คู่มือคุณแม่หลังคลอด

 

  

ในระหว่างการตั้งครรภ์คุณแม่ดูแลตัวเองเป็นอย่างดี เพื่อที่จะให้ลูกน้อยในครรภ์ได้เติบโตแข็งแรง คุณแม่มีสุขภาพดีปราศจากภาวะแทรกซ้อนใดๆ 

หลังคลอดไปแล้ว คุณแม่ก็ยังคงต้องดูแลตัวเองเป็นอย่างดีด้วยเช่นกัน เพื่อที่จะได้กลับฟื้นคืนสภาพเป็นคุณแม่สาวสวยเหมือนเดิมโดยที่ไม่มีความผิดปกติ ไม่มีภาวะแทรกซ้อนใดๆ 

สุขภาพของการเป็นแม่ที่ดี ก็เป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของครอบครัวที่มีความสุขนะครับ...

 

ความสำคัญของระยะหลังคลอด

ในระหว่างที่ตั้งครรภ์ ร่างกายของคุณแม่มีการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมาย ทั้งรูปร่างที่เปลี่ยนไป หน้าท้องที่ยืดขยายโตขึ้น เต้านมที่ขยายโตขึ้น หลังจากคลอดแล้วร่างกายของคุณแม่ก็จะมีการเปลี่ยนแปลงเพื่อให้อวัยวะต่าง ๆ กลับมาอยู่ในสภาพเดิมเป็นปกติ การปฏิบัติตัวอย่างถูกต้องในระยะหลังคลอด จะช่วยทำให้การฟื้นฟูสภาพของร่างกายสามารถดำเนินไปได้อย่างราบรื่น ปราศจากภาวะแทรกซ้อน นอกจากนั้นชีวิตของคุณแม่ในระยะหลังคอลดก็จะเปลี่ยนแปลงจากเดิมเป็นอย่างมาก คุณแม่ต้องปรับตัวเพื่อให้สามารถทำหน้าที่ของภรรยาที่ดี และเป็นคุณแม่ที่ดีในเวลาเดียวกัน

 

การเปลี่ยนแปลงของร่างกายในระยะหลังคลอด

มดลูก ในระยะหลังคลอดทันทีมดลูกของคุณแม่ซึ่งลูกน้อยเคยอาศัยอยู่ภายในก็จะเล็กลง คลำได้เป็นก้อนแข็ง ๆ กลม ๆ ที่หน้าท้อง ยอดของมดลูกจะอยู่ในระดับประมาณสะดือของคุณแม่ หลังจากนั้นก็จะเล็กลงประมาณวันละ 1 นิ้วมือ ลงมาเรื่อย ๆ จนเข้าไปอยู่ในอุ้งเชิงกราน ไม่สามารถคลำได้ทางหน้าท้องในเวลาประมาณ 2 สัปดาห์ และจะเล็กลงจนเท่านขนาดปกติก่อนที่จะตั้งครรภ์ใน 4 สัปดาห์ ในระยะแรก ๆ หลังคลอด มดลูกจะบีบตัวเกร็งเป็นก้อนเข็ง ๆ เพื่อเป็นการบีบห้ามเลือดไว้ ไม่ให้เสียเลือดมากในระยะหลังคลอด ทำให้คุณแม่มีอาการปวดท้องน้อยคล้าย ๆ กับปวดประจำเดือน ซึ่งจะเป็นอยู่ในระยะ 2-3 วันแรกหลังคลอด ท้องสองจะปวดมดลูกมากว่าท้องแรก ท้องสามก็จะปวดมากกว่าท้องสอง จะปวดมากขึ้นโดยเฉพาะตอนที่กำลังให้นมแก่ลูกน้อย เนื่องจากการที่ลูกดูดนมแม่จะกระตุ้นให้สมองหลั่งฮอร์โมนออกมาชนิดหนึ่ง ซึ่งมีฤทธิ์กระตุ้นให้มดลูกหดรัดตัวมากขึ้น ดังนั้นคุณแม่ที่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ มดลูกก็จะเข้าอู่เร็วกว่าคุณแม่ที่มิได้เลี้ยงลูกด้วยนมแม่



 

น้ำคาวปลา

ก็คือ เลือดคล้ายประจำเดือนที่ไหลออกมาทางช่องคลอดในระยะหลังคลอด ซึ่งเลือดน้ำคาวปลานี้จะไหลออกมาจากผนังมดลูกตำแหน่งที่รกเคยเกาะติดอยู่ พอรกลอกหลุดออกไปแล้วเลือดก็จะซึมออกมาจากรอยนี้และจะค่อย ๆ จางลงในที่สุด นอกจากนี้ เยื่อบุมดลูกก็จะลอกหลุดออกมาปะปนกับเลือดที่ว่านี้ด้วย น้ำคาวปลาจะออกมากในวันแรก ๆ และจะลดลงตามลำดับ โดยในช่วง 3 วันแรกน้ำคาวปลาจะมีสีแดงสดเหมือนสีเลือด หลังจากนั้นก็จะจางลงกลายเป็นสีชมพูเรื่อ ๆ หลังจาก 10 วันไปแล้วก็จะกลายเป็นมูกสีขาว ๆ และมักหมดไปภายใน 14 วันหลังคลอด บางคนอาจจะมีเลือดจางๆน้ำตาลๆออกนานกว่านี้เล็กน้อยได้

 

คุณแม่บางคน จำนวนไม่มากอาจจะมีเลือดออกมาคล้ายๆประจำเดือนในช่วง 3 สัปดาห์หลังคลอด ออกคล้ายมีประจำเดือน ออกนานประมาณเท่าประจำเดือน ซึ่งไม่ถือว่าเป็นความผิดปกติแต่อย่างใดนะครับ

 

สำหรับคุณแม่ที่ผ่าตัดคลอดทางหน้าท้อง น้ำคาวปลาจะจางลง น้อยลง และหมดเร็วกว่าคุณแม่ที่คลอดเองตามปกติ เนื่องจากคุณหมอจะช่วยเช็ดขัดถูทำความสะอาดภายในโพรงมดลูกจนเกลี้ยงหมดแล้วในระหว่างที่ทำการผ่าตัด ... น้ำคาวปลาหมดเร็วก็ไม่ต้องตกใจ แบบว่ากินยาขับน้ำคาวปลายังไง เลือดก็ไม่ออกมามากกว่านี้แล้ว

 

แผลฝีเย็บ

ในระหว่างการคลอด ขณะที่หัวของลูกกำลังจะโผล่ออกมาภายนอก คุณหมดจะช่วยตัวฝีเย็บ เพื่อขยายปากช่องคลอดให้กว้างขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้ปากช่องคลอดฉีกขาดจากการยืดขยายมากเกินไป หลังจากคลอดเสร็จแล้ว คุณหมอก็จะเย็บแผลฝีเย็บกลับเข้าที่เดิม ปกติแล้วก็มักจะเย็บแผลด้วยไหมละลาย เนื่องจากไม่ต้องเสียเวลากลับมาตัดไหมอีกรอบอีกทั้งแผลยังดูสวยกว่าอีกด้วย ในช่วงเวลาวันแรกหลังคลอด หากแผลฝีเย็บมีอาการบวม และเจ็บมาก การใช้น้ำแข็งประคบจะช่วยบรรเทาอาการเจ็บแผลและยังช่วยลดบวมได้ แต่ถ้าเลยวันแรกไปแล้วก็มักจะอบแผลด้วยความร้อนเพื่อช่วยลดอาการบวม ถ้าคุณแม่มีอาการเจ็บแผล ก็ให้รับประทานยาแก้ปวดพาราเซตามอล 2 เม็ด ก็จะช่วยบรรเทาอาการปวดได้ โดยยานี้จะไม่ผลต่อลูกน้อยเมื่อให้นมแม่แต่อย่างใด ในรายที่แผลบวมมาก เจ็บมาก จนนั่งไม่สะดวก อาจใช้ห่วงยางอันเล็ก ๆ คล้าย ๆ กับที่ใช้ในรายที่เป็นริดสีดวงทวารรองนั่งก็จะรู้สึกสบายขึ้น อย่างไรก็ตามอาการเจ็บที่ฝีเข็มก็มักจะหายไปภายใน 7 วันหลังคลอด และมักจะหายสนิทภายในเวลา 3 สัปดาห์หลังคลอด การดูแลแผลฝีเย็บอย่างถูกต้องจะช่วยป้องกันปัญหาการอักเสบติดเชื้อได้คุณแม่หลังคลอดควรเช็ดทำความสะอาดแผลฝีเย็บอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง โดยใช้สำลีชุบน้ำอุ่น ๆ เช็ดทำความสะอาด โดยเช็ดจากด้านหน้าไปด้านหลังเสมอ หลังจากนั้นก็ควรซับให้แห้งทุกครั้ง ถ้ามีน้ำคาวปลาออกมาก ก็ควรเปลี่ยนผ้าอนามัยบ่อย ๆ อย่าปล่อยให้เฉอะแฉะอับชื้นซึ่งจะทำให้มีเชื้อโรคสะสมเกิดขึ้นได้ นอกจากนั้นหลังจากถ่ายอุจจาระ ก็ควรเช็ดจากด้านหน้าไปด้านหลังด้วยเช่นกัน เพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อโรคซึ่งมีอยู่มากมายในอุจจาระมาปนเปื้อนโดนแผล ซึ่งอาจทำให้เกิดการอักเสบตามมาได้

 

ช่องคลอดและกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน

ในระหว่างการตั้งครรภ์ ผนังของช่องคลอดจะเรียบแบนไม่มีรอยย่นเหมือนในภาวะปกติ ในระยะหลังคลอด ช่องคลอดก็จะค่อย ๆ กลับคืนมาอยู่ในสภาพปกติ มีรอยพับย่นตามธรรมชาติภายใน 3 สัปดาห์ นากจากนั้นหลังจากผ่านการคลอดไปแล้วช่องคลอดก็จะมีขนาดโตขึ้นมากกว่าปกติ ซึ่งโดยปกติแล้วผู้หญิงเราจะมีขนาดของเส้นผ่าศูนย์กล่างของช่องคลอดประมาณ 2 ซม. แต่ในขณะที่กำลังคลอด ศรีษะของลูกจะทำให้ช่องคลอดของคุณแม่ขยายกว้างออกถึง 10 ซม. ดูแล้วน่าตกใจ หลังคลอดไปแล้วเนื้อเยื้อต่างๆ ก็มักยืดหย่อนยานไปจากเดิม ช่องคลอดหลังคลอดอาจยืดขยายจนมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 3 ซม.

 

ดังนั้นคุณแม่ควรออกกำลังกาย ฟื้นฟูสภาพให้ช่องคลอดกลับมาสู่สภาพเดิมเหมือนเมื่อยังสาว โดยการทำ “Squeeze exercise” หรือการ “ขมิบก้น” นั่นเอง โดยควรทำวันละ 20-30 ครั้ง คุณแม่สามารถทำได้ทันทีในช่วงหลังคลอด ส่วนคุณแม่ที่ยังเจ็บแผลฝีเย็บอยู่ อาจเริ่มทำในสัปดาห์ที่สองหลังคลอดก็ได้ คุณแม่ที่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่อาจจะบริหารกะบังลมโดยการขมิบกันในระหว่างที่ให้นมลูกก็ได้…เพลินดีเหมือนกัน

 


คุณแม่ที่บริหารช่องคลอดและกะบังลมอย่างสม่ำเสมอ ช่องคลอดก็มักจะกลับมากระชับแข็งแรงเหมือนปกติภายในเวลา 3 เดือน ส่วนคุณแม่ที่ไม่ได้ทำการบริหารอย่างเต็มที่ อาจจะทำให้มีอาการกระบังลมหย่อน มีปัสสาวะเล็ดเวลาไอหรือจาม บางคนมีอาการปวดท้องน้อยบ่อย ๆ เวลายกของหนัก เนื่องจากแรงเบ่งในช่องท้องจะดันมดลูกให้เลื่อนต่ำลง ผ่านออกมาทางช่องกะบังลมที่ยังขยายกว้างอยู่ทำให้เกิดการตึงเจ็บที่ปีกมดลูกทั้งสองข้าง

 

อย่าลืมนะครับ คุณแม่ที่ผ่านการคลอดมาแล้ว ถ้าบริหารช่องคลอดและกะบังลมอย่างสม่ำเสมอก็สามารถฟื้นฟูสภาพกลับมาเหมือนสาว ๆ ได้เหมือนกัน ... หมออานนท์การันตี

 

หน้าท้อง

ในระหว่างที่ตั้งครรภ์ จะมีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างเกิดขึ้นที่หน้าท้องสวย ๆ ของว่าที่คุณแม่จนบางคนตกใจ เมื่อเห็นสภาพของหน้าท้องของตัวเองในระยะหลังคลอด การดูแลตัวเองในระยะหลังคลอด ก็จะช่วยให้หน้าท้องกลับมาดูดีขึ้น แม้ว่าจะไม่สวยเท่าแต่ก่อน แต่ก็ยังดีกว่าปล่อยให้พะโล้เป็นตุ่มต่อขานะครับ

 

ขนาดของมดลูกที่โตขึ้นเรื่อย ๆ ในระหว่างที่ตั้งครรภ์ จะทำให้ผนังหน้าท้อง และกล้ามเนื้อหน้าท้องยืดขยายออก อีกทั้งคุณแม่บางคนไม่ค่อยระวังเรื่องอาหาร และการควบคุมน้ำหนัก ทำให้มีการสะสมไขมันส่วนเกินไว้ที่หน้าท้องมากขึ้นเรื่อย ๆ ในระยะหลังคลอดหน้าท้องของคุณแม่จะทั้งหย่อนทั้งหนาจนน่าหนักใจ การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอในระยะหลังคลอดก็จะช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหน้าท้อง และยังช่วยลดไขมันหน้าท้องได้อีกด้วย การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่นอกจากจะได้ประโยชน์แก่ลูกน้อยอย่างเต็มที่แล้ว ยังช่วยระบายไขมันส่วนเกินออกไปได้บ้าง นอกจากนั้นก็ควรหลีกเลี่ยงอาหารประเภทไขมัน ของหวาน อาหารประเภทแป้งทั้งหลาย ซึ่งก็จะทำให้มีไขมันสะสมที่หน้าท้องของคุณแม่มากขึ้น

 


หน้าท้องของคุณแม่บางคนจะมีสีคล้ำดำขึ้นอย่างเห็นได้ชัด อันเป็นผลจากฮอร์โมนที่เพิ่มขึ้นในระหว่างที่ตั้งครรภ์ ในระยะหลังคลอดผิวหนังชุดเดิมซึ่งมีสีคล้ำจะค่อย ๆ ลอกหลุดออกไปเป็นขี้ไคลภายใน 3-4 เดือน ผิวหนังชุดใหม่ที่สร้างขึ้นมาทดแทนเรื่อย ๆ ตามธรรมชาติก็จะมีสีเหมือนปกติ ดังนั้นคุณแม่ไม่ควรกังวลหรือร้อนรนจนเกินไป บางคนถึงกับไปอบตัว ขัดผิว เสียเงินเสียทองไปเยอะแยะ ถ้าให้เวลาแก่ร่างกายสักหน่อย ผลที่ได้ก็ไม่แตกต่างกันเลย

 

แผลผ่าตัด

สำหรับคุณแม่ที่คลอดโดยการผ่าตัดออกทางหน้าท้อง ก็มีรอยผ่าตัดยาวประมาณ 10-12 ซม. ที่บริเวณหน้าท้องส่วนล่าง ไหมที่เย็บก็มักจะเป็นไหมละลาย ไม่จำเป็นต้องตัดไหมนอกจากนั้น ในปัจจุบันปลาสเตอร์ปิดแผลยังสามารถกันน้ำได้ ทำให้คุณแม่สามารถอาบน้ำได้ในช่วงหลังคลอด ดังนั้นก่อนออกจากโรงพยาบาล คุณแม่ควรสอบถามให้แน่ใจทุกครั้งว่าต้องตัดไหมหรือเปล่า อาบน้ำได้หรือไม่

 

โดยปกติแล้วแผลผ่าตัดจะแห้งและติดสนิท ในเวลาประมาณ 7-10 วัน ในระยะที่แผลกำลังหาย อาจมีอาการคันยุบยิบบ้าง แต่ก็ไม่ควรเกานะครับ เพราะจะทำให้แผลนูนหนาเป็นแผลเป็นได้ง่าย นอกจากนั้น คุณแม่หลังคลอดควรหลีกเลี่ยงการใส่กางเกงชั้นใน ประเภทบิกีนี่ตัวเล็กๆ เพราะขอบยางยืดของกางเกงในจะกดเสียดสีที่รอยแผล ทำให้แผลนูนหนาแข็งเป็นแผลเป็นได้ กางเกงในประเภทใหญ่ ๆ เชย ๆ จะดีสำหรับคุณแม่หลังผ่าตัดมากกว่า

 

คุณแม่ที่ชอบใส่กางเกงเป็นประจำ ก็ควรหลีกเลี่ยงกางเกงคับ ๆ ประเภทกางเกงยีนส์ เพราะซิบตรงกลางจะกดเสียดสีกับแผลบ่อย ๆ ทำให้ตรงกลางนูนขึ้นดูไม่สวย ดังนั้นคุณแม่หลังผ่าตัดควรใส่เสื้อผ้าหลวมสบายจะดีกว่า

 

กระเพาะปัสสาวะ

ในระยะหลังคลอดใหม่ ๆ กระเพาะปัสสาวะจะมีอาการบอบช้ำจากการคลอดได้ง่าย ผนังกระเพาะปัสสาวะจะบวมแดงกว่าปกติ ความรู้สึกที่อยากจะปัสสาวะก็ลดลงไปด้วย ดังนั้นในช่วงนี้คุณแม่จะมีอาการปัสสาวะไม่ค่อยออก หรือเวลาปัสสาวะแล้วมักออกไม่หมด ทำให้ต้องไปปัสสาวะบ่อย ๆ แต่ก็ไม่ควรอั้นปัสสาวะซึ่งจะทำให้กระเพาะปัสสาวะอักเสบได้ง่าย คุณแม่บางคนอาจจะมีอาการไอ จามแล้วปัสสาวะเล็ดได้ เนื่องจากหูรูดของปากช่องคลอดถูกยืดขยายอย่างมากในระหว่างการคลอด แต่ก็มักจะดีขึ้นใน 3 เดือน โดยเฉพาะถ้าปฏิบัติตัวและบริหารช่องคลอดและกะบังลมอย่างถูกต้อง

 


การปฏิบัติตัวในระยะหลังคลอด

ระยะหลังคลอดในโรงพยาบาล

เมื่อผ่านพ้นการคลอดไปแล้วก็เหมือนกับยกภูเขาลูกน้อยออกจากอก อาการปวดเจ็บครรภ์ อาการแน่นอึดอัดก็หายไปเป็นปลิดทิ้งทีเดียว หลังคลอดคุณหมอมักจะนำลูกน้อย ซึ่งก่อนหน้านี้ยังดิ้นกุกกักอยู่ในท้อง แต่ตอนนี้คุณแม่ก็จะได้โอบกอด ชื่นชมสมกับที่รอคอยมานาน สีหน้าแววตาของคุณแม่ในตอนนี้ดูมีความสุขปลาบปลื้มที่ใครเห็นก็อดยินดีด้วยไม่ได้ ช่วงนี้คุณพยาบาลอาจจะช่วยให้ลูกดูดนมแม่จากอก เพื่อเป็นการสร้างสายสัมพันธ์ของความเป็นแม่ และยังช่วยกระตุ้นให้น้ำนมไหลได้เร็วขึ้นด้วย

 

หลังจากได้เย็บซ่อมแซมแผลฝีเย็บเรียบร้อยแล้ว ก็จะให้คุณแม่นอนพักเหนื่อยอยู่ในห้องคลอดประมาณ 1-2 ซม. ช่วงนี้คุณพยาบาลก็จะมาตรวจวัดความดัน อัตราการเต้นของหัวใจดูว่าเลือดออกทางช่องคลอดมากเกินไปหรือเปล่า ดูว่ามดลูกแข็งตัวดีหรือเปล่า เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยดีก็จะย้ายคุณแม่กลับเข้าห้องพัก ช่วงนี้คุณแม่ควรได้รับการพักผ่อนอย่างเต็มที่ คุณพ่อหรือญาติ ๆ ทั้งหลายก็ยังไม่ควรไปเยี่ยม หรือรบกวนมากในช่วงนี้ ปล่อยให้คุณแม่ได้นอนพักสยาย ๆ สัก 4-6 ชม. จะดีกว่า

 

หลับไปสักพักเหมือนฝันอันยาว ตื่นแล้วก็ยังเหมือนฝันอยู่ “ตอนนี้เราเป็นคุณแม่แล้วสินะ” คุณแม่อย่าเพิ่งตื่นเต้นลุกขึ้นจากเตียงทันทีทันใด เพราะอาจมีอาการหน้ามืดเป็นลมได้ ให้ลืมตาดูรอบ ๆ ก่อน ถ้าไม่มีอาการเวียนหัวตาลาย ก็ลุกนั่งก่อนสักครู่จึงค่อย ๆ ลุกขึ้นช้า ๆ คุณแม่บางคนที่มีอาการอ่อนเพลีย หรือเลียเลือดมาก มักจะมีอาการหน้ามืดเป็นลมได้ง่าย ทางที่ดีก็ควรหาใครสักคนอยู่เป็นเพื่อนด้วยจะได้ช่วยเหลือกันได้อย่างทันท่วงที

 

เมื่อคุณแม่ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่แล้ว ก็ถึงบทที่ต้องฝึกหัดความเป็นแม่แล้ว ช่วงหลังคลอดในโรงพยาบาล คุณแม่ควรใช้เวลาให้คุ่มค่ามากที่สุด แทนที่จะนอนอย่างเดียว คุณแม่ควรได้ลองหัดเลี้ยงดูลูกบ่อย ๆ เรียนรู้เทคนิคต่าง ๆ จากคุณพยาบาลที่จะคอยสอนให้ เปรียบเสมือนกับการหัดขับรถ ตอนอยู่โรงพยาบาลจะมีคนคอยช่วยบอกช่วยสอนให้ แต่พอกลับบ้านแล้วก็ต้องปล่อยขับเดี่ยว ดังนั้นคุณแม่ควรเรียนรู้การให้นมลูก การอุ้มให้เรอ การดูแลทำความสะอาดก้น การเปลี่ยนผ้าอ้อม การอาบน้ำ หัดทำให้คล่อง แล้วคุณแม่ก็จะมีความมั่นใจ เมื่อต้องกลับไปดูแลลูกน้อยด้วยตัวเองที่บ้าน อย่าลืมให้คุณพ่อหัดช่วยดูแลลูกน้อยไปพร้อม ๆ กันด้วย เพื่อคุณพ่อจะได้มีส่วนร่วมในการดูแลลูกด้วย เป็นการสร้างความรักความผูกพันในครอบครัวให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น เพราะบางครั้งคุณแม่ทำทุกอย่างเองเสียหมด ทุ่มเทเวลาดูแลลูกน้อย จนในบางครั้งคุณพ่ออาจจะรู้สึกเหมือนเป็นส่วนเกิน ผู้ชายก็ขี้ใจน้อยเป็นนะ

 

ถ้ามีอาการผิดปกติในระหว่างที่อยู่ในโรงพยาบาลที่พบได้บ่อยก็มี เลือดออกทางช่องคลอดมากผิดปกติ มีไข้ หรือเจ็บแผลมากผิดปกติ ก็ควรแจ้งให้คุณหมอทราบทันที เพื่อที่จะได้หาสาเหตุ และดูแลรักษาต่อไป

 

ก่อนกลับบ้านคุณหมดจะอธิบายการปฏิบัติตัวเมื่อกลับบ้าน การบริหารร่างกาย ภาวะผิดปกติที่ต้องกลับมาพบแพทย์และคุณหมดจะนัดตรวจหลังคลอดใน 4 สัปดาห์ข้างหน้า

 

ยาในช่วงหลังคลอด

โดยปกติแล้วคุณหมอจะให้รับประทานยาแก้อักเสบ ยาแก้ปวด และยาบำรุงเท่านั้น ในระยะหลังคลอด คุณแม่ควรรับประทานอย่างเคร่งครัดต่อเนื่องจนหมดส่วนยาวิตามินธาตุ เหล็ก ก็ควรรับประทานต่อไปอีกประมาณ 1 เดือน เพื่อช่วยเสริมสร้างทดแทนเลือดที่เสียไปในระหว่างการคลอดและช่วยฟื้นฟูสภาพของร่างกายให้กลับเข้าสู่สภาวะปกติได้อย่างสมบูรณ์แข็งแรง นอกจากนั้นวิตามินบางส่วนจะสามารถหลั่งออกมาทางน้ำนม อันจะเป็นประโยชน์แก่ลูกน้อยอีกด้วย

 

คุณแม่ที่เลี้ยงลูกด้วยนมตัวเอง ก็จะเสียแคลเซียมออกจากร่างกาย ผ่านทางน้ำนมไปสู่ลูกน้อย ทำให้คุณแม่อาจมีอาการเป็นตะคริว ฟันผุ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อได้ง่ายในช่วงหลังคลอด ดังนั้นการรับประทานยาเสริมแคลเชียมก็จะช่วยทำให้คุณแม่ไม่ขาดแร่ธาตุนี้ และยังเป็นประโยชน์ต่อลูกน้อยอีกด้วย

 

ยาอื่นๆนอกจากนี้ คุณแม่ก็ควรระมัดระวังเป็นพิเศษ ใช้ยาให้น้อยที่สุด หากจำเป็นก็ไม่ควรซื้อยากินเ้อง ควรไปตรวจและให้แพทย์สั่งยาทุกครั้ง โดยต้องแจ้งเสมอว่ากำลังให้นมลูกอยู่ ... พึงระลึกไว้เสมอว่า แม่ทานยาอะไร ลูกก็ได้ยาอย่างนั้นด้วยเหมือนกัน

 

คุณแม่บางคนมีอาการท้องผูกในช่วงหลังคลอด ซึ่งอาจเกิดจากเจ็บแผลฝีเย็บ เลยไม่กล้าเบ่งเวลาถ่ายอุจจาระ หรือจากการดื่มน้ำไม่เพียงพอก็ได้ ดังนั้นในระยะหลังคลอดคุณแม่ก็ควรดื่มน้ำให้มาก รับประทางผักสด ผลไม้ อาหารมีกากให้เพียงพอ ที่สำคัญห้ามซื้อยาถ่าย ยาระบายมารับประทานเอง เพราะยาบางประเภทอาจหลั่งออกมาทางน้ำนม ทำให้ลูกที่ทานนมแม่มีอาการท้องเสียได้

 

คุณแม่ควรหลีกเลี่ยงผักที่มีกลิ่นฉุน อาหารเครื่องดื่มที่มีกลิ่นฉุนนะครับ อะไรที่กินแล้วปัสสาวะมีกลิ่น น้ำนมของคุณแม่ก็จะมีกลิ่นเหมือนกัน อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง เช่น ชา กาแฟ โค๊ก เป๊บซี่ สะตอ ชะอม ผักชี ต้นหอม คึ่นช่าย

 

กินกาแฟ ฉี่ออกมาเป็นกลิ่นกาแฟ น้ำนมของคุณแม่ก็กลิ่นกาแฟด้วยเช่นกัน

กินสะตอ ฉี่ออกมามีกลื่นสะตอ น้ำนมของคุณแม่ก็กลิ่นสะตอด้วยเช่นกัน

กินผักชี ฉี่ออกมามีกลื่นผักชี น้ำนมของคุณแม่ก็กลิ่นผักชีด้วยเช่นกัน

พอลูกกินนมที่มีกลิ่นไม่เหมือนเดิม ลูกก็จะบ้วนๆไม่ยอมกินนม .. นมเหม็นขนาดนี้ใครจะไปกินลงนะ

 

ระยะหลังคลอดที่บ้าน

เมื่อกลับมาบ้านแล้ว คราวนี้คุณแม่จะต้องช่วยเหลือตัวเอง ต้องเลี้ยงดูลูกด้วยตัวเองตลอดคุณแม่บางคนอาจจะกลัวว่าจะเลี้ยงลูกไม่เป็น แต่สัญญชาตญาณของความเป็นแม่จะช่วยให้คุณแม่สามารถผ่านพ้นระยะนี้ไปได้อย่างไม่ยากเย็นอะไร ยิ่งถ้าคุณแม่มีญาติผู้ใหญ่ เช่น คุณแม่ของคุณแม่อีกทีจะอยู่ช่วยสอนช่วยดูก็ยิ่งสบายใหญ่ บางทีคุณยายอาจแย่งเอาไปเลี้ยงเองก็ได้ คุณแม่ก็เลยสบายไปเลย

 

อย่างไรก็ตามการเลี้ยงลูกก็เป็นเหมือนศิลปะอย่างหนึ่งบางคนก็อาจจะทำได้ดี บางคนก็อาจจะทำไม่ได้เรื่อง เหมือนการลองผิดลองถูก แต่คุณแม่ทุกคนก็มักจะอยากให้ลูกได้รับแต่สิ่งที่ดีที่สุด ในปัจจุบันก็มีหนังสือคู่มือการเลี้ยงดูบุตร พิมพ์วางจำหน่ายทั่วไป คุณแม่ลองเลือกเอาเล่มดี ๆ สักเล่ม ไว้เป็นคู่มือก็จะสามารถปฏิบัติเลี้ยงดูบุตรได้อย่างถูกต้อง ไม่ต้องลองผิดลองถูกต่อไหอีก หนังสือคู่มือเหล่านี้นอกจากจะช่วยให้คุณแม่สามารถเลี้ยงดูลูกได้อย่างมั่นใจแล้ว ยังช่วยทำให้คุณแม่เข้าใจในพัฒนาการขั้นต่าง ๆ ของลูก ความผิดปกติของลูกที่อาจเกิดขึ้นได้ บางทีคุณแม่อาจจะรู้มากจนคุณหมดยอมแพ้เลยก็ได้

 

การดูแลสุขภาพโดยทั่วไปของคุณแม่ก็เป็นเรื่องสำคัญคุณแม่ควรรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ มีคุณค่าครบถ้วนแต่ก็ควรหลีกเลี่ยงอาหารประเภทไขมัน แป้ง และของหวาน เพราะจะทำให้คุณแม่ยิ่งอ้วนขึ้นกว่าเก่า อาหารที่ดีในระยะหลังคลอดก็ควรเป็นอาหารที่มีโปรตีนสูง รวมทั้งผักสด ผลไม้ต่าง ๆ คุณแม่ควรดื่มน้ำสะอาดอย่างเพียงพดโดยเฉพาะเมื่อลูกทางนมแม่การอดอาหารบางอย่าง เนื่องจากเป็นของแสลง อาจทำให้คุณแม่ได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ กลับเป็นผลเสียต่อคุณแม่เองอีกด้วย

 

อาบน้ำทำความสะอาดร่างกายอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ช่วยทำให้คุณแม่รู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่าขึ้น นอกจากนั้นหลังจากทำงานบ้าน ทำครัวแล้วก่อนจะจับจะอุ้มลูกน้อยก็ควรล้างมือให้สะอาดก่อนทุกครั้งด้วย



 

การให้นมลูก 

การให้ลูกกินนมแม่เป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับลูกน้อย ซึ่งในปัจจุบันนี้ก็มีการรณรงค์เพื่อให้ลูกได้กินนมแม่อย่างน้อยใน 6 เดือนแรก คุณแม่บางคนอาจรู้สุกตกใจเมื่อเห็นลูกสามารถดูดนมคุณแม่ได้ทันทีหลังจากคลอดออกมาใหม่ ๆ โดยไม่ต้องให้ใครมาสอนลูกสามารถดูดนมได้เอง โดยอาศัยสัญชาตญาณของเขาเอง

 

ในช่วง 1-2 วันแรกหลังคลอดอาจจะยังไม่มีน้ำนมไหลออกมาคุณแม่ไม่ต้องตกใจหรือกังวลว่าจะไม่มีน้ำนมให้ลูกกกิน คงต้องอาศัยเวลาบ้าง เทคนิคสำคัญคือ พยายามให้ลูกได้ดูดนมจากอกแม่บ่อย ๆ อย่างน้อยวันละ 6 ครั้ง เพื่อเป็นการกระตุ้นน้ำนม ควรดูดนมสลับกันทั้งสองข้างนานอย่างน้อยครึ่งชั่วโมง และทีสำคัญลูกควรจะดูดอยู่ตลอดเวลา ถ้าหากเขาหยุดดูดแล้วหลับไปก็ต้องปลูกเขาให้ดูดต่อให้ต่อเนื่อง ถ้าปฏิบัติอย่างถูกต้องก็จะมีน้ำนมไหลภายใน 1-2 วันต่อมา บางคนอาจจะมาช้ากว่านี้ก็ได้น้ำนมที่ออกมาในช่วงแรก ๆ จะมีลักษณะเป็นสีเหลืองใส ๆ คล้ายน้ำเหลือง อันนี้เป็นน้ำนมที่มีความสำคัญมากที่เรียกว่า “Colostrum” หรือนมน้ำเหลือง ซึ่งประกอบด้วยแร่ธาตุอาหารต่าง ๆ รวมทั้ง “ภูมิคุ้มกัน” ของแม่ที่จะถ่ายทอดไปให้ลูกด้วย น้ำนมนี้จะช่วยให้ลูกมีถูมิต้านทานต่อเชื้อโรคที่ทำให้เกิดอาการท้องเสียได้ดีอีกด้วย นมน้ำเหลืองจะมีอยู่ประมาณ 5 วัน แล้วก็จะขุ่นขาวขึ้นจนกลายเป็นน้ำนมปกติ

 

นมคัด

ในช่วงที่น้ำนมเริ่มไหลในระยะแรก ๆ เต้ามนจะคัดตึงขยายโตขึ้น จนบางครั้งจะมีอาการปวดเต้านมได้ การดูแลเต้านมเมื่อเกิดอาการาคัดก็มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เพราะถ้าไม่ได้รับการดูแลอย่างถูกต้อง นมก็จะคัดตึงมากขึ้นจนถึงกับมีไข่ได้ บางรายอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนที่เป็นฝีที่เต้านมได้

 

เมื่อคุณแม่มีอาการ “นมคัด” ก็ควรใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำอุ่น ๆ ประคบโดยรอบเต้านมพร้อมกับนวดเบา ๆ จนทั่วทั้งเต้า หลังจากนั้นก็บีบเอาน้ำนมออก โดยใช้ฝ่ามือขาวประคองเต้านมเอาไว้ กดหัวแม่มือเบา ๆ ที่ส่วนบนของเต้านมนวดลงมาที่บริเวณหัวนมแรงขึ้นตามลำดับ เมื่อนวดมาถึงบริเวณลานหัวนมแล้ว ให้กดบีบที่บริเวณลานหัวนม น้ำนมก็จะพุ่งออกมาจากบริเวรหัวนม คุณแม่ควรระวังหลีกเลี่ยงการบีบที่ตัวหัวนม ซึ่งจะทำให้หัวนมแตกได้ง่าย ถ้าหากว่าคุณแม่ไม่สามารถบีบน้ำนมออกมาได้ถนัดนักอาจจะใช้ที่ปั๊มน้ำนมชนิดที่เป็นยางบีบ ในปัจจุบันมีเครื่องปั๊มน้ำนมแบบไฟฟ้าก็สะดวกดีเหมือนกัน…

 

เมื่อคุณแม่ปั๊มน้ำนมออกจนเลี้ยงทั้งสองข้างแล้ว ก็ควรใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำเย็น ๆ วางประคบบนเต้านมทั้งสองข้างก็จะช่วยป้องกันไม่ให้นมคัดเกิดขึ้นเร็วเกินไปนัก คุณแม่ควรใส่ยกทรงอุ้มประคองทรงเอาไว้ด้วย เพราะในตอนนี้เต้านมของคุณแม่จะขยายใหญ่โตกว่าปกติจนน่าตกใจน้ำหนักของเต้านมจะถ่วงมากกว่าปกติ ทำให้เจ็บเต้านมได้ง่าย นอกจากนั้น การใส่ยกทรงไว้เป็นประจำจะช่วยประคองทรงป้องกันไม่ให้เต้านมหย่อนยานมากกว่าปกติด้วย

 

ถ้าคุณแม่มีอาการคัดเต้านมอีกก็กลับมาทำซ้ำแบบเดิม โดยมากแล้วอาการนมคัดจะดีขึ้นและหายไปเองภายใน 1 สัปดาห์ ระหว่างนี้ถ้าคุณแม่ปวดเจ็บเต้านมมาก อาจรับประทานยาพาราเซตามอล เพื่อช่วยบรรเทาปวดได้ แต่ถ้ามีอาการเจ็บที่เต้านมมากกว่าปกติ บวมแดงและกดเจ็บหรือมีไข้สูงก็ควรไปพบแพทย์ทันที

 

หัวนมแตก

เมื่อเริ่มให้ลูกน้อยได้ดูดนมคุณแม่อาจจะตกใจที่ลูกดูดนมได้แรง จนบางครั้งทำให้คุณแม่เจ็บที่หัวนมได้ การให้นมลูกที่ถูกวิธี จะต้องคาบหัวนมลึกเพียงพอ ริมฝีปากและเหงือกจะกดอยู่บนลานนม น้ำนมจะถูกเหงือกของรีกรีดออกมาในขณะที่ลูกดูดนม แต่ถ้าลูกคาบหัวนมตื้น ๆ เหงือกของลูกก็จะกดลงบนหัวนมซึ่งก็จะไม่มีน้ำนมไหลออกมา ลูกก็จะออกแรงดูดมากขึ้นจนทำให้หัวนมแตกเป็นแผล

 

เมื่อคุณแม่ประสบปัญหาหัวนมแตก ก็ควรให้ลูกได้ดูดนมอย่างถูกวิธี ก็จะทำให้ไม่เจ็บหัวนมและหัวนมไม่แตกมากขึ้น หลังจากให้นมลูกเสร็จแล้ว ก็เช็ดทำความสะอาดด้วยสำลี ชุบน้ำสะอาด แล้วทาด้วยลาโนลินครีม เพื่อช่วยให้หัวนมอ่อนนุ่มลง หัวนมก็จะหายแตกในเวลาไม่นานนัก เมื่อถึงเวลาให้นมก็เช็ดทำความสะอาดหัวนมอีกครั้ง และให้นมลูกได้ตามปกติ

 

ในรายที่หัวนมแตกมาก มีเลือดออก มีการอักเสบ หรือมีอาการเจ็บปวดมากขณะให้นมลูกก็ควรหยุดให้นมข้างนั้น อาจใช้วิธีบีบน้ำนมใส่ขวดให้ลูกดูดนมรอจนแผลหายดีแล้วก็ให้ลูกกลับมาดูดได้เหมือนเดิม

 

ท่าให้นมก็มีความสำคัญ

คุณแม่สามารถให้นมได้หลายท่าขึ้นอยู่กับความถนัด ท่ามาตรฐานสำหรับให้นมก็คือ ท่านั่ง คุณแม่ควรหาที่นั่งประจำสำหรับให้นม ซึ่งควรเป็นเก้าอี้นั่งสบาย โอบกระชับรับน้ำหนักได้ดี ตั้งเก้าอี้ไว้ใกล้ ๆ เตียงลูก เตรียมข้าวของเครื่องใช้ เช่น พวกสำลี ผ้าอ้อม ผ้าซับน้ำนม ให้พร้อมหยิบได้สะดวก ก่อนให้นมคุณแม่ควรนั่งให้สบายเสียก่อน หาหมอนนุ่ม ๆ สักใบวางรองไว้บนหน้าตัก เพื่อรองรับน้ำหนักของลูกเวลาแม่ประคองไว้ในอ้อมแขน ถ้าตำแหน่งของศีรษะลูกอยู่ต่ำเกินไป คุณแม่ก็อาจจะหมุนหมอนให้สูงขึ้นจนลูกดูดนมได้สะดวก ในท่านี้คุณแม่สามารถให้นมลูกได้นานไม่ค่อยมีอาการปวดเมื่อยล้าแขนหรือปวดหลัง อีกทั้งบางทีคุณแม่อาจนั่งหลับในขณะให้นมลูกตอนดึก ๆ ได้อีกด้วย

 

การตรวจหลังคลอด

หนึ่งเดือนผ่านไปแล้ว ในแต่ละวันที่คุณแม่สาละวนดูแลเจ้าตัวน้อย ร่างกายของคุณแม่ก็มีการฟื้นฟูสภาพให้กลับสู่สภาพปกติในเวลาเดียวกัน โดยมากแล้วคุณหมอจะนัดคุณแม่มาตรวจอีกครั้งใน 4 สัปดาห์หลังคลอด เพื่อตรวจดูว่าอวัยวะภายในต่าง ๆ กลับเข้าสู่ภาวะปกติเข้าที่เข้าทางดีแล้วหรือยัง การตรวจหลังคลอดมีรายละเอียดปลีกย่อย ดังนี้

 

ชั่งน้ำหนัก

คุณแม่ส่วนใหญ่จะตกใจทำไม่ยังเหลืออีกตั้งเยอะ

วัดความดันโลหิต

จำเป็นอย่างยิ่งโดยเฉพาะในรายที่มีภาวะความดันโลหิตสูงในระหว่างที่ตั้งครรภ์หรือในระยะคลอด

ตรวจภายใน

ตรวจดูแผลที่ฝีเย็บ หรือแผลผ่าตัดที่หน้าท้อง ดูว่าแผลหายสนิทเรียบร้อยดีหรือเปล่า

ดูลักษณะของน้ำคาวปลา

ตรวจเช็คมะเร็งปากมดลูก

ตรวจภายในดูว่ามดลูกหดตัวเล็กลงจนเท่าปกติแล้วหรือยัง ปีกมดลูกมีก้อนหรือเนื้องอกอะไรผิดปกติหรือไม่

 

การคุมกำเนิด

เมื่อตรวจภายใน ในระยะหลังคลอดเสร็จแล้ว ก็ต้องมาคุยกันแล้วสิว่า จะคุมกำเนิดอย่างไรต่อ ตามปกติแล้วก็ควรคุมกำเนิดไว้ก่อนประมาณ 2-3 ปี ให้ร่างกายได้มีโอกาสได้พักฟื้นอย่างเต็มที่อีกทั้งจะได้ไม่เหนื่อยมากด้วย

การคุมกำเนิดแบบชั่วคราวที่นิยมใช้กัน ก็มี

คุมธรรมชาติ เช่น การหลั่งภายนอก การนับวันไข่ตก การคุมแบบนี้มีความแน่นอนต่ำ มีโอกาสตั้งครรภ์ได้สูง

 

กินยาคุม

มีประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดสูง โอกาสพลาดน้อย แต่ก็ต้องรับผิดชอบกินยาทุกวัน ถ้าลืมกินยาติดต่อกันอาจจะเกิดการตั้งครรภ์ได้ บางรายอาจมีอาการแทรกซ้อน เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ได้

คุณแม่ที่ให้นมลูก ก็ไม่แน่นำให้ใช้ยาคุม เพราะจะทำให้ส่วนประกอบและประมาณของนมเปลี่ยนแปลงไป

 

ยาคุมแบบฉีด

ฉีดห่างกันทุก 3 เดือนมีประสิทธิภาพสูง แม่สามารถให้นมลูกได้อย่างปกติโดยไม่มีผลต่อคุณภาพและประมาณของน้ำนม ข้อเสีย ยาคุมกำเนินแบบนี้คือ ประจำเดือนจะมาไม่ค่อยเป็นปกติ เดี๋ยวหาย บางรายก็มาติดต่อกันเป็นเดือน บางทีก็หายไป ไม่มาเอาเสียดื้อ ๆ

 

ถุงยางอนามัย

ประสิทธิภาพปากกลาง มีโอกาสพลาดตั้งครรภ์ได้ ถ้ามีการรั่วหรือแตกของถุงยาง หรือการใช้ไม่ถูกวิธี การคุมวิธีนี้ค่อนข้างยุ่งยากสักหน่อย เพราะต้องเพิ่มเติมขึ้นมาอีกชั้นหนึ่ง และบางคนก็บอกว่าทำให้อารมณ์ทางเพศขาดตอนในขณะที่ต้องปีกตัวออกมาใส่ถุงยางอนามัย

 การพิจารณาการคุมกำเนิดวิธีไหน คุณหมดจะแนะนำถึงข้อดีข้อเสีย รวมทั้งภาวะแทรกซ้อนของการคุมกำเนิดวิธีการต่าง ๆ และพิจารณาถึงความเหมาะสมของคุณแม่แต่ละคนเป็นราย ๆ ไป เมื่อเลือกใช้วิธีไหนแล้ว คุณแม่ก็ควรจะปฏิบัติตัวอย่างถูกต้องเคร่งครัด เพื่อผลการคุมกำเนิดที่แน่นอน

อ่านต่อเรื่อง หลังคลอด...คุมกำเนิดยังไงดี ตรงนี้

 

เพศสัมพันธ์

ปกติแล้วจะให้คุณแม่งดการมีเพศสัมพันธ์ใน 3 สัปดาห์แรกหลังคลอด แต่ในรายที่มีภาวะแทรกซ้อน เช่น แผลฝีเย็บอักเสบก็อาจต้องงดการมีเพศสัมพันธ์นานกว่านี้ การมีเพศสัมพันธ์ในระยะแรก ๆ คุณพ่อต้องมีความนุ่มนวล ค่อยเป็นค่อยไปเพราะคุณแม่มักจะเจ็บได้ง่ายอีกทั้งความกลัว ความกังวลเกี่ยวกับแผลก็มักจะทำให้คุณแม่ไม่มีอารมณ์ร่วมเท่าที่ควร ทำให้มีการสร้างมูกหล่อลื่นออกมาน้อย ดังนั้นคุณแม่ก็ควรปล่อยตัวตามสบาย ไม่ต้องกังวลกว่าแผลจะปริแยก เพราะมักติดสนิทตั้งแต่ 2-3 สัปดาห์หลังคลอดแล้ว

 

การร่วมเพศโดยเข้าทางด้านหลัง จะช่วยลดอาการเจ็บที่บริเวณฝีเย็บได้ ลองดูสักครั้งแล้วก็ยาลืมคุมกำเนินด้วยนะครับ

อ่านต่อเรื่อง กลับมามีเพศสัมพันธ์อีกครั้งตอนหลังคลอด ตรงนี้

ความคิดเห็น