ฟื้นตัวหลังคลอด
เรื่องราวของการตั้งครรภ์ก็ไม่ได้จบลงที่การคลอดลูกออกมาเท่านั้นนะครับ การดูแลหลังคลอดก็เป็นเรื่องที่สำคัญมากสำหรับตัวคุณแม่เอง คุณแม่ส่วนใหญ่ก็มักจะให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพร่างกายในระหว่างที่ตั้งครรภ์ซะมากกว่า แต่ช่วงหลังคลอดก็ปล่อยให้มันกลับมาเป็นปกติเองตามธรรมชาติ ไม่ค่อยได้ดูแล ไม่ค่อยได้ใส่ใจตัวเองสักเท่าไหร่ ..เมื่อลูกคลอดออกมาเรียบร้อยแล้ว แม่หลายคนก็ทุมเทแรงกายแรงใจไปที่ลูกซะหมด จนไม่มีเวลาให้กับตัวเอง ซึ่งแท้ที่จริงแล้วช่วงหลังคลอดเป็นช่วงที่ร่างกายของคุณแม่กำลังมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นมากมาย ถ้าคุณแม่สนใจตัวเองซักหน่อย ดูแลตัวอย่างถูกต้องในระยะหลังคลอด ก็จะช่วยทำให้การฟื้นฟูสภาพของร่างกายสามารถดำเนินไปได้อย่างราบรื่น เป็นปกติปราศจากภาวะแทรกซ้อน
นอกจากเรื่องทางการแพทย์แล้ว
ชีวิตของคุณแม่ในระยะหลังคลอดก็จะเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเป็นอย่างมาก จากผู้หญิงธรรมดา
มาเป็นภรรยาของสามี แล้ววันนี้ก็ต้องรับหน้าที่ที่สำคัญในชีวิต นั่นคือ
“เป็นแม่ของลูก”ตอนอยู่ที่โรงพยาบาลหน้าที่ของแม่ยังไม่ชัดเท่าไหร่
เพราะมีคุณพยาบาล มีคุณหมอคอยดูแล ช่วยเลี้ยงเจ้าตัวเล็กให้
คุณแม่มือใหม่ก็เลยยังไม่ได้ทำหน้าที่อย่างเต็มที่ แต่พอกลับบ้านไปแล้ว
คุณแม่ต้องทำทุกอย่างที่แม่ต้องทำ ทุกอย่างในชีวิตของลูกก็มาจากมือแม่เท่านั้น
อาจจะมีคุณพ่อ คุณย่า คุณยาย คอยช่วยอยู่บ้าง แต่คนที่สำคัญที่สุดก็ยังเป็นคุณแม่
คุณแม่ต้องปรับตัว ...ปรับใจ เพื่อให้สามารถทำหน้าที่ของคุณแม่ให้ดีที่สุด
และที่สำคัญยังเป็นภรรยาที่ดีสุดยอดเหมือนเดิมด้วยในเวลาเดียวกัน..
อันดับแรกเรามาดูกันก่อนว่า
พอคลอดลูกไปแล้วร่างกายของคุณแม่จะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง.....
การเปลี่ยนแปลงของร่างกายในระยะหลังคลอด
มดลูก ของสำคัญอย่างแรกที่ต้องพูดถึง...
ทันทีที่ลูกตัวน้อยคลอดโผล่พ้นออกมาจากช่องคลอด มดลูกของคุณแม่ก็จะบีบตัวหดเล็กลง
จากขนาดเท่าลูกแตงโมก็จะหดเล็กลงเหลือเท่าลูกส้มโอ
คลำได้เป็นก้อนแข็งๆกลมป๊อกที่ท้องน้อย ยอดของมดลูกจะคลำได้อยู่แถวๆสะดือของคุณแม่
หลังจากนั้นก็จะหดเล็กลงประมาณวันละ 1 นิ้วมือ แล้วก็เล็กลง
...เล็กลง...จนหายเข้าไปอยู่ในอุ้งเชิงกราน ไม่สามารถคลำได้ทางหน้าท้องใน 2
สัปดาห์ แล้วก็จะเล็กลงอีกจนเหลือเท่าขนาดปกติก่อนที่จะตั้งครรภ์ใน 4
สัปดาห์ ส่วนที่พุงที่หลงเหลืออยู่ก็คือ ไขมันล้วนๆ...อย่างหนาด้วย!
หลังคลอดใหม่ๆ
มดลูกจะบีบตัวแข็งเป็ก..เกร็งเป็นก้อนแข็งๆ ยิ่งแข็งเกร็งมากก็ยิ่งปวดมดลูกมาก
แต่การที่มดลูกบีบเกร็งอย่างนี้กลับเป็นผลดีนะครับ
เพราะตอนที่รกมันเกาะติดอยู่ในมดลูก รกก็จะคอยดูดสารอาหาร
ดูดออกซิเจนมาจากกระแสเลือดของแม่ พอเด็กคลอด รกก็ลอกตัวหลุดตามออกมา
เกิดเป็นรอยแผลใหญ่เท่าจานข้าวมดลูกมันก็เลยต้องบีบตัวเอาไว้ไม่ให้เลือดออกมาก
ยิ่งบีบมากเลือดก็ออกน้อย ยิ่งบีบน้อยเลือดก็ออกมาก
หลังคลอดปกติก็มักจะฉีดยาให้มดลูกบีบตัวแข็งเกร็งป้องกันการตกเลือด
ยาตัวนี้พอฉีดปั๊บคุณแม่หลายคนก็จะมีอาการคลื่นใส้อาเจียนขึ้นมาทันที
แต่แป๊บเดียวก็หายนะ ทนเอาหน่อยเพื่อความปลอดภัย แล้วถ้ายังมีน้ำเกลือให้อยู่ก็มักจะปวดมดลูกมากนิดหน่อย
เพราะในน้ำเกลือก็จะมียาที่ทำให้มดลูกบีบตัวผสมอยู่ด้วย
นี่ขนาดให้ยาให้มดลูกบีบตัวตั้งหลายตัวแล้วนะเนี่น
แต่บางครั้งมดลูกมันก็ทำงานมาข้ามวันข้ามคืน พอหลังคลอดมันก็เลยไม่บีบซะอย่างนั้น
เลือดก็เลยออกมาทะลักเป็นน้ำก๊อกเลย ถ้าจับบริเวณหน้าท้องแล้วพบว่ามดลูกนิ่มแป้ด
ทั้งคุณหมอทั้งคุณพยาบาลก็จะช่วยกันนวดคลึงมดลูกจนกว่ามันจะแข็งตัวขึ้นมา
ตอนนี้คุณแม่ก็อาจจะเจ็บนิดหน่อย แล้วรู้สึกว่าทำไมใครๆไม่เห็นสนใจเลยว่ามันเจ็บ?
...นั่นก็เพราะหากมดลูกไม่แข็ง เลือดไม่หยุด คุณแม่เสียเลือดมาก ...มาก...มาก
จนถึงจุดนึงเลือดมันก็จะไม่แข็งตัว คราวนี้ทำยังไงมันก็จะไม่หยุดแล้ว
สุดท้ายก็อาจเป็นอันตรายแก่ชีวิตได้
บางครั้งจึงจำเป็นต้องตัดมดลูกเพื่อรักษาชีวิตไว้
...รู้อย่างนี้แล้วเวลาโดนคลึงมดลูก เจ็บนิดหน่อยก็พยายามทนหน่อยก็แล้วกันนะ
พ้นจากระยะนี้ไปแล้ว คุณแม่ก็็็็็็็้้้จะมีอาการปวดท้องน้อยคล้ายๆกับอาการปวดประจำเดือน
จะปวดเป็นพักใน 2-3 วันแรกหลังคลอด แล้วก็จะปวดน้อยลงเรื่อยๆ
จนหายไปในที่สุด มดลูกจะบีบตัวมาก ปวดมากขึ้นเวลาให้นมลูก
เนื่องจากการที่ลูกดูดนมแม่จะกระตุ้นให้สมองหลั่งฮอร์โมนออกมาชนิดหนึ่ง
ซึ่งมีฤทธิ์กระตุ้นให้มดลูกหดรัดตัวมากขึ้น ดังนั้นคุณแม่ที่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่
มดลูกก็จะเข้าอู่เร็วกว่าคุณแม่ที่มิได้เลี้ยงลูกด้วยนมแม่
เวลาปวดก็ทนเอาหน่อยก็แล้วกันนะครับ ท่องคาถาเอาไว้ “ยุบหนอ..ยุบหนอ”
..ยิ่งบีบพุงก็ยิ่งยุบ คิดอย่างนี้ค่อยมีกาลังใจหน่อย
อาการปวดมดลูกหลังคลอดนี้
ภาษาโบราณหน่อยเขาก็เรียกกันว่า “คัดมดลูก” ท้องแรกๆปวดไม่มากแต่ก็จะปวดนาน
ท้องที่สองจะปวดมดลูกมากกว่าท้องแรก แต่ก็จะปวดสั้นกว่า
ท้องที่สามปวดมากกว่าท้องสอง แล้วก็ปวดสั้นกว่า ส่วนท้องสี่ท้องห้า...
ตอนคลอดก็คงไหลหลุดออกมาเองแล้วก็คงไม่ปวดแล้วมั๊งครับ
น้ำคาวปลา
หลังคลอด พอลูกคลอดออกมาเรียบร้อยแล้ว
อีกแป๊บนึงรกก็ลอกตัวตามออกมา
ก็เลยเกิดรอยแผลที่ผนังมดลูกตรงตำแหน่งที่รกมันเคยเกาะอยู่
เลือดก็จะซึมออกมาจากแผลที่ว่านี้ ตอนที่รกยังไม่ลอกตัว
รอยแผลที่รกเกาะนี้ก็จะมีขนาดเท่ากับจานข้าวเลยทีเดียว พอลูกคลอดออกไปแล้ว มดลูกมันก็จะหดตัวเล็กลง
รอยแผลที่ว่านี้ก็จะเล็กลงเหลือขนาดเท่าฝ่ามือเท่านั้นเอง
หลังจากนั้นสองสัปดาห์รอยนี้ก็จะมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางไม่ถึง 3-4เซนต์เท่านั้นเอง
เลือดที่ซึมออกมาจากตำแหน่งที่รกเคยเกาะ..รวมกับเศษเยื่อบุโพรงมดลูกที่ลอกออกมานี่เองครับที่เราเรียกว่า
“น้ำคาวปลา”
หลังคลอดใหม่ๆ
เลือดน้ำคาวปลาก็จะออกมาเป็นสีแดงสด วันแรกก็ออกเยอะหน่อยประมาณ
หนึ่งเท่าครึ่งของรอบเดือนที่มาวันแรก วันที่สองก็ยังเป็นสีแดงสด
ออกพอๆกันกันรอบเดือน วันที่สามก็ยังคงเป็นสีแดงสดอยู่ แต่ปริมาณก็ลดลงเหลือแค่
ครึ่งหนึ่งของรอบเดือนเท่านั้นเอง หลังจากนั้นน้ำคาวปลาก็จะสีจางลง
จางลงเป็นสีแดงเรื่อๆ จางลงเรื่อยๆจนสิบวันใส สิบสี่วันหมด
แต่บางทีก็ออกยาวแถมไปถึงยี่สิบเอ็ดวันเลยก็ได้
บางคนน้ำคาวปลาก็ไม่ยอมหยุดสนิทง่ายๆ
ยังออกเป็นสีน้ำตาลเรื่อๆอยู่ตลอดในช่วงเดือนแรกก็มี แต่ก็ไม่ได้ถือว่าผิดปกติอะไรหรอกครับ
นอนอ่านที่หมอเขียนอยู่ตั้งนาน
บอกว่าวันแรกน้ำคาวปลาจะออกเยอะ นี่นอนอยู่ตั้งนานก็ไม่เห็นจะไหลเลย
แต่ที่ไหนได้พอลุกลงจากเตียงเท่านั้นแหละ
เลือดไหลออกมาเป็นทางเต็มหน้าขาจนถึงพื้นเลย นึกว่าตกเลือด
วิ่งตามหาคุณหมอกันให้วุ่น ...ที่จริงแล้วก็ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไรหรอกครับ
มดลูกของผู้หญิงเราตอนที่ลูกยังอยู่ในท้องมันมีความจุตั้งสองสามลิตร
พอลูกออกไปแล้วมดลูกก็หดตัวเล็กลง โพรงมดลูกข้างในก็มีความจุประมาณหนึ่งแก้วน้ำ
แล้วเวลานอนช่องคลอดของผู้หญิงเราก็จะเอียงลาดลงสี่สิบห้าองศา
เวลานอนเลือดก็เลยขังค้างอยู่ข้างใน พอลุกขึ้นจากเตียงก็เทออกมา
ดังนั้นยิ่งนอนมากเท่าไหร่ เลือกน้ำคาวปลาก็จะค้างอยู่ข้างในมากเท่านั้น
ลุกขึ้นมาเลือดก็จะเทออกมามากตามไปด้วย
แต่อย่างไรก็ตามโดยรวมแล้วน้ำคาวปลาก็จะออกน้อยลงน้อยลงเรื่อยๆ
น้ำคาวปลาของคุณแม่ที่คลอดเองโดยวิธีธรรมชาติจะออกมากกว่าคุณแม่ที่ผ่าท้องคลอด
ในรายที่คลอดธรรมชาติ
ทั้งเลือดทั้งเยื่อบุจะค่อยๆไหลหลุดลอกออกมาเองโดยธรรมชาติก็เลยออกมากและออกนานกว่า
แต่ถ้าเป็นการผ่าท้องคลอด
หลังจากเอารกออกแล้วคุณหมอก็จะเอาผ้าชุบน้ำเช็ดขัดถูภายในโพรงมดลูกจนหมดจดมันวับเหมือนหม้อหุงข้าวไฟฟ้าเลยทีเดียว
น้ำคาวปลาของคุณแม่ที่ผ่าท้องคลอดก็เลยออกน้อย หมดเร็ว ซึ่งก็ไม่ถือว่าผิดปกติอะไร
บางคนเห็นน้ำคาวปลาหมดเร็วก็ไม่ชอบ
ไปหาว่ามันจะตกค้างอยู่ข้างใน เลือดเสียจะไม่ไหลบ้าง ก็อุตส่าห์ไปขวนขวายหายาขับ
ยาดองเหล้ามากินกันให้มันออกเยอะๆ ที่จริงน้ำคาวปลามันหมดเร็วก็ดีแล้วครับ
จะได้ไม่เสียเลือดมาก ไม่เพลียมาก ให้เลือดออกมามากๆก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไร
ดีไม่ดีขับไปขับมาเดี๋ยวจะพาลตกเลือดต้องหามกลับไปหาคุณหมออีกรอบ แล้วยาดองเหล้า
ก็ต้องมีเหล้าเป็นส่วนประกอบ ซึ่งมันก็จะขับออกมาทางน้ำนมด้วยเหมือนกัน
ลูกกินนมแม่เสร็จก็เมาไม่รู้เรื่องเลย แทนที่จะได้ลืมตามาดูเดือนดูตะวันกับเขาบ้าง
มีการเรียนรู้มีพัฒนาการบ้าง ดันหลับซะนี่ ก็เลยเสียโอกาสที่จะมีการเรียนรู้
พ่อแม่ที่ไม่รู้เรื่องก็อาจจะชอบก็ได้นะครับ เพราะว่ามันเลี้ยงง่าย
เมาหลับไปทั้งวัน ก็จะสร่างเมาตื่นมากวนอีกรอบก็อีกนาน ...สบายไป
หรือคุณแม่บางคนมีน้ำคาวปลาออกมาไม่เยอะสะใจ
เห็นเขาว่าต้องเอากระเป๋าน้ำร้อนมาวางหน้าท้อง
...ที่จริงแล้วการวางกระเป๋าน้ำร้อนนี่ก็ดีในแง่ที่ลดบรรเทาอาการปวดท้องน้อยได้
แต่มันก็ไม่ได้ช่วยขับน้ำคาวปลาอะไรหรอกครับ ก็เราเป็นสัตว์เลือดอุ่นนี่ครับ
ไม่ว่าจะไปอยู่ขั้วโลกหนาวจับใจลบสี่สิบองศา มดลูกเราก็มีอุณหภูมิ 37.8
องศาเท่าเดิม ไปอยู่ ไปอยู่กลางทะเลทรายร้อนจนไข่สุก มดลูกเราก็ยังมีอุณหภูมิ 37.8
องศาเท่าเดิมอยู่ดี เอากระเป๋าน้ำร้อนมาวางหน้าท้อง
ความร้อนนั้นไปไม่ถึงมดลูกหรอกครับ เพราะเส้นเลือดฝอยแถวๆหน้าท้องจะขยายตัวเอาความร้อนเหล่านี้ไปกระจายยังที่อื่นๆ
แล้วขับเหงื่อออกมาเพื่อระบายความร้อนแทน
ความร้อนจากกระเป๋าน้ำร้อนกว่าจะทะลุไขมันลงไป กว่าจะผ่านลำไส้ไปไม่รู้กี่ขด
มดลูกมันก็เลยไม่ได้ร้อนขึ้นเลยแม้แต่น้อย
ความร้อนจากกระเป๋าน้ำร้อนหากร้อนจัดเกินไปก็จะทำให้หน้าท้องคล้ำดำลงได้อีกด้วย
ปกติแล้วน้ำคาวปลามันก็ต้องเป็นสีแดงเรื่อๆนะครับ
แล้วก็ต้องออกน้อยลงเรื่อยๆ แต่ถ้าหลังคลอดแล้วน้ำคาวปลายังแดงสดอยู่ตลอด
แถมยังออกมากไม่มีวี่แววว่าจะลดลงเลย อย่างนี้ไม่ดีแน่
ระยะแรกๆก็มักมีสาเหตุจากมดลูกมันไม่ยอมบีบตัว ...ผู้หญิงเราพอคลอดลูกปั๊บ
มดลูกก็จะหดตัวปุ๊บ บีบรัดตัวเองแน่นเลย เป็นการห้ามเลือดโดยอัตโนมัติ
ลองไม่บีบสิ...เลือดออกเป็นถังแน่เลย หากเลือดออกเยอะ
คลำๆดูเจอมดลูกที่ท้องน้อยนิ่มเป็นเต้าหู้ ก็เอามือคลึงๆจนมันแข็ง
แค่นี้เลือดก็หยุดแล้ว
บางรายน้ำคาวปลาก็จางลงดีหรอก ...แต่วันดีคืนดี
เลือดก็ออกมาพลักๆจมกองเลือดเลย อย่างนี้ก็มักสงสัยอาการรกค้าง
หรือคลอดรกออกมาไม่หมด ..รีบไปโรงพยาบาลเลยครับ
จับขูดมดลูกสองทีเลือดก็หยุดแล้วครับ ฟังแล้วหวาดเสียว
คุณแม่บางคนก็อาจมีปัญหาน้ำคาวปลามีออกมานิดๆเรื่อยๆไม่ยอมหมดซักที
ต้องใส่ผ้าอนามัยทุกวันจนเปื่อยไปหมด ยิ่งถ้าน้ำคาวปลาสีไม่สวย แถมมีกลิ่นอีก
นั่นก็แปลว่ามีการอักเสบเกิดขึ้น ไปหาหมอหายาแกอักเสบกินเดี๋ยวก็หาย
การดูแลรักษาความสะอาดเรื่องน้ำคาวปลาเนี่ย
ก็ไม่ได้แตกต่างไปจากการดูแลประจำเดือนเลยครับ
เพียงแต่ว่าน้ำคาวปลามันจะมีนานกว่าเท่านั้นเอง ที่สำคัญน้ำคาวปลา
กลิ่นมันก็ไม่คาวเหมือนชื่อหรอกครับ...แต่ถ้าดูแลรักษาความสะอาดไม่ดี
ก็ไม่แน่เหมือนกันนะครับ
แผลฝีเย็บ
ในระหว่างการคลอด ตอนช่วงไคลแม็กซ์
ขณะที่หัวของลูกกำลังจะโผล่ออกมาภายนอก ปากช่องคลอดก็จะยืดขยายกว้างออกไปเรื่อยๆ
ดูราวกับว่ามันจะปริฉีกขาดออกจากกัน ตอนนี้คุณหมอก็จะช่วยตัวฝีเย็บ
เพื่อขยายปากช่องคลอดให้กว้างขึ้น ป้องกันไม่ให้เกิดการฉีกขาดรุ่งริ่ง ป้องกันไม่ให้เนื้อเยื่อรอบ
ๆ ปากช่องคลอดยืดขยายมากเกินไป หลังจากคลอดเสร็จแล้ว
คุณหมอก็จะเย็บแผลฝีเย็บกลับเข้าที่เหมือนเดิม
โดยมากแล้วก็มักจะเย็บแผลด้วยไหมละลาย
เนื่องจากไม่ต้องเสียเวลากลับมาลำบากลำบนตัดไหมกันอีกครั้ง
แล้วตัดไหมตรงนี้มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แถมไหมแบบไม่ละลายก็มักจะมีสีดำ
สีเดียวกับขนแถวๆนี้อีก กว่าจะงมตัดไหมสำเร็จก็เล่นเอาเหงื่อตกเหมือนกัน
หลังคลอดวันแรกถ้าแผลฝีเย็บมีอาการบวม
และเจ็บมาก การใช้น้ำแข็งประคบจะช่วยบรรเทาอาการเจ็บแผลและยังช่วยลดบวมได้
แต่ถ้าเลยวันแรกไปแล้วก็จะอบแผลด้วยความร้อนเพื่อช่วยลดอาการบวม
ถ้าคุณแม่มีอาการเจ็บแผล ก็ให้รับประทานยาแก้ปวดพาราเซตามอล 2
เม็ด ก็จะช่วยบรรเทาอาการปวดได้
โดยยานี้จะไม่มีผลต่อลูกน้อยเมื่อให้นมแม่แต่อย่างใด ในรายที่แผลบวมมาก เจ็บมาก
จนนั่งไม่สะดวก อาจใช้ห่วงยางอันเล็กๆ คล้ายๆ
กับที่ใช้ในรายที่เป็นริดสีดวงทวารนั่นแหละครับรองนั่งก็จะรู้สึกสบายขึ้น
แถวๆฝีเย็บจะค่อนข้างไวต่อความรู้สึก เวลาเจ็บก็จะเจ็บเยอะ
แต่ก็มักจะหายเร็วกว่าที่อื่นๆด้วยครับ โดยมาก 3-4
วันก็หายเจ็บแล้ว และมักจะหายสนิทเหมือนไม่เคยมีแผลตรงนี้มาก่อนเลยภายในเวลา 3
สัปดาห์หลังคลอด
ในรายที่ไม่มีอาการบวม ไม่มีอาการเจ็บสักเท่าไหร่
ก็ไม่จำเป็นต้องอบด้วยความร้อนก็ได้ เพราะการอบความร้อนก็จะใช้หลอดไฟอินฟราเร๊ด
ซึ่งนอกจากจะให้ความร้อนแล้ว มันยังกระตุ้นเม็ดสีอีกด้วย
แปลว่าถ้าอบมากไปเดี๋ยวของรักของหวงสีชมพูอาจจะคล้ำเข้มเหมือนอาหารทะเลเผาก็เป็นได้
...ก็อย่าอบมากจนสุกก็แล้วกัน
แล้วแผลที่ฝีเย็บนี่ก็แตกต่างจากแผลที่อื่นๆ
แผลที่ไหนๆพอเย็บแผลเสร็จก็ต้องติดปลาสเตอร์ใส่ยาเป็นอย่างดี
แถมยังกำชับอีกด้วยว่าไม่ให้โดนน้ำ ...แต่แผลฝีเย็บนี่ ปิดแผลก็ไม่ได้ปิด
แถมโดนน้ำโดนเลือดแฉะอยู่ตลอดทั้งวัน ก็เลยต้องดูแลเอาใจใส่มันเป็นพิเศษหน่อย
การดูแลแผลฝีเย็บอย่างถูกต้องก็จะช่วยป้องกันปัญหาการอักเสบติดเชื้อได้
หลังคลอดควรเช็ดทำความสะอาดแผลฝีเย็บอย่างน้อยวันละ 2
ครั้ง โดยใช้สำลีชุบน้ำอุ่น ๆ เช็ดทำความสะอาด โดยเช็ดจากด้านหน้าไปด้านหลังเสมอ
แล้วก็ซับให้แห้งทุกครั้ง เวลาถ่ายอุจจาระ ก็ควรเช็ดจากด้านหน้าไปด้านหลังด้วยเช่นกัน
เพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อโรคซึ่งมีอยู่มากมายในอุจจาระมาปนเปื้อนเข้าไปโดนแผลทำให้แผลเกิดการอักเสบได้
แล้วก็ให้เช็ดแค่ครั้งเดียวแล้วทิ้ง ห้ามเช็ดแบบซ้ำแล้วซ้ำอีก
เวลาล้างก็ห้ามใช้หัวฉีดน้ำแรงๆโดนแผลโดยตรง เพราะอาจจะทำให้แผลแยกอ้าได้
ควรใช้น้ำรินไหลผ่านดีกว่า ถ้ามีน้ำคาวปลาออกมาก
ก็ควรเปลี่ยนผ้าอนามัยบ่อยๆให้แผลแห้งสะอาดอยู่เสมอ อย่าปล่อยให้แผลเฉอะแฉะอับชื้น
ซึ่งจะทำให้มีเชื้อโรคสะสมเกิดขึ้นได้ ทำให้แผลอักเสบได้ง่าย
เวลานั่งให้นั่งพับเพียบเรียบร้อย
ไม่ให้นั่งขัดสมาธิ เพราะนั่งขัดสมาธิขาจะแยกออกจากกัน แผลก็จะตึงเจ็บมากกว่าปกติ
ส่วนเวลาเดินให้เดินแยกขาออกจากกันเล็กน้อย เดินเหมือนนักเลงโตคับซอย
หรือเดินเหมือนจังโก้อย่านั้นแหละ เดินขาแยกแผลก็จะได้ไม่เบียดกัน
แต่ถ้าหากเดินหนีบๆ เดินแบบประกวดนางสาวไทย แผลมันก็เบียดบี้สีกันระบม แผลก็จะเจ็บมากขึ้น
...สรุปง่ายๆว่า “นั่งให้เหมือนนางเอก...เดินให้เหมือนนางร้าย”
ส่วนนอนก็นอนท่าอะไรก็ได้ แต่นอนหุบๆเอาไว้ก็คงน่าจะดี
ช่องคลอดและกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน
ตอนสาวๆผู้หญิงเราจะมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของช่องคลอดนิดเดียว
จะใส่นิ้วเข้าไปยังไม่กล้าเลย แต่พอแต่งงานมีสามีแล้ว
ช่องคลอดก็จะขยายกว้างขึ้นนิดหน่อยขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2
ซม. แต่ในขณะที่คลอดลูกหัวกำลังจะโผล่ หัวของลูกขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางตั้ง 10
ซม. ก็จะแทรกผ่านออกมาทางช่องคลอด
ทำให้ช่องคลอดของคุณแม่ขยายกว้างออกแทบไม่น่าเชื่อ คิดแล้วก็น่าตกใจนะครับว่าช่องคลอดเราจะขยายได้กว้างมากมายอะไรปานนั้น
แต่เนื้อเยื้อต่าง ๆรอบๆก็จะ ยืดขยายออกตามไปด้วย
เหมือนเราดึงขยายยางหนังสติ๊กให้ยืดกว้างออก
พอปล่อยกลับสู่สภาพเดิมก็มักจะยืดกว้างออกมามากกว่าปกติ ดังนั้น
หลังจากคลอดบุตรไปแล้วช่องคลอดก็มักจะขยายกว้างมากขึ้นมากกว่าเดิม กล้ามเนื้อต่าง
ๆ ภายในอุ้งเชิงกรานก็จะยืดขยายออกด้วยเช่นกัน
บางคนอาจเรียกการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ว่า “กะบังลมหย่อน”
ดังนั้นหลังคลอดไปแล้วคุณแม่ควรออกกำลังกาย
ฟื้นฟูสภาพให้ช่องคลอดกลับมาสู่สภาพเดิมเหมือนเมื่อยังสาว โดยการทำ “Squeeze
exercise” หรือการ “ขมิบก้น” นั่นเอง ควรทำวันละ 20-30
ครั้ง คุณแม่สามารถทำได้ทันทีในช่วงหลังคลอด ส่วนคุณแม่ที่ยังเจ็บแผลฝีเย็บอยู่
อาจเริ่มทำในสัปดาห์ที่สองหลังคลอดก็ได้
คุณแม่ที่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่อาจจะบริหารกะบังลมโดยการขมิบกันในระหว่างที่ให้นมลูกก็ได้…เพลินดีเหมือนกัน
คุณแม่ที่บริหารช่องคลอดและกะบังลมอย่างสม่ำเสมอ
ช่องคลอดก็มักจะกลับมากระชับแข็งแรงเหมือนปกติภายในเวลา 3
เดือน ส่วนคุณแม่ที่ไม่ได้ทำการบริหารอย่างเต็มที่
อาจจะทำให้มีอาการกระบังลมหย่อนมีปัสสาวะเล็ดเวลาไอหรือจาม
บางคนมีอาการปวดท้องน้อยบ่อย ๆ เวลายกของหนัก เนื่องจากแรงเบ่งในช่องท้องจะดันมดลูกให้เลื่อนต่ำลง
ผ่านออกมาทางช่องกะบังลมที่ยังขยายกว้างอยู่ทำให้เกิดการตึงเจ็บที่ปีกมดลูกทั้งสองข้าง
อย่าลืมนะครับ คุณแม่ที่ผ่านการคลอดมาแล้ว
ถ้าบริหารช่องคลอดและกะบังลมอย่างสม่ำเสมอก็สามารถฟื้นฟูสภาพกลับมาตึงกระชับเหมือนสาว
ๆ ได้ไม่ยาก ยิ่งถ้าหมั่นบริหารอยู่เสมอ สาวๆบางทียังสู้ไม่ได้เลยครับ
หน้าท้อง
ในระหว่างที่กำลังตั้งครรภ์ หน้าท้องสวย ๆ
ของว่าที่คุณแม่จะเปลี่ยนแปลงไปจนน่าตกใจ ทั้งหนา ทั้งดำ ทั้งลาย
เห็นสภาพของหน้าท้องของตัวเองแล้วก็กลุ้มใจ การดูแลตัวเองในระยะหลังคลอด
ก็จะช่วยให้หน้าท้องกลับมาดูดีขึ้น แม้ว่าจะไม่สวยเท่าแต่ก่อน
แต่ก็ยังดีกว่าปล่อยให้พะโล้เป็นตุ่มต่อขานะครับ
ตอนท้องขนาดของมดลูกที่โตขึ้นเรื่อยๆ
จะทำให้ผนังหน้าท้อง และกล้ามเนื้อหน้าท้องยืดขยายออก
อีกทั้งคุณแม่บางคนก็ไม่ค่อยระวังเรื่องอาหารการกิน เห็นอะไรก็กินอร่อยไปหมด
ไขมันส่วนเกินก็เลยสะสมไว้ที่หน้าท้องมากขึ้นเรื่อยๆ
ในระยะหลังคลอดหน้าท้องของคุณแม่จะทั้งหย่อนทั้งหนาจนน่าหนักใจ
การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอในระยะหลังคลอดก็จะช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหน้าท้อง
และยังช่วยลดไขมันหน้าท้องได้อีกด้วย การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่นอกจากจะได้ประโยชน์แก่ลูกน้อยอย่างเต็มที่แล้ว
ก็จะยังช่วยระบายไขมันส่วนเกินออกไปได้อีกด้วย ของเก่าก็ยังเหลืออีกตั้งเยอะ
ของใหม่ก็อย่าเพิ่งเติมเข้าไปอีก อาหารประเภทไขมัน ของหวาน
อาหารประเภทแป้งทั้งหลาย ก็ควรหลีกเลี่ยงเพราะจะทำให้มีไขมันสะสมที่หน้าท้องของคุณแม่มากขึ้น
หน้าท้องของคุณแม่บางคนจะมีสีคล้ำดำขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
อันเป็นผลจากฮอร์โมนที่เพิ่มขึ้นในระหว่างที่ตั้งครรภ์
ในระยะหลังคลอดผิวหนังชุดเดิมซึ่งมีสีคล้ำจะค่อย ๆ ลอกหลุดออกไปเป็นขี้ไคลภายใน 3-4
เดือน ผิวหนังชุดใหม่ที่สร้างขึ้นมาทดแทนเรื่อย ๆ ตามธรรมชาติก็จะมีสีเหมือนปกติ
ดังนั้นคุณแม่ไม่ควรกังวลหรือร้อนรนจนเกินไป บางคนถึงกับไปอบตัว ขัดผิว
เสียเงินเสียทองไปเยอะแยะ ถ้าให้เวลาแก่ร่างกายสักหน่อย
ผลที่ได้ก็ไม่แตกต่างกันเลย
แผลผ่าตัด
สำหรับคุณแม่ที่คลอดโดยการผ่าตัดออกทางหน้าท้อง ก็มีรอยแผลผ่าตัดยาวประมาณ 10-12 ซม. ที่บริเวณหน้าท้องส่วนล่าง แผลอาจจะเป็นแผลยาวตรงกลาง ซึ่งมักจะเย็บด้วยไหมตัด จึงต้องกลับไปตัดไหมอีกครั้งประมาณ 7 วันหลังผ่าตัด ส่วนกรณีทีแผลผ่าตัดเป็นรอยขวางที่หัวหน่าว ก็มักจะเป็นไหมละลาย ไม่จำเป็นต้องตัดไหมนอกจากนั้น ในปัจจุบันปลาสเตอร์ปิดแผลยังสามารถกันน้ำได้อีกด้วย ทำให้คุณแม่สามารถอาบน้ำได้ในช่วงหลังคลอด ดังนั้นก่อนออกจากโรงพยาบาล คุณแม่ควรสอบถามให้แน่ใจทุกครั้งว่าต้องตัดไหมหรือเปล่า อาบน้ำได้หรือไม่
โดยปกติแล้วแผลผ่าตัดจะแห้งและติดสนิท
ในเวลาประมาณ 7-10 วัน หลังจากเปิดแผลแล้วคุณแม่ก็จะสามารถอาบน้ำได้ตามปกติ
หลังอาบน้ำแล้วก็ควรเช็ดบริเวณแผลให้แห้ง
อาจใช้แอลกอฮอล์เช็ดทำความสะอาดแผลในระยะแรกๆ ตอนที่แผลกำลังจะหาย
อาจมีอาการคันยุบยิบบ้าง ก็ไม่ควรเกานะครับ
เพราะจะทำให้แผลนูนหนาเป็นแผลเป็นได้ง่าย แค่ถูๆนิดหน่อยก็พอ นอกจากนั้น คุณแม่หลังคลอดควรหลีกเลี่ยงการใส่กางเกงชั้นใน
ประเภทบิกีนี่ตัวเล็กตัวน้อย
เพราะขอบยางยืดของกางเกงในมักจะกดเสียดสีที่รอยแผลพอดี
ทำให้แผลนูนหนาแข็งเป็นแผลเป็นได้ กางเกงในประเภทตัวใหญ่ ๆ เชย ๆ
จะดีสำหรับคุณแม่หลังผ่าตัดมากกว่า
คุณแม่ที่ชอบใส่กางเกงเป็นประจำ
ก็ควรหลีกเลี่ยงกางเกงคับ ๆ ประเภทกางเกงยีนส์
เพราะซิบตรงกลางจะกดเสียดสีกับแผลบ่อย ๆ ทำให้แผลตรงกลางนูนขึ้นมาได้ง่าย ดูไม่สวย
ดังนั้นคุณแม่หลังผ่าตัดควรใส่เสื้อผ้าหลวมๆสบายๆจะดีกว่า
การปฏิบัติตัวในช่วงหลังคลอด
ตอนนี้คุณแม่ก็คงรู้แล้วว่าหลังคลอดร่างกายเรามีการเปลี่ยนแปลงเยอะแยะมากมาย
แล้วถ้ารู้แล้วเราจะดูแล จะปฏิบัติตัวอย่างไร ...มาดูกันต่อดีกว่าครับ...
ปกติแล้วช่วงหลังคลอดคุณแม่ก็ต้องนอนอยู่ในโรงพยาบาลอีกประมาณ
2-3 วัน
เพราะภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นถ้ามันจะเกิดก็มักจะเกิดใน 3
วันแรกนี้แหละครับ ดังนั้นช่วงนี้อยู่ใกล้ๆหมอไว้เป็นดีที่สุด
นอกจากนั้นตอนอยู่โรงพยาบาลก็จะมีคุณพยาบาลคนสวยมาคอยสอนมาแนะนำวิธีอุ้มลูก
วิธีให้นมลูก วิธีอาบน้ำลูก ถ้าพลาดตอนนี้ไป รับรองเสียดายแย่เลย
ระยะหลังคลอดในโรงพยาบาล
มาดูกันตั้งแต่คลอดลูกออกไปสดๆเลยดีกว่า
...เมื่อคลอดลูก คลอดรกออกไปแล้ว ความเจ็บปวด ความทรมาน ความแน่นอึดอัด ความกลัว
ความกังวลก็หายไปเป็นปลิดทิ้งเลยทีเดียว คลอดเสร็จ..คุณหมอก็จะนำลูกน้อยตัวดี
ซึ่งก่อนหน้านี้ยังดิ้นอยู่ในท้องอยู่เลย เอามาให้คุณแม่ได้โอบกอด
ให้ชื่นชมสมกับที่รอคอยมานาน สีหน้าแววตาของคุณแม่ในตอนนี้ดูมีความสุขปลาบปลื้มที่ใครเห็นก็อดยินดีด้วยไม่ได้
เห็นหน้าเห็นตาแนะนำตัวกันเรียบร้อยแล้ว
คุณพยาบาลก็จะลองให้ลูกได้ดูดนมแม่จากเต้าสักแป๊บนึง
เพื่อเป็นการสร้างสายสัมพันธ์ของความเป็นแม่
และยังช่วยกระตุ้นให้น้ำนมไหลได้เร็วขึ้นด้วย
ช่วงที่ว่านี้คุณหมอก็จะไม่ให้เสียเวลาก็จะตั้งหน้าตั้งตาเย็บซ่อมแซมแผลฝีเย็บที่คุณหมอตัดไว้ตอนทำคลอดให้กลับเข้าที่เรียบร้อยเหมือนเดิม
เสร็จแล้วก็จะให้คุณแม่นอนพักเหนื่อยอยู่ในห้องคลอดอีกประมาณ 1-2
ชม. ช่วงนี้คุณพยาบาลก็จะมาตรวจวัดความดัน อัตราการเต้นของหัวใจ
ดูว่ามดลูกแข็งตัวดีมั๊ย มีเลือดออกทางช่องคลอดมากเกินไปหรือเปล่า
เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยดีก็จะย้ายคุณแม่กลับเข้าห้องพัก
ช่วงนี้คุณแม่ก็ยังมีอาการเหนื่อยอ่อนเพลียอยู่
ก็ควรปล่อยให้คุณแม่ได้นอนพักผ่อนให้เต็มที่อย่างน้อยสัก 4-6
ชม. เพื่อนๆหรือญาติ ๆ ก็รอไว้เยี่ยมวันรุ่งขึ้นดีกว่า
ปล่อยให้คุณแม่ได้นอนพักสบายก็จะถือเป็นความปรารถนาดีเป็นที่สุด
หลับเป็นตาย ได้พักเต็มอิ่ม
ตื่นแล้วคุณแม่อย่าเพิ่งตื่นเต้นลุกขึ้นจากเตียงทันทีทันใด
เพราะอาจมีอาการหน้ามืดเป็นลมได้ ให้ลืมตาดูรอบ ๆ ก่อน ถ้าไม่มีอาการเวียนหัวตาลาย
ก็ลุกนั่งก่อนสักครู่จึงค่อย ๆ ลุกขึ้นช้า ๆ คุณแม่บางคนที่มีอาการอ่อนเพลีย
หรือเสียเลือดมาก มักจะมีอาการหน้ามืดเป็นลมได้ง่าย
ทางที่ดีก็ควรหาใครสักคนอยู่เป็นเพื่อนด้วยจะได้ช่วยเหลือกันได้อย่างทันท่วงที
หลังคลอดใหม่ๆคุณแม่หลายคนก็จะมีอาการหนาว...วว
หนาวตัดสั่นดิกๆ ไม่ว่าจะคลอดเอง
หรือผ่าตัดคลอดก็มักมีอาการหนาวอย่างนี้เหมือนๆกัน
แล้วอาการหนาวที่ว่านี้ก็ไม่เหมือนความที่เคยหนาวมาก่อน มันไม่ได้หนาวกาย
ไม่ได้หนาวที่ผิวหนัง แต่มันหนาวในอก หนาวในกระดูก
ห่มผ้าหนายังไงก็เหมือนไม่หายหนาว ..ฟังดูแล้วท่าทางมันจะหนาวจริงๆ ความหนาวแบบนี้คุณแม่ก็เป็นกันมาตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว
คนสมัยก่อนถึงต้องมีการอยู่ไฟ ผิงไฟกอดก้อนเส้า แถมยังมีขู่อีกด้วยว่าหากไม่อยู่ไฟ
แก่ตัวเข้าจะสบัดร้อนสบัดหนาว ...ที่จริงแล้วมันก็ไม่เกี่ยวอะไรกันเลยครับ
เพราะสบัดร้อนสบัดหนาวตอนหลังหมดประจำเดือนเกิดจากการขาดฮอร์โมนในวัยทอง
อาการหนาวหลังคลอดก็เกิดจากการสูญเสียความร้อนออกมาในระหว่างการคลอด
ตอนที่ลูกอยู่ในท้อง ตัวลูกเองก็สร้างความร้อนอยู่ภายในตัวแม่
พอคลอดลูกออกมาอยู่ข้างนอกความร้อนตรงนี้มันก็เลยหายไป
อีกทั้งน้ำเกลือที่ให้ในระหว่างการคลอดก็เย็นเจี๊ยบ ให้เข้าไปทางเส้นเลือดดำ
กระจายความเย็นเข้าไปทั่วตัว
แล้วยิ่งในรายที่บล๊อกหลังก็จะยิ่งหนาวไปกันใหญ่เพราะเส้นเลือดแถวส่วนล่างของร่ายกายมันจะขยายตัว
เลือดมันก็จะมากองอยู่ที่ส่วนล่างเยอะ ส่วนบนๆเลยหนาวกว่าที่อื่นๆ
เห็นมั๊ยครับว่าความหนาวมันเกิดมาจากข้างในทั้งหมด ห่มผ้าหนาๆ
ใช้กระเป๋าน้ำร้อนก็ช่วยได้บ้าง
แต่ที่ดีสุดก็ให้ดื่มน้ำอุ่นๆค่อนร้อนหน่อยๆเยอะๆครับ จะรู้สึกดีขึ้นได้เร็ว
หลังคลอดใหม่ๆกินน้ำเย็น
น้ำผลไม้ปั่นเข้าไปรับรองได้ว่ามันจะหนาวจนเหมือนมีน้ำแข็งเกาะอยู่ที่ขั้วหัวใจ
...งดอะไรที่มันเย็นๆสัก 7 วันเป็นดีครับ
หลังจากคุณแม่ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่แล้ว
ก็ถึงบทที่ต้องฝึกหัดความเป็นแม่กันแล้ว ช่วงหลังคลอดในโรงพยาบาล คุณแม่ควรใช้เวลาให้คุ่มค่ามากที่สุด
แทนที่จะเอาแต่นอนอย่างเดียว คุณแม่ก็ควรได้ลองหัดเลี้ยงดูลูกบ่อย ๆ
เรียนรู้เทคนิคต่าง ๆ จากคุณพยาบาลที่จะคอยสอนให้ หัดให้นมลูก การอุ้มให้เรอ
การดูแลทำความสะอาดก้น การเปลี่ยนผ้าอ้อม การอาบน้ำ หัดทำให้คล่อง
ยิ่งหัดทำคุณแม่ก็จะยิ่งมีความมั่นใจมากขึ้น
เมื่อต้องกลับไปดูแลลูกน้อยด้วยตัวเองที่บ้าน
อย่าลืมให้คุณพ่อหัดช่วยดูแลลูกน้อยไปพร้อม ๆ กันด้วย
เวลากลับบ้านไปแล้วคุณพ่อจะได้มีส่วนร่วมในการดูแลลูกด้วย
เป็นการสร้างความรักความผูกพันในครอบครัวให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น
เพราะบางครั้งคุณแม่ผูกขาดทำทุกอย่างเองเสียหมด เอาแต่ทุ่มเทเวลาให้กับลูกน้อย
จนในบางครั้งคุณพ่ออาจจะรู้สึกเหมือนเป็นส่วนเกินในบ้าน เดี๋ยวเขาจะน้อยใจ
ความผิดปกติในช่วงหลังคลอด
หลังคลอด จะกี่วันกี่คืนก็แล้วแต่
ถ้ามีอะไรผิดปกติขึ้นมาก็สังเกตุกันได้ง่ายๆ หลักง่ายๆที่ผมบอกคนไข้มาทุกวันมากว่าสิบห้าปีก็มีแค่สี่ข้อเท่านั้น
หนึ่ง..ต้องไม่มีไข้ สอง..แผลต้องเจ็บน้อยลง สาม..ท้องต้องปวดน้อยลง
สี่..เลือดต้องออกน้อยลง
ไข้ต้องไม่มี
เพราะการที่มีไข้ก็แสดงว่าอาจมีบางสิ่งบางอย่างไม่ปกติ เช่น แผลอักเสบ มดลูกอักเสบ
กระเพาะปัสสาวะอักเสบ ...มีไข้ขึ้นมาก็ต้องหาสาเหตุกันก่อน
ต้องรักษาเหตุนี้ให้หายก่อน ถึงจะให้กลับบ้านได้
แต่บางครั้งนมคัดก็ทำให้มีไข้ได้เหมือนกัน
แผลต้องเจ็บน้อยลง แผลที่ปกติต้องไม่บวม ไม่แดง
ไม่เจ็บมากขึ้น ถ้าแผลบวม แผลแดง แผลเจ็บมากขึ้น นั่นก็แปลว่าแผลกำลังอักเสบ
อีกสองวันแผลก็แยกแล้วครับ
ท้องต้องปวดน้อยลง
หลังคลอดมดลูกก็จะบีบตัวเล็กลงเรื่อยๆ ยิ่งบีบก็ยิ่งเล็ก
บีบแต่ละทีก็จะปวดเหมือนปวดประจำเดือน ยิ่งลูกกินนมแม่ มดลูกก็จะยิ่งบีบ
แต่โดยรวมแล้วความปวดก็ต้องน้อยลงทุกวัน
เลือดต้องออกน้อยลง
เลือดที่ว่าก็คือน้ำคาวปลานั่นเองครับ สีต้องจางลง ปริมาณต้องน้อยลง
ถ้าเลือดสดมากขึ้น ออกมากขึ้นอย่างนี้ก็แย่หน่อยครับ
ถ้าเป็นอะไรขึ้นมาไม่ว่าจะรกค้าง ตกเลือด
แผลอักเสบ มดลูกอักเสบ อาการก็ไม่หนีสี่ข้อนี้แหละครับ
ก่อนกลับบ้านคุณหมอจะอธิบายการปฏิบัติตัวเมื่อกลับบ้าน
อาหารการกิน การบริหารร่างกาย ภาวะผิดปกติที่ต้องกลับมาพบแพทย์และคุณหมอจะนัดตรวจหลังคลอดใน
4-6 สัปดาห์ข้างหน้า แล้วที่ลืมไม่ได้
คุณหมอก็มักจะกระซิบบอกเสมอว่า มีอะไรกันได้อีกทีอีก 6
อาทิตย์นะ ...เป็นอันรู้กัน
ยาในช่วงหลังคลอด
โดยปกติในระยะหลังคลอดคุณหมอจะให้รับประทานยาแก้อักเสบ
ยาแก้ปวด และยาบำรุงเท่านั้น คุณแม่ก็ควรรับประทานอย่างต่อเนื่องเคร่งครัดจนหมด
ส่วนยาวิตามิน ยาธาตุเหล็ก ก็ควรรับประทานต่อไปอีกประมาณ 1
เดือน เพื่อช่วยเสริมสร้างทดแทนเลือดที่เสียไปในระหว่างการคลอดและช่วยฟื้นฟูร่างกายให้กลับเข้าสู่สภาวะปกติได้อย่างสมบูรณ์แข็งแรง
นอกจากนั้นคุณแม่ที่เลี้ยงลูกด้วยนมตัวเอง ก็จะเสียแคลเซียมออกทางน้ำนมไปด้วย
ทำให้คุณแม่อาจมีอาการเป็นตะคริว ฟันผุ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อได้ง่ายในช่วงหลังคลอด
ดังนั้นการรับประทานแคลเชียมเสริมก็จะช่วยชดเชยแคลเซียมที่เสียไปทางน้ำนม
และช่วยเสริมสร้างมวลกระดูกของคุณแม่ที่ลดลงในระหว่างตั้งครรภ์
คุณแม่บางคนมีอาการท้องผูกในช่วงหลังคลอด
ซึ่งอาจเกิดจากเจ็บแผลฝีเย็บ เลยไม่กล้าเบ่งเวลาถ่ายอุจจาระ
หรือจากการดื่มน้ำไม่เพียงพอก็ได้ ดังนั้นในระยะหลังคลอดคุณแม่ก็ควรดื่มน้ำให้มาก
รับประทางผักสด ผลไม้ อาหารมีกากให้เพียงพอ ที่สำคัญห้ามซื้อยาถ่าย
ยาระบายมารับประทานเอง เพราะยาบางประเภทอาจหลั่งออกมาทางน้ำนม
ทำให้ลูกที่ทานมแม่มีอาการท้องเสียได้
ในระยะหลังคลอดที่ลูกทานนมแม่อยู่
คุณแม่ควรระมัดระวังเกี่ยวกับการใช้ยาด้วย พึงระลึกไว้เสมอว่า แม่ทานยาอะไร
ลูกก็เหมือนทานยาอย่างนั้นด้วย
ระยะหลังคลอดที่บ้าน
เมื่อกลับมาบ้านแล้ว
คราวนี้คุณแม่จะต้องเลี้ยงดูลูกด้วยตัวเองแล้วครับ
คุณแม่บางคนอาจจะกลัวเลี้ยงลูกไม่เป็น
แต่สัญญชาตญาณของความเป็นแม่จะช่วยให้คุณแม่สามารถผ่านพ้นระยะนี้ไปได้อย่างไม่ยากเย็นอะไร
ยิ่งถ้าคุณแม่มีพี่เลี้ยงดี เช่น คุณแม่ของคุณแม่อีกทีคอยช่วยสอนช่วยดูอยู่
ก็จะยิ่งสบายไปกันใหญ่ บางทีคุณยายอาจแย่งเอาไปเลี้ยงเองหน้าตาเฉย
คุณแม่ก็เลยสบายไป
อย่างไรก็ตามการเลี้ยงลูกก็เป็นศิลปะอย่างนึงที่สอนกันไม่ค่อยได้
บางคนก็อาจจะทำได้ดี บางคนก็อาจจะทำไม่ได้เรื่อง เหมือนการลองผิดลองถูก
แต่คุณแม่ทุกคนก็มักจะอยากให้ลูกได้รับแต่สิ่งที่ดีที่สุด
ในปัจจุบันก็มีหนังสือคู่มือการเลี้ยงดูบุตร พิมพ์วางจำหน่ายทั่วไป
คุณแม่ลองเลือกเอาเล่มดี ๆ สักเล่ม
ไว้เป็นคู่มือประจำกายก็จะสามารถปฏิบัติเลี้ยงดูบุตรได้อย่างถูกต้อง
ไม่ต้องลองผิดลองถูกต่อไปอีก
หนังสือคู่มือเหล่านี้นอกจากจะช่วยให้คุณแม่สามารถเลี้ยงดูลูกได้อย่างมั่นใจแล้ว
ยังช่วยทำให้คุณแม่เข้าใจในพัฒนาการขั้นต่าง ๆ ของลูก
ความผิดปกติของลูกที่อาจเกิดขึ้นได้
บางทีคุณแม่อาจจะรู้มากจนคุณหมอยอมแพ้ไปเลยก็ได้
การดูแลสุขภาพโดยทั่วไปของคุณแม่ก็เป็นเรื่องสำคัญคุณแม่ควรรับประทานอาหารที่มีประโยชน์
มีคุณค่าครบถ้วนแต่ก็ควรหลีกเลี่ยงอาหารประเภทไขมัน แป้ง และของหวาน
เพราะจะทำให้คุณแม่ยิ่งอ้วนขึ้นกว่าเก่า
อาหารที่ดีในระยะหลังคลอดก็ควรเป็นอาหารที่มีโปรตีนสูง รวมทั้งผักสด ผลไม้ต่าง ๆ
รวมทั้งควรดื่มน้ำสะอาดเยอะๆด้วยครับ
ของที่ความหลีกเลี่ยงในระหว่างที่ลูกกินนมแม่ก็มีไม่กี่อย่างหรอกครับ
เช่น ชา กาแฟ โค๊ก เป๊บซี่ ยาดองเหล้าทั้งหลาย รวมทั้งผักที่มีกลิ่นแรงๆเช่น สะตอ
ชะอม ผักชี ต้นหอม คึ่นช่าย เพราะมันจะทำให้น้ำนมมีกลิ่นเหม็นเขียว
แล้วลูกก็จะไม่ยอมกินนมแม่ไปซะเฉยๆ
คุณแม่ควรให้ลูกได้ทานนมแม่อย่างน้อย 6
เดือน
วันสองวันแรกหลังคลอดอาจจะยังไม่มีน้ำนมไหลออกมาคุณแม่ก็ไม่ต้องตกใจหรือกังวลว่าจะไม่มีน้ำนมให้ลูกกินนะครับ
ต้องอาศัยเวลากันบ้าง เทคนิคสำคัญคือ พยายามให้ลูกได้ดูดนมจากอกแม่บ่อย ๆ
อย่างน้อยวันละ 6 ครั้ง ครั้งละอย่างน้อยครึ่งชั่วโมง
สลับกันทั้งสองข้าง ถ้าลูกดูดดูดแล้วหลับไปก็ต้องคอยกระตุ้นให้ดูดต่อเนื่องนานพอ
ถ้าปฏิบัติอย่างถูกต้องนมก็จะเริ่มคัดและมีน้ำนมไหลภายใน 1-2
วันต่อมา แต่บางคนก็อาจจะมาช้ากว่านี้ก็ได้ น้ำนมที่ออกมาในช่วงแรก ๆ
จะมีลักษณะเป็นสีเหลืองใส ๆ คล้ายน้ำเหลือง
อันนี้เป็นน้ำนมที่มีความสำคัญมากที่เรียกว่า “Colostrum” หรือนมน้ำเหลือง
ที่จะมี “ภูมิต้านทาน” ของแม่ถ่ายทอดไปให้ลูกด้วย
น้ำนมนี้จะช่วยให้ลูกมีถูมิต้านทานต่อเชื้อโรคที่ทำให้เกิดอาการท้องเสียได้ดีอีกด้วย
นมน้ำเหลืองนี้กจะมีอยู่ในช่วง 5 วันแรก แล้วก็จะขุ่นขาวขึ้นจนกลายเป็นน้ำนมปกติ
ช่วงที่กำลังนมคัด
โอ้โหมันใหญ่โตมโหราญจนน้องกระแต น้องแตงโมชิดซ้าย ยิ่งใหญ่มันก็ยิ่งหนัก
ยิ่งหนักมันก็ยิ่งย้วย ยิ่งย้วยมันก็ยิ่งยาน
คุณแม่ก็ต้องท่องเอาไว้ให้ขึ้นใจเลยว่า “นมคัด-นมหนัก-ยืดยาว”
ลองนึกภาพตัวเองดูสิครับว่าตอนเรากำลังสาวสะพรั่งถ้ายืนส่องกระจกดู
หัวนมก็จะชี้ตรงหน้าพอดีเป๊ะ ตอนนี้พอนมเริ่มคัด นมเริ่มย้อย
หัวนมก็เริ่มชี้ต่ำลงเรื่อยๆ ถ้าให้นมลูกแล้วไม่ใส่ยกทรงไว้ให้ดี
ไม่ถึงหกเดือนหัวนมก็จะชี้ปลายเท้าพอดี
ดังนั้นคุณแม่ก็ควรใส่ยกทรงที่อุ้มกระชับรับน้ำหนักได้ดีเอาไว้เสมอ
ใส่แล้วก็พยายามปรับให้สายบ่าสั้นลงเล็กน้อยเพื่อให้รู้สึกว่าเต้านมถูกยกกระชับขึ้น
หากสายบ่ายาวเกินไป เต้านมก็จะยานลงไปตามความหย่อนของสายบ่า
หลักสำคัญของเรื่องนี้ก็คือ การดูแลป้องกัน ดีกว่าการแก้
หากยานไปแล้วก็ไม่มียากินให้หดกลับเข้าที่ ไปผ่าตัดก็เจ็บตัว เสียตัง
แถมดูยังไงมันก็ไม่เป็นธรรมชาติ ใส่ยกทรงแบบเปิดฝาหน้า ลงทุนไม่เท่าไหร่
รับรองคุ้มค่า ผมการันตีได้เลยครับ
การตรวจหลังคลอด
หนึ่งเดือนผ่านไปเหมือนโกหก
เวลาหนึ่งเดือนที่แสนเหน็ดเหนื่อยมันช่างยาวนานเหลือเกิน
แต่ละวันที่คุณแม่สาละวนดูแลเจ้าตัวน้อย ร่างกายของคุณแม่ก็มีการฟื้นฟูสภาพให้กลับสู่สภาพปกติในเวลาเดียวกัน
โดยมากแล้วคุณหมอจะนัดคุณแม่มาตรวจอีกครั้ง 4-6
สัปดาห์หลังคลอด เพื่อตรวจดูว่าอวัยวะภายในต่างๆ
กลับเข้าสู่ภาวะปกติเข้าที่เข้าทางดีแล้วหรือยัง
การตรวจหลังคลอดคุณหมอก็จะดูว่าแผลฝีเย็บหรือแผลผ่าตัดว่ายังเจ็บหรือเปล่า
มีปัญหาอะไรมั๊ย ดูน้ำคาวปลาว่าหมดหรือยัง มีตกขาวผิดปกติอะไรหรือเปล่า
ดูปากมดลูกว่าปิดแล้วหรือยัง รวมทั้งตรวจหามะเร็งปากมดลูกด้วยเลยในคราวเดียวกัน
หลังจากนั้นก็จะตรวจภายในคลำดูว่ามดลูกหดเล็กลงเข้าทีดีแล้วหรือยัง
มีเจ็บมีอักเสบตรงไหนหรือเปล่า ปีกมดลูกมีซีสต์มีเนื้องอกอะไรหรือเปล่า
ตรวจเสร็จเรียบร้อยก็นัดฟังผลเช็คมะเร็งในหนึ่งสัปดาห์...แล้วท้องหน้าค่อยกลับมาเจอกันใหม่
แต่อย่างไรก็ตามก็ควรตรวจภายในเช็คมะเร็งอย่างน้อยปีละครั้ง
สุดท้ายก็ต้องเตรียมตัวกลับไปเป็นภรรยาที่ดี
เพราะอีก2 สัปดาห์หน้าก็จะเริ่มมีอะไรกันได้
ก็เลยต้องมาวางแผนการคุมกำเนิดกันก่อน
ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวลูกยังไม่ทันจะสามเดือนก็ท้องอีกแล้ว
จะคุมวิธีไหนก็คงต้องพิจารณาเป็นรายๆไป ก็อย่าลืมคุมซะให้เรียบร้อยนะครับ
...ไม่ได้มีอะไรกันมานาน เชื้อมันอัดอั้นคัดเป่งจนแทบล้นออกมาทางจมูก เปิดปุ๊บ..ติดปั๊บมีเยอะแยะไป
เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน/.
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น