๆหน่อยอาจรุนแรงถึงมดลูกแตกได้เหมือนกัน
อย่างไรก็ตามถ้าเกิดอะไรขึ้นมาแล้วก็ต้องรักษาประคับประคองให้ทั้งแม่ทั้งลูกปลอดภัยทั้งคู่ครับ
แต่ถ้าสุดวิสัยจริงๆก็เป็นหลักว่าให้เลือกให้แม่ปลอดภัยไว้ก่อนเป็นอย่างแรก ถ้ายังแข็งแรงดี จะท้องอีกกี่ทีก็ได้
อย่าไปพูดถึงอุบัติเหตุหนักๆเลยครับ
มาดูวิธีปฏิบัติเมื่อเกิดอุบัติเหตุเล็กๆน้อยๆดีกว่า
ถ้าเกิดไปเดินตลาดแล้วเตะหม้อข้าวหม้อแกงล้มก้นกระแทก หรือ วิ่งหนีเจ้าหนี้ตกกระไดลงมา พอลุกขึ้นได้ก็ให้สำรวจตัวเองดูอาการสามข้อนี้นะครับ
อย่างแรกเลยต้องไม่เจ็บท้อง ถ้าไม่เจ็บเลยก็แปลว่าท้องไม่ได้กระแทกกระเทือนอะไรเลย แต่ถ้าหากเจ็บท้องขึ้นมาก็แย่หน่อย ยิ่งถ้าเจ็บแข็งตลอดเวลาเลยยิ่งไม่ดี เพราะนั่นแปลว่ารกอาจจะลอกตัว หรือ ถ้ามดลูกแตกก็อาจเจ็บตลอดเวลาอย่างนี้ได้ ถ้าเดี๋ยวเจ็บ เดี๋ยวหายก็แปลว่ามีการเจ็บครรภ์ก่อนกำหนด ต้องรีบไปหาคุณหมอเลยครับ
ข้อที่สอง ต้องไม่มีเลือดไหลออกมาทางช่องคลอด
ถ้าล้มแล้วมีเลือดไหลออกมาก็อาจเป็นได้ว่ารกอาจมีการลอกตัว ถ้าเลือดออกนิดๆหน่อยๆก็ยังพอทนแต่ก็มีแนวโน้มว่าอาจจะคลอดก่อนกำหนด
แต่ถ้าเลือดออกมากจนคิดว่าจะทำให้แม่เสียเลือดจนถึงขั้นอันตรายได้
ก็จะให้คลอดทันทีโดยไม่ต้องคำนึงถึงอายุครรภ์
สุดท้าย..ลูกต้องดิ้นดี ลูกดิ้นดีก็เป็นตัวบอกว่าลูกยังสบายดีอยู่นะ
แค่ตกใจนิดหน่อยเท่านั้นเอง แต่ถ้ามันเงียบไปเลยก็ไม่น่าไว้วางใจแล้วล่ะ
ไปให้คุณหมอตรวจดูให้แน่ใจดีกว่า
สิ่งสำคัญในเรื่องของอุบัติเหตุในคนท้องก็คือ
การป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุ
ในระหว่างการตั้งครรภ์ต้องระวังตัวเองให้มากขึ้น
พยายามหลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นทุกอย่าง โดยเฉพาะในห้องน้ำ
ก็ต้องหาแผ่นยางกันลื่นมาปูกันไว้ หรือพยายามอย่าให้พื้นเปียกน้ำ
ถ้าไปว่ายน้ำก็ควรต้องใช้คาวามระมัดระวังเป็นพิเศษ
ขึ้นลงบันไดก็ไม่ต้องรีบร้อน ช้าแต่ชัวร์เป็นดีที่สุด
ที่สำคัญจำไว้เลยว่า อุบัติเหตุ
กันไว้ดีกว่าแก้ แต่หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ ลุกขึ้นได้ท้องต้องไม่เจ็บ
เลือดต้องไม่ออก ลูกต้องดิ้นดี ถ้าครบสามข้อก็สบายใจได้
..แต่อย่าซุ่มซ่ามอีกก็แล้วกัน
เพราะมันก็คงไม่ได้โชคดีไปทุกครั้งนะครับ/.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น