หลังคลอด...คุมกำเนิดยังไงดี

 





"มีลูกหัวปีท้ายปีเลยนะ!"

 

ถ้าได้ยินใครทักกันอย่างนี้ สมัยก่อนก็ถือเป็นคำชม มันมีความหมายว่า นายแน่มาก!...แล้วเขาก็กำลังชื่นชมยินดีกันเรา ทำลูกทำหลานเอาไว้เยอะๆจะได้ช่วยกันทำมาหากิน อีกหน่อยคงรวยแน่ ...ใครชมกันแบบนี้ก็นั่งยิ้มแก้มแทบปริ

 

แต่ถ้าได้ยินคำนี้สมัยนี้ นั่นก็แปลว่า เขากำลังค่อนขอด..เป็นห่วงว่ามีลูกเยอะๆติดกันอย่างนี้จะเลี้ยงไหวเหรอ ไหนจะค่านม ค่าโน่นค่านี่ ค่าเทอม ค่าแป๊ะเจี๊ย อีกหน่อยคงจนแน่ หรือไม่เขาก็กำลังพูดแบบประชดประชันอยู่นิดนึง ว่าอีตานี่วันๆไม่ทำอย่างอื่นกันบ้างหรือไง วันๆคงเอาแต่หมกมุ่นอยู่แต่เรื่องอย่างว่า ถึงได้ท้องเอาท้องเอา หัวปีท้ายปี

 

สมัยก่อนคนเราก็มักจะชอบมีลูกกันเยอะๆ ดูคุณย่าคุณยายของเราสิ มีลูกกันทีเก้าคนสิบคน ไม่รู้ทำกันได้ยังไง? คนแรกนี่คงต้องเบ่งกันแทบเป็นแทบตาย แต่คนสุดท้ายฮัดเช้ยทีเดียวก็หลุดออกมาคว้าขาไว้แทบไม่ทัน สมัยนั้น ไฟฟ้าก็ยังมีใช้แค่ในเขตเมืองเท่านั้น ทีวีก็ยังมีดูไม่ทุกบ้าน หนังไทยน้ำเน่าก็ยังไม่ฮิต หนังเกาหลียิ่งไม่มีใครรู้จัก ยูบีซีอะไรมันก็ไม่มีให้ดู พอฟ้ามืดตะวันตกดิน ก็ไม่รู้จะไปทำอะไร ไม่มีอะไรให้ดู ไม่มีอะไรให้เล่น ก็เลยต้องเล่นของที่อยู่ข้างๆ ตัวนี่แหละ สมัยนั้นยาคงยาคุมอะไรมันก็ไม่มี..มันก็เลยท้องเอา..ท้องเอา ลูกยังไม่ทันคลานเลย แม่ก็ท้องซะอีกแล้ว ...เฮ้อเหนื่อยแทน

 

สมัยก่อนสังคมมันอยู่ง่าย ยิ่งลูกเยอะก็ยิ่งดีจะได้ช่วยกันทำมาหากิน ช่วยกันเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ เลี้ยงก็ไม่ยาก ปล่อยวิ่งเล่นโทงๆ ไปเดี๋ยวมันก็โตเอง เรียนก็สบาย ส่งเรียนที่วัดข้างบ้าน ค่าเล่าเรียนก็ไม่ต้องเสีย แปะเจี๊ยก็ไม่ต้องจ่าย มีลูกอีกกี่คนก็ไม่ค่อยจะเดือดร้อน ..นี่ถ้าเกิดมาสมัยก่อนกะว่าจะมีเมียซักสาม มีลูกซักโหลเหมือนกัน

 

มาถึงเดี๋ยวนี้ เราเน้นคุณภาพกันมากกว่าปริมาณ มีลูกกันแต่ละคนดูมันลำบากกันเหลือเกิน ไหนจะต้องไปตรวจร่างกายก่อนตั้งครรภ์ ฉีดวัคซีนโน่น ป้องกันนี่ ต้องไปอบรมเตรียมพร้อมให้ลูกมันฉลาดตั้งแต่อยู่ในครรภ์ ต้องไปฝากท้อง ตรวจกันแล้วตรวจกันอีกกว่าจะคลอดออกมาได้ พอคลอดแล้วก็ต้องรีบไปธนาคารเปิดบัญชีเพื่อการศึกษา เอาเงินฝากเดือนละห้าพัน พอถึงวัยเข้าโรงเรียน เงินในบัญชีที่เก็บมาตั้งนานก็ยังไม่พอค่าแปะเจี๊ยเลยครับ! นี่ยังไม่นับบางโรงเรียนที่คุณพ่อคุณแม่ต้องไปบริการรับใช้ก่อนล่วงหน้าสองปีนะครับ รับหรือไม่รับก็ยังไม่รู้เลย พอลูกโตขึ้นมาหน่อยก็ต้องไปเรียนพิเศษ เรียนโน่นเรียนนี่ มีลูกแต่ละคนกว่าจะเลี้ยงจนโตไม่รู้หมดแรงกายแรงใจไปซักแค่ไหน

 

แต่คุณแม่บางคนก็บ่ยั่น อยากมีลูกติดๆ กันไปเลย เลี้ยงทีเดียว เหนื่อยทีเดียว เดี๋ยวแก่ไปกว่านี้จะเลี้ยงไม่ไหว เลยเป็นเหตุสงสัยต้องมาเล่าสู่กันฟังว่าจะต้องเว้นช่วงเท่าไหร่มันถึงจะดี

 

หลังคลอดพร้อมท้องใหม่ได้ไม่ยาก

 

มาดูกันเรื่องเครื่องเคราข้างในของผู้หญิงกันก่อนดีกว่า ว่ากว่ามันจะฟื้นตัวมาใช้งานได้อีกทีต้องใช้เวลาสักแค่ไหน ปกติพอคลอดแล้วมดลูกจะหดเล็กลงจนเหลือเท่าขนาดปกติเหมือนตอนไม่ท้อง หรือเรียกกันง่ายๆว่า เข้าอู่สนิทก็ต้องใช้เวลากว่า 6 สัปดาห์ครับ จะว่าไปแล้วมดลูกผู้หญิงเราก็เป็นอวัยวะมหัศจรรย์ทีเดียว ตอนท้องแก่มันขยายป่องขึ้นมาขนาดโตเท่าหม้อหุงข้าวเลยล่ะ พอคลอดแล้วเผลอแป๊บเดียวมันก็หดเล็กลงเหลือเท่าไข่เป็ด นี่ยิ่งถ้าลูกไม่ได้กินนมแม่ด้วยนะ มดลูกก็จะกลับมาทำงานของมันตามปกติ มีประจำเดือนครั้งแรกภายใน 6-8 สัปดาห์ นั่นแปลว่ามีไข่ตกสามารถตั้งท้องต่อไปได้เลยภายใน 4-6 สัปดาห์หลังคลอดเลยทีเดียว

 

เห็นหมอบอกว่า ยุ่งกันได้ตอนหลังคลอด 6 สัปดาห์ ก็อย่าชะล่าใจ “เปิดปุ๊บติดปั๊บ” ก็มีให้เห็นเยอะแยะไป แล้วจากสถิติโลกเท่าที่มีบันทึกกันไว้ คุณแม่สามารถตั้งครรภ์ได้แม้ว่าเพิ่งจะคลอดลูกผ่านไปได้เพียงแค่ 21 วันที่แล้วเท่านั้นเอง ถ้าอยากทำลายสถิติโลกบ้าง ก็น่าลองดูเหมือนกันนะ

 

แต่ถ้าลูกกินนมแม่อยู่ ฮอร์โมนของการสร้างน้ำนมก็จะเป็นตัวยับยั้งไม่ให้มีการตกไข่ เมื่อไม่มีไข่ตกก็เลยไม่มีประจำเดือนมา แต่ด้วยว่าบางคนก็ให้ลูกกินนมแม่เยอะ บางคนกินนมแม่น้อย บางคนให้กินนมแม่อย่างเดียว บางคนก็มีนมขวดแถมบ้าง บางทีมีคนอื่นแย่งกินบ้าง ฮอร์โมนที่ใช้สร้างน้ำนมก็เลยไม่แน่ไม่นอนในแต่ละคน คุณแม่บางคนลูกกินนมแม่บ้าง นมขวดบ้าง ก็อาจมีประจำเดือนในเดือนที่สองหลังคลอดเลยก็ได้ แต่บางคนก็อาจให้นมแม่อย่างเดียวล้วนๆ กว่าประจำเดือนจะมาอาจนานไปถึง 18 เดือนโน่นเลยก็มี แล้วคนที่ให้ลูกกินนมแม่อยู่ ประจำเดือนมักจะมาห่างกว่าคนที่ไม่ได้ให้ลูกกินนมแม่อีกด้วย

 

ถ้าหากว่าให้ลูกกินนมแม่อยู่ แล้วยังไม่ได้คุมกำเนิดด้วยวิธีใดๆอีกด้วย อีกทั้งสามีก็ยังขยันขันแข็งทำการบ้านเหมือนเดิมไม่มีขาดตกบกพร่อง เชื่อหรือเปล่าครับว่า ภายใน 1 ปี จะมีถึง 1 ใน 4 เลยทีเดียวที่ท้องทั้งๆที่ให้ลูกกินนมแม่อยู่ แล้วในรายที่ท้องนั้นพบว่ามี 1 ใน 4 ที่ท้องอีกทีโดยประจำเดือนยังไม่มาเลยแม้ครั้งเดียว

 

เห็นมั้ยครับว่าที่บอกกันมาว่า ถ้าให้ลูกกินนมแม่อยู่ แล้วประจำเดือนไม่มา ยุ่งกันแล้วคงไม่ท้องถือเป็นการคุมกำเนิดในตัวมันก็ชักจะไม่ชัวร์แล้ว เผลอให้คุณพ่อกินนมแป๊บเดียว เผลอติดลมไปนิดเดียว ก็ท้องไปแล้วตั้งหนึ่งในสี่เชียวแน่ะ นี่ถ้ายังเหนื่อยเลี้ยงลูกเล็ก แล้วยังไม่อยากจะท้องอีกก็อย่าเผลอเชียวนะครับ ต้องคุมให้เป็นเรื่องเป็นราว อย่าได้ชะล่าใจเป็นอันขาด ...ตัวอสุจิมันไม่เคยปราณีใครหรอกครับ

 

แล้วถ้าจะเว้นช่วงบ้าง จะเว้นระยะห่างแค่ไหนดีล่ะ?

 

ก็แล้วแต่ว่าครอบครัวเล็ก หรือครอบครัวใหญ่ เลี้ยงเอง หรือ มีคนช่วยเลี้ยง ถ้าเป็นครอบครัวเล็กๆ อยู่กันสามคน พ่อ แม่ ลูก ต้องเลี้ยงเองเช้าสายบ่ายค่ำ อย่างนี้ก็คงต้องเว้นอย่างน้อยสองปีขึ้นไปครับ ...กะว่าพอลูกโตเข้าโรงเรียนอนุบาลปั๊บก็คลอดคนที่สองพอดี กลางวันแม่ก็เลี้ยงตัวเล็กไป พอพ่อกลับจากทำงานก็ช่วยเลี้ยงคนโตด้วยอีกคน ทนลำบากสักครึ่งปี พอลูกโตหน่อยก็สบายแล้วครับ

 

คนที่อยากมีลูกติดๆ กันส่วนใหญ่พวกนี้จะเกิดมาสบายครับ ที่ว่าสบายก็เพราะมักจะมีคนมาช่วยเลี้ยงช่วยดูลูกให้ ปู่ย่าตายายแห่กันมาช่วยเลี้ยง อย่างนี้ก็สบาย คลอดเสร็จปั๊บก็แทบไม่ต้องกระดิกเลย คุณย่าคุณยายทำให้ทุกอย่าง ยิ่งเป็นหลานคนแรกก็ยิ่งเห่อไปกันใหญ่ จนไม่รู้ว่าเป็นลูกใครกันแน่ เลยไม่เข็ด พอมีเวลาก็ไม่รอช้ารีบๆ ทำลูกมาให้คุณย่าคุณยายเลี้ยงต่อ ทิ้งไว้ห่างเกินไปเดี๋ยวท่านจะไม่อยู่ช่วยเลี้ยงซะก่อน อย่างนี้เขาเรียกว่าไม่ได้เป็นคนลำบากเลี้ยงลูกเอง ลองให้มาเลี้ยงเองสิครับ รับรองไม่อยากมีติดๆ กันหรอก

 

คุณแม่บางคนบ้านดั้งเดิมก็อยู่ต่างจังหวัด ตัวเองมาทำงานกรุงเทพ พอคลอดลูกแล้วก็เลี้ยงเองได้แค่สามเดือน หมดวันลาแล้วก็ไม่รู้จะให้ใครมาเลี้ยงต่อดี จ้างพี่เลี้ยงมาก็ไม่ไว้ใจ แถมค่าใช้จ่ายก็เยอะ สุดท้ายก็เลยต้องส่งลูกกลับบ้านเก่า ไปอยู่กับย่า กับยาย สบายใจไว้ใจได้ แถมบางทีเลี้ยงให้ฟรีๆไม่เสียค่าใช้จ่ายอะไรอีก อย่างนี้อยากท้องเร็วก็ท้องไป แต่ถ้าติดกันเกินไป ร่างกายยังอาจไม่ฟื้น มดลูกอาจยังไม่เข้าอู่ดี ท้องติดกันเกินไปก็อาจเป็นผลเสียต่อสุขภาพเหมือนกัน ถ้าอยากท้องเร็วกันสุดๆ เว้นสัก 6 เดือนขึ้นไปน่าจะดีกว่าครับ

 

แต่ก็มีให้เห็นกันบ่อยๆ ที่เพิ่งผ่าท้องคลอดไปเห็นหน้ากันหลัดๆ อีก 3 เดือนต่อมาก็ท้องมาอีกแล้ว ตอนแรกคุณแม่ก็กังวลกลัวแผลจะยังไม่หาย กลัวมดลูกจะแตก..ก็ไม่เคยมีรายงานมีบันทึกทางการแพทย์ที่ไหนบอกไว้เลยครับว่ามดลูกแตกจากการท้องติดกันเกินไป เพราะ กว่าเด็กจะโต กว่ามดลูกจะขยาย เวลาก็ผ่านเลยครึ่งปีไปแล้ว ตอนนั้นมดลูกก็คงแข็งแรงพอแล้วครับ

 

คุณแม่ที่อายุมาก กว่าจะหาสามีได้สำเร็จก็อายุปาเข้าไปซะเยอะแล้ว พอจะมีลูกถึงได้รู้ว่าอายุชักจะมากเกินไปเสียแล้ว พอมีลูกไปคนนึงก็เลยไม่อยากเว้นนาน ยิ่งอายุมากขึ้น โอกาสเกิดปัญญาอ่อนในเด็กก็สูงขึ้นตามไปด้วย รีบๆมีลูกต่อต่อกันไปเลยนี่แหละจะได้ไม่อายุมากเกิน เหนื่อยทีเดียว แก่แล้วจะได้สบาย

 

สรุปแล้วพวกที่อยากมีลูกติดๆ กันไปเลยก็มีไม่กี่จำพวกหรอกครับ พวกแรกก็พวกเผลอท้องไม่ทันคุม พวกที่สองก็พวกเข้าใจผิดคิดว่าแย่งลูกกินนมแล้วจะไม่ท้อง พวกที่สามก็พวกคลอดแล้วให้คนอื่นเลี้ยง พวกที่สี่ก็พวกท้องตอนอายุมาก

 

มีลูกติดๆกันเกินไป หัวปีท้ายปี ก็มีข้อเสียเยอะพอสมควร ทั้งในแง่สุขภาพร่างกาย สุขภาพของมดลูก เพราะบางทีร่างกายยังไม่ได้ฟื้นตัวจนแข็งแรง ก็ท้องต่ออีกแล้ว รู้ตัวว่าลูกดกก็คงต้องดูแลเอาใจใส่ตัวเองมากกว่าเก่า ดูแลเอาใจใส่ตัวเองอย่างเดียวก็คงยังไม่พอนะครับ มีลูกติดๆกันก็ต้องดูแลเอาใจใส่ลูกให้ดีด้วย เพราะมีลูกติดกันเกินไป ก็อาจไม่มีเวลาในการดูแลเขาให้ดีพอ เดี๋ยวจะมีแต่ปริมาณ แต่ไม่มีคุณภาพ นอกจากนั้นก็ต้องวางแผนเรื่องเงินเรื่องทองให้ไหลลื่นกว่าเก่า เพราะอยู่ๆก็มีคนออกมาช่วยกันใช้เงินเพิ่มขึ้นมาอีกสองคน มีใครบางคนเขาบอกว่า “มีลูกหนึ่งคน จนไปเจ็ดปี” มีลูกติดๆกันสองคนคงต้องจนต่อไปอีกหลายปี...เฮ้อ! กลุ้มใจแทน

 

แต่มีลูกติดๆกันก็มีข้อดีเหมือนกันนะครับ คุณแม่ลูกดกก็มักจะบอกว่า มีมันทีเดียวไปเลย เลี้ยงทีเดียว เหนื่อยทีเดียว เผลอแป๊บๆเดี๋ยวก็โตแล้ว แล้วลูกที่อยู่ในวัยใกล้เคียงกัน โตมาด้วยกัน เล่นมาด้วยกัน ก็มักจะสนิทสนมกันมากกว่าพี่น้องที่วัยห่างกันมากๆ วัยที่ใกล้กันเวลาโตขึ้นมาก็เป็นทั้งพี่น้อง เป็นทั้งเพื่อนที่คอยดูแลให้คำปรึกษากันได้ เกิดเป็นพ่อแม่ก็ต้องรู้นะครับว่าเรื่องบางเรื่องเด็กก็ไม่ปรึกษาพ่อแม่หรอก เรื่องเล็กเรื่องน้อยก็ต้องคุยกับเพื่อนก่อนเป็นคนแรก ยกเว้นแต่ถ้าเป็นเรื่องเงินแล้วนี่แหละถึงกลับมาหาเรา

 

ถ้ายังไม่พร้อมก็ต้องคุมกำเนิดกันให้ดี คุณแม่หลายคนก็บอก ...ไม่มีหรอกค่ะ กะว่าอีกครึ่งปีหน้าถึงจะยุ่งกัน พูดแบบนี้ก็เห็นไม่รอดสักราย เพราะคุมกำเนิดมันก็คุมกันได้ แต่คุมกำหนัดนี่สิมันยากกว่า ก็คงต้องเห็นใจคุณสามีด้วยเหมือนกัน ตั้งแต่ท้อง จนหลังคลอดก็ไม่ได้มีส่วนร่วมอะไรสักอย่าง แถมหลังคลอดอะไรต่ออะไรมันก็ดูเต่งตึงใหญ่โตกว่าปกติ ก็อดที่จะอยากลองดูไม่ได้ ...สุดท้ายก็ไปไม่รอดสักราย ดังนั้นอย่าคิดเลยครับว่าอีกสามเดือน หกเดือนถึงค่อยมีอะไรกัน พอครบหกสัปดาห์หลังคลอดปั๊บเป็นเสร็จแน่นอน คุณสามีเขาแอบนับเอาไว้รอเรียบร้อยแล้ว

 

คุณแม่หลายคนก็ให้ลูกกินนมแม่ ก็สามารถเลือกใช้วิธีคุมกำเนิดได้เกือบทุกชนิด ยกเว้นยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวมเพราะจะทำให้น้ำนมมีคุณภาพด้อยลง ปริมาณน้ำนมก็น้อยลงด้วย แต่ก็สามารถใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดที่มีส่วนประกอบเป็นฮอร์โมนโปรเจสโตเจนอย่างเดียวได้ หรืออาจฉีดยาคุมกำเนิด หรือ ใส่ห่วงคุมกำเนิดได้โดยไม่มีผลต่อการให้นมลูกแต่อย่างใด

 

แต่ถ้าลูกกินนมแม่ไม่สำเร็จ หรือ ลูกกินจนเบื่อไปแล้ว ต้องหย่านมเพื่อไปทำงานแล้ว ถึงตอนนั้นก็สามารถเลือกวิธีคุมกำเนิดได้อย่างอิสระเสรี แต่อย่างไรก็ตามการเลือกวิธีคุมกำเนิดครั้งแรกๆก็ควรไปปรึกษาคุณหมอดีกว่า เพราะผู้หญิงแต่ละคนก็อาจจะเหมาะสมกับยาคุมแต่ละชนิดไม่เหมือนกัน การใช้ชีวิตของผู้หญิงแต่ละคนก็เหมาะสมกับยาคุมแต่ละชนิดไม่เหมือนกัน

 

คุณแม่ค้าขาย วันๆก็ยุ่งมากๆ กลับบ้านก็ดึกแล้ว ถึงเตียงก็หลับ มามีอะไรกันก็มักจะตอนตื่นนอนเช้า (ภาษาชาวบ้านเขาเรียกว่า ล้างหน้าไก่) ถ้าชีวิตเป็นแบบนี้ ถ้าให้กินยาคุมก็ไม่มีทางสำเร็จ เผลอแป๊บเดียวก็ท้องอีกแล้วครับ เพราะกลับมาเหนื่อยๆขึ้นเตียงก็หลับ ยาคุมก่อนนอนก็มีอันต้องลืมกินทุกที ...กินยาคุมก็มักไม่เวิร์ค ถ้าเป็นแบบนี้ฉีดยาคุม หรือจะใส่ห่วงจะดีกว่า เพราะไม่ต้องจำ ไม่ต้องสนใจอะไรมาก

 

คุณแม่ที่ทำงานสำนักงาน ทำงานราชการ ชีวิตเป็นวงจรซ้ำๆกันทุกวัน ทำงาน กลับบ้าน กินข้าว อาบน้ำ นอน แบบนี้กินยาคุมก็น่าจะไหว

 

คุณแม่ที่เป็นแอร์โฮสเตส ต้องบินไปบินมา เวลาในแต่ละวันก็ไม่เท่ากัน จะนอน จะตื่น เวลาก็ไม่แน่นอน แบบนี้กินยาคุมคงไม่ดีแน่ เพราะยาคุมต้องกินตรงเวลาทุกๆวัน แต่จะให้ฉีดยาคุมก็ไม่ไหว เพราะยาคุมแบบฉีดมักจะทำให้เกิดปัญหาประจำเดือนมากระปริดกระปรอยไม่แน่ไม่นอน ประจำเดือนอาจจะมากลางอากาศแบบไม่คาดฝันได้ เดี๋ยวผู้โดยสารจะตกใจหมด แถมแอร์โฮสเตสส่วนใหญ่ก็ต้องบินไปบินมา อยู่บ้านน้อย ก็เลยใช้งานน้อย ถ้าประจำเดือนมาสม่ำเสมอดี คุมธรรมชาติ หรือนับวันน่าจะดีที่สุด ...ทำอะไรทีก็ต้องลุ้นทุกที อย่างนี้มันตื่นเต้นดี เหมาะกับคนที่นานๆจะเจอกันที

 

เห็นมั๊ยล่ะครับว่าจะเลือกวิธีคุมกำเนิดแบบไหน ..ลองปรึกษาคนที่ชำนาญเรื่องนี้ก่อน รับรองไม่ผิดหวังแน่

 

แล้วทางเลือกต่างๆในการคุมกำเนิดมีอะไรบ้าง มาดูกันเลยครับ...

 

ยาเม็ดคุมกำเนิด 

การกินยาคุมกำเนิด ก็เป็นวิธีการคุมกำเนิดที่เป็นที่นิยมแพร่หลายมากที่สุด มีความปลอดภัยสูง อาการแทรกซ้อนต่ำ มีประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดดี ถ้ากินอย่างสม่ำเสมอ แถมยังหาซื้อง่าย ค่าใช้จ่ายน้อย แถมยาคุมเดี๋ยวนี้บางตัวก็มีฤทธิ์ต้านฮอร์โมนเพศชาย ซึ่งสามารถช่วยลดภาวะสิว ผิวมันในสตรีที่มีปัญหาเหล่านี้ได้ด้วย บางตัวก็ทำให้หน้าอกหน้าใจแข็งเต่งตึงผิดหูผิดตา จนสาวประเภทสองต้องแอบเอายาคุมไปกินจะได้มีหน้าอกแบบผู้หญิงแท้ๆ

 

แต่ยาเม็ดคุมกำเนิดก็มีข้อเสียด้วยเหมือนกัน มีหลายคนที่กินยาคุมแล้วมีอาการคลื่นใส้อาเจียน กินแล้วปวดหัว กินแล้วอ้วนบวม ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบได้บ่อยในคนที่กินยาคุม ถ้าเรียกกันภาษาชาวบ้านหน่อย เขาก็เรียกกันว่า “แพ้ยาคุม” ซึ่งก็มักพบในยาคุมที่มีปริมาณฮอร์โมนสูง เปลี่ยนยาคุมที่มีปริมาณฮอร์โมนน้อยลง บางรายก็อาจจะดีขึ้น แต่ยาคุมชนิดที่มีฮอร์โมนต่ำกินแล้วก็อาจจะมีปัญหาเรื่องเลือดออกกระปริดกระปรอยได้ในบางราย

 

คุณแม่บางคนที่มีโรคประจำตัวบางอย่าง เช่น ปวดหัว ไมเกรน โรคตับ หรือเนื้องอกของเต้านม เนื้องอกของระบบสืบพันธุ์ก็ไม่ควรกินยาคุม เพราะฮอร์โมนจากยาคุมก็อาจจะทำให้เนื้องอกโตขึ้นได้

 

การกินยาคุมก็ควรกินอย่างสม่ำเสมอ กินเวลาเดียวกันทุกวัน เพราะยาคุม1 เม็ดก็จะออกฤทธิ์ไม่เกิน 24 ชม. เพื่อป้องกันการสะสมในระยะยาว ดังนั้นการกินไม่ตรงเวลา การลืมกินยาคุมเกิน 2 วัน ก็อาจเป็นเหตุให้พลาดตั้งครรภ์ได้ง่ายๆ

 

คุณแม่ที่กินยาคุมก็มีโอกาสพลาดตั้งครรภ์ได้ประมาณ 4%ต่อปี แปลว่า คุณแม่ 100 คนที่กินยาคุม ใน 1 ปีก็จะมีคุณแม่ที่พลาดท้องไป 4 คน ที่พลาดท้องขึ้นมาก็ไม่ใช่เพราะยาคุมมันไม่ดีนะครับ แต่ที่พลาดก็มักเกิดจากตัวคุณแม่เองเสียมากกว่า ลืมบ้าง กินไม่ต่อเนื่องบ้าง กินๆหยุดๆบ้าง นี่แหละที่เป็นเหตุให้พลาดท้อง ถ้ากินอย่างถูกต้อง สม่ำเสมอ ผลการคุมกำเนิดก็เกือนร้อยเปอร์เซนต์เลยครับ

 

ฉีดยาคุมกำเนิด

 

การฉีดยาคุมก็เป็นทางเลือกในการคุมกำเนิดเป็นอันดับสองรองจากการกินยาคุม เหมาะสำหรับคุณแม่ขี้ลืมที่กลัวจะกินยาคุม และยังเหมาะสำหรับคุณแม่ที่ให้ลูกกินนมแม่อยู่ เนื่องจากไม่มีผลต่อคุณภาพ และปริมาณของน้ำนม แถมยังไว้ใจได้โอกาสพลาดน้อยมาก พลาดแค่ 2 รายใน 1000 คนใน 1 ปี ...ยาฉีดคุมกำเนิดจะเริ่มฉีดตอนมาตรวจหลังคลอด หรือใน 4 สัปดาห์หลังคลอด ฉีดช้ากว่านี้ก็ไม่ดี เพราะในรายที่คุณแม่ไม่ได้ให้ลูกกินนมแม่ อาจมีไข่ตกเร็วเกินคาดก็ได้ เดี๋ยวจะฉีดยาคุมไม่ทัน โดนฉีดอย่างอื่นท้องไปเสียก่อน ฉีดยาคุมแต่ละครั้งก็สามารถคุมกำเนิดได้นาน 12 สัปดาห์ ฉีดครั้งต่อไปก็ควรฉีดตามกำหนดที่คุณหมอนัด ถ้าลืมหรือไม่ว่างก็ไม่ควรเกินนัดไปกว่า 14 วัน

 

คุณแม่ที่ฉีดยาคุมก็อาจมีปัญหาประจำเดือนมาไม่เป็นปกติ โดย 50 เปอร์เซนต์ จะไม่มีประจำเดือนมาเลย อย่างนี้ก็แห้งสบายตัว แถมประหยัดค่าผ้าอนามัยไปได้เยอะ เก็บเงินไว้ซื้อนมให้ลูกกินได้สบาย แต่ก็มีอีก 25 เปอร์เซนต์ ที่อาจจะมีประจำเดือนมากระปริดกระปรอยตลอด จะมีประจำเดือนมาเมื่อไหร่ก็เอาแน่ไม่ได้ หรือบางทีอาจจะมาทั้งเดือนก็ได้ ภาษาชาวบ้านก็จะบอกว่า “แพ้ยาคุม” ถ้าเลือดออกนิดๆหน่อยๆพอยอมรับได้ก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้าออกมากออกนานจนเซ็ง ก็เปลี่ยนไปคุมวิธีอื่นดีกว่า ...แต่ก็ยังมีคุณแม่อีก 25 เปอร์เซนต์ที่ประจำเดือนมาเป็นปกติ อย่างนี้ก็สบายไป

 

สำหรับคุณแม่ที่ฉีดยาคุมแล้วไม่มีประจำเดือนมา หลังหยุดฉีดไปแล้วก็ต้องใช้เวลาอีกประมาณ 4-6 เดือน กว่าจะมีประจำเดือนกลับมาเป็นปกติ ...

 

มีหลายคนชอบบอกว่าฉีดยาคุมแล้วอ้วน แต่ที่จริงคนที่ฉีดยาคุมแล้วผอมแห้งก็มีเยอะแยะไป แต่ถึงแม้ไม่ได้ฉีดก็มีคุณแม่ที่หุ่นไม่ยุบตั้ง 1 ใน 4 ของทั้งหมดอยู่แล้ว อย่างนี้บอกได้เลยครับว่า ยาคุมเป็นแพะ ตัวเองกินเยอะเอง ไม่ออกกำลังกายเอง พออ้วนขึ้นมาก็โทษยาคุมไว้ก่อน ...ไม่เห็นโทษปากตัวเองสักที!

 

ข้อเสียของยาคุมฉีดอีกอย่างที่คุณแม่บางคนอาจรับไม่ได้ก็คือ ฉีดยาคุมแล้วไม่ควรโดนแดดจัดๆ เพราะเม็ดสีมันจะไวแสงมากขึ้น โดนแดดแล้วเป็นฝ้าขึ้นง่าย ถ้าจะออกแดดจริงๆก็ต้องเตรียมแว่นตาใหญ่ๆแบบใส่ทีเดียวปิดได้ทั้งหน้าอย่างนั้นเลย

 

ยาคุมกำเนิดชนิดฝัง

 

ยาคุมชนิดฝัง ตัวเนื้อยาจริงๆก็เป็นยาเดียวกันกับยาคุมแบบฉีด แต่แทนที่จะฉีดทุก 3 เดือนก็เอายานี้มาบรรจุหลอดฝังไว้ใต้ท้องแขนท่อนบน ตัวยาก็จะค่อยๆปล่อยออกมามีผลคุมกำเนิดได้นาน 5 ปี พอครบ 5 ปีแล้วก็ต้องผ่าเอาที่นี้ออก

 

เนื่องจากมันเป็นยาคุมแบบเดียวกับยาฉีด ผลของมันก็เลยคล้ายๆกัน ประจำเดือนมาไม่ปกติเหมือนกัน ดังนั้นถ้าคิดจะฝังยาคุมจริงๆก็ควรเคยฉีดยาคุมมาก่อน ฉีดแล้วชอบ ถึงจะขี้เกียจฉีดยาทุกสามเดือน ฝังยามันยาว 5 ปีซะเลย หมดเรื่องหมดราว ฉีดยาคุมแล้วไม่ชอบก็อย่าริมาฝังยาป็นอันขาด ฉีดยาคุมยังเปลี่ยนใจได้ทุก 3 เดือน แต่ฝังยากว่าจะเปลี่ยนใจได้อาจต้องรอถึง 5 ปีก็ได้นะ

 

ห่วงคุมกำเนิด

 

ใส่ห่วง แล้วหายห่วง ก็น่าจะจริงนะครับ เพราะใส่ห่วงแล้วก็ไม่ต้องสนใจอะไรมันเลย แค่ไปตรวจภายใน ตรวจห่วงตามที่คุณหมอนัดก็พอแล้ว ไม่ต้องมีการดูแลรักษาอะไรเป็นพิเศษตลอดอายุการใช้งาน ไม่ต้องกิน ไม่ต้องฉีด ยุ่งกันได้ตามสบาย โอกาสพลาดก็พอๆกับยาคุมแบบฉีด ห่วงคุมกำเนิดเป็นพลาสติกซิลิโคน แกนกลางจะมีขดลวดทองแดงพันอยู่ คุณหมอจะสอดเข้าไปในมดลูกผ่านทางช่องคลอด เอาไปใส่เองที่บ้านเองไม่ได้ จะใส่กันในช่วง 6 สัปดาห์หลังคลอดเมื่อมดลูกเล็กลงเท่าขนาดปกติแล้ว การใส่ห่วงแต่ละครั้งก็จะใช้ได้นานประมาณ 5 ปี ใส่กันจนลืมไปเลยครับ

 

การใส่ห่วงก็มีข้อเสียบ้างเหมือนกัน เพราะบางรายก็อาจมีประจำเดือนมามากกว่าปกติได้ และอาจมีเลือดออกในระหว่างรอบได้ บางรายก็อาจมีอาการปวดประจำเดือนมากกว่าเดิมได้ แต่อาการเหล่านี้ก็มีนิดๆหน่อยๆไม่ชัดเจนจนถึงผิดปกติอะไร

 

ห่วงคุมกำเนิดชนิดที่มีฮอร์โมน

 

จากการที่ใส่ห่วงคุมกำเนิดแล้วสบายไร้กังวล ใช้ได้ระยะยาว แต่มีปัญหาตรงที่ประจำเดือนมามาก หรือมากระปริดกระปรอย ก็เลยมีการพัฒนาห่วงแบบใหม่ขึ้น เหมือนเอาห่วงคุมกำเนิดมาผสมกับยาฝังคุมกำเนิดอย่างนั้นเลย แทนที่แกนกลางจะเป็นทองแดงเหมือนห่วงปกติ ของใหม่จะมีแกนกลางเป็นหลอดพลาสติดบรรจุฮอร์โมนคล้ายๆกันยาฝัง ฮอร์โมนตัวนี้นี่เองที่ช่วยทำให้ประจำเดือนไม่มามาก แล้วก็ไม่กระปริดกระปรอย บางรายอาจไม่มีประจำเดือนมาเลยก็ได้ สบายไปเลย!

 

การทำหมันถาวร

 

ถ้าคิดว่ามีลูกพอแล้ว ไม่อยากมีมากกว่านี้แน่ๆ แล้วก็ขี้เกียจที่จะต้องมากินยาคุม ฉีดยาคุม ใส่ห่วง หรือพะวงกับการคุมธรรมชาติในชีวิตที่เหลืออีกหลายสิบปี ก็ทำหมันมันซะเลยหมดเรื่องหมดราว ถึงตอนนั้นทั้งคุณพ่อคุณแม่ต้องตัดสินใจให้ดี คิดให้รอบคอบก่อนทำหมัน เนื่องจากการทำหมันจะทำให้เป็นหมันอย่างถาวร ทำหมันไปแล้วเกิดเปลี่ยนใจขึ้นมาก็ต้องผ่าไปแก้หมันใหม่อีกที แล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เวลาทำหมันทำแค่ 10 นาทีเสร็จ แต่เวลาแก้หมัน นั่งต่อเกือบสามชั่วโมงกว่าจะเสร็จ

 

ดังนั้นในรายที่มั่นใจแล้วว่าไม่ต้องการมีลูกเพิ่มอีก การทำหมันก็เป็นวิธีที่ดีที่สุด ไม่ต้องมาเสียเวลากับการกินยาคุมหรือฉีดยาคุมอีกต่อไป

 

แล้วที่สำคัญต้องเก็บการทำหมันนี้เป็นความลับเสมอ อย่าให้ชาวบ้านรู้ป็นอันขาด เพราะตามทางการแพทย์แล้ว จะยืนยัน นั่งยัน นอนยันเสมอว่าการทำหมันไม่ได้มีผลอะไรต่อสุขภาพ ไม่มีผลต่อความรู้สึกทางเพศ แต่ถ้าชาวบ้านชาวช่องรู้ว่าเราทำหมัน เดี๋ยวก็พูดอีกแล้ว ว่าทำหมันนะ..เดี๋ยวมันจะไม่มีแรง ...เดี๋ยวนกเขาจะไม่ขัน ...จะอ้วนเป็นหมูตอน ...จะโน่น ..จะนี่ ฟังทุกวันทุกวันสักวันก็คงจะบ้า ฟังจนฝ่อไปเอง นั่นก็เพราะถ้าไม่เป็นความลับแล้ว โดนพูดถึงทางลบทุกวันมันก็เลยมีผลทางจิตวิทยา สุดท้ายก็เลยฝ่อไปหมดจริง

 

อ่านจบแล้วก็คงเป็นแนวทางนะครับว่าเราอยากจะคุมแบบไหนดี แต่ที่จริงแล้วครั้งแรกอยากจะให้ไปพบแพทย์ก่อน เพราะคุณแม่แต่ละคนก็จะมีความเหมาะสมไม่เหมือนกัน หรือคุณแม่คนไหนอยากมีลูกต่อไปเลยทีเดียวก็คงต้องวางแผนกันดีๆ ก็ขอให้สนุกกับการเลี้ยงลูกก็แล้วกันนะครับ/.

ความคิดเห็น