ความผิดปกติในระหว่างการตั้งครรภ์

 



วันนี้ก็อยากมาคุยมาเล่าให้คุณแม่มือใหม่ ได้รู้ได้เข้าใจว่าตอนท้องเนี่ยร่างกายของผู้หญิงเรามีการเปลี่ยนแปลงไปยังไงกันบ้าง การเปลี่ยนแปลงปกติเป็นยังไง แล้วที่ไม่ปกติมันเป็นยังไง  สำหรับคุณแม่มือเก๋าทั้งหลายถ้ารู้มาบ้างแล้วก็ถือว่าเป็นการทบทวนก็แล้วกันนะครับ

 

หลักปฏิบัติสำคัญสำหรับว่าที่คุณแม่ทุกคนก็มีอยู่ง่ายๆว่า การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขี้นตามปกติ คุณแม่ต้องเข้าใจและปฏิบัติตัวได้อย่างถูกต้องถูกวิธี  ส่วนการเปลี่ยนแปลงที่ไม่ปกตินั้น คุณแม่ต้องรู้ถึงความไม่ปกติที่เกิดขึ้น วิธีดูแลตัวเองเบื้องต้น แค่ไหนต้องไปพบแพทย์ และต้องปฏิบัติตัวอย่างไรเพื่อไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงตามมา

 

โดยปกติแล้ว 90 เปอร์เซ็นต์ของคุณแม่ที่ตั้งครรภ์ก็มักจะไม่มีอะไรแทรกซ้อน มีเพียง 10 เปอร์เซนต์เท่านั้นเองครับที่อาจจะมีภาวะแทรกซ้อน มีปัญหาให้หมอต้องเหนื่อยกันบ้าง

 

เพื่อให้เข้าใจกันง่ายๆก็ขอแบ่งระยะเวลาของการท้องทั้งหมดเป็น 3 ไตรมาสก็แล้วกันนะครับ ในไตรมาสแรก หรือใน 12 สัปดาห์แรกก็เป็นช่วงที่ร่างกยของคุณแม่มีการเปลี่ยนแปลงมากที่สุดเลยก็ว่าได้ จากผู้หญิงธรรมดาๆคนนึงแต่ตอนนี้ก็กำลังจะกลายเป็นแม่ซะแล้ว ร่างกายของคุณแม่ก็จะมีการเปลี่ยนแปลงเยอะแยะ  ที่พบได้บ่อยๆในช่วงต้นๆของการตั้งครรภ์ปกติก็เห็นจะหนีไม่พ้นสามข้อนี้ครับ

 

คลื่นใส้อาเจียน

ปัสส่าวะบ่อย

ถ่วงท้องน้อย เจ็บตึงปีกมดลูก


อาการคลิ่นใส้อาเจียน ประจำเดือนขาด แถมยังอาเจียนโอ๊กอ๊าก ใครรู้เข้าก็ต้องเดาไว้ก่อนเลยว่าตั้งครรภ์ เพราะมากกว่าครึ่งของคุณแม่ที่ตั้งครรภ์จะมีการแพ้ท้อง ครึ่งที่เหลือก็นับว่าโชคดีไป เพราะถ้าไม่มาลองแพ้ดูเองก็ไม่รู้รสชาติหรอกครับว่าแพ้ท้องมันทรมานแค่ไหน 

อาการแพ้ท้องนี้ก็จะเริ่มแพ้กันตั้งแต่ตั้งครรภ์ได้ 6 สัปดาห์ หรือประจำเดือนขาดได้ 2 อาทิตย์ แล้วแพ้มากขึ้นเรื่อยๆจนมาแพ้หนักที่สุดก็สัปดาห์ที่ 9 หลังจากนั้นก็จะเบาลงเรื่องๆ  แล้วมาหายสนิทตอน 14 สัปดาห์ 

คนที่แพ้ท้อง บางคนก็แพ้นิดเดียว แต่บางคนก็อาจจะแพ้หนัก คนที่แพ้น้อยๆก็อาจมีอาการแค่เหนื่อยๆเพลียๆเหมือนไม่มีแรง ขี้เกียจ อยากนั่งๆนอนๆทั่งวัน  ใครชวนไปไหนก็ไม่อยากไปทั้งนั้นอยากจะนอนอยู่กับบ้านมากกว่า จะกินอะไรมันก็ไม่อร่อยไปหมด ลิ้นมันเลี่ยนๆขมๆยังไงชอบกล ขนาดน้ำเปล่าธรรมดานี่กินแล้วยังขมเลย ก็เลยไม่ค่อยได้ทานน้ำเท่าไหร่ทำให้รู้สึกปากแห้ง ผิวแห้งไปหมด ตอนเย็นๆก็รู้สึกเหมือนมีไข้รุ่มๆอีกด้วย



 

ส่วนคนที่แพ้มากก็อาจแพ้ขนาดต้องกอดชักโครกนอนกันเลยทีเดียวครับ เงยหน้าขึ้นมาก็อาเจียน อาเจียนจนเหนื่อยแล้วก็ซบอยู่บนฝาชักโครกนั่นแหละ เดี๋ยวก็อาเจียนต่ออีก กินอะไรก็ไม่ได้ทั้งๆที่ท้องก็หิว แต่ปากมันไม่รับ 

ถ้ามีอาการแพ้มากๆกินอะไรไม่ได้เลยก็จะทำให้เกิดอาการขาดน้ำ น้ำตาลในเลือดต่ำ อ่อนเพลีย หมดแรง เป็นลม ผิวแห้ง ตาโบ๋ ... ถ้ามีอาการมากขนาดนี้ก็ควรไปหาคุณหมอดีกว่าครับ  ถ้ากินอะไรไม่ได้เลยจนชักจะแย่แล้วก็อาจจำเป็นต้องให้น้ำเกลือ ซึ่งในน้ำเกลือนี้ก็จะมี น้ำ เกลือแร่ กลูโคสเพื่อทดแทนฟื้นฟูร่างกายให้มีแรงสดชื่นขึ้น



 

คุณพ่อเองก็ต้องเข้าใจเรื่องของการแพ้ท้องด้วยนะครับ หากแต่ก่อนตอนที่ยังไม่ท้องคุณเธอเป็นคนเอาใจยากเย็น ตอนแพ้ท้องนี่สิยิ่งจะเอาใจยากไปกันใหญ่ โดยเฉพาะเรื่องอาหารการกิน อาหารที่เคยชอบก็อาจไม่ชอบ ของไม่ชอบก็อาจชอบขึ้นมา เอาแน่เอานอนไม่ได้ คิดแล้วปวดหัว 

การแพ้ท้องทำให้คุณแม่ขาดน้ำ พอขาดน้ำก็ทำให้ปากแห้งน้ำลายขม พอน้ำลายขมก็เลยกินอะไรไม่อร่อย อะไรก็กินฝืดคอไปหมด การขาดน้ำก็ทำให้รู้สึกผิวแห้งๆเหมือนกระดาษ รู้สึกเหมือนมีไข้รุ่มๆ  ... ดังนั้นสิ่งแรกที่คุณแม่ที่แพ้ท้องหนักต้องเอาชนะให้ได้เป็นอย่างแรกก็คือ กินน้ำให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถ้าได้น้ำเพียงพอ ปากก็ไม่แห้ง น้ำลายไม่ขม กินอะไรก็มีรสชาดมากขึ้น ตัวไม่รุ่ม สบายตัวสดชื่นขึ้นเยอะ

คุณแม่ที่แพ้ท้องมาก กินอะไรเข้าไปก็อาเจียนออกมาหมด จนบางทีก็ท้อแทบไม่อยากจะกินอาหารเลย ... แต่อย่างไรก็ตามก็ต้องฝืนกินบ้างนิดๆหน่อยๆก็ยังดี กินบ้างอาเจียนบ้างก็ไม่ต้องไปเสียดาย เพราะช่วงนี้ความรู้สึกของปากกับท้องมันไม่ตรงกัน ถึงปากไม่อยากกิน แต่ท้องมันก็ยังหิวอยู่ เพราะถ้าคุณแม่ปล่อยให้ท้องว่าง น้ำย่อยจะหลั่งออกมาตามเวลาปกติ หากไม่มีอาหารลงไปเลยก็จะทำให้คุณแม่รู้สึกแสบร้อนในท้อง จนบางทีต้องอาเจียนออกมาเป็นน้ำลายปนน้ำย่อยเขียวๆ อีกทั้งระดับน้ำตาลในเลือดที่ลดต่ำลงมากเกินไป ทำให้ยิ่งอ่อนเพลียหนักไปอีก ... คุณพ่ออาจจะหาขวดโหลน่ารักๆ ใส่คุกกี้ ขนมปังกรอบ หรือลูกอมหวานๆ เอาไว้ให้คุณแม่ทานเล่น หรือเป็นพวกขนมหวาน น้ำผลไม้ ใส่ตู้เย็นไว้ ถ้าเป็นน้ำอัดลมควรเลือกที่เป็นน้ำสี เช่นน้ำแดง น้ำส้ม เพราะถ้าเป็นน้ำดำจะมีคาเฟอีนผสม ไม่ดีสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ แต่ถ้าไม่ชอบน้ำผลไม้หรือน้ำอัดลม ลองจิบน้ำขิงอุ่นๆ จะทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้น ลดอาการคลื่นไส้อาเจียน และยังเพิ่มพลังงานแก่ร่างกายด้วย

 

ถ้ายังอาเจียนอยู่ คุณพ่อควรใช้วิธีให้คุณแม่ทานมื้อละนิด พอให้อยู่ท้อง และทานบ่อยๆ เลือกอาหารอ่อนๆ ย่อยง่าย ให้พลังงานสูง ไม่คาว ไม่มันเลี่ยน หลีกเลี่ยงอาหารที่มีกลิ่นแรง และเมื่อทานแล้วอย่าเพิ่งให้คุณแม่นอนพักทันที พาคุณแม่ไปเดินเล่นย่อยอาหารสักครึ่ง ชม. เสียก่อน เพราะว่าฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลง จะทำให้หูรูดส่วนบนของกระเพาะอาหารคลายตัว หากล้มตัวลงนอนทันที อาหารอาจไหลย้อนกลับขึ้นมา คุณแม่ก็อาเจียนออกหมด และก่อนเข้านอนถ้าคุณแม่ได้ทานอะไรสักนิด ตื่นมาตอนเช้าจะคลื่นไส้น้อยลง


 


หากคุณแม่อาเจียนมาก คุณพ่อควรช่วยเอามือลูบหลังเบาๆ หาผ้าชุบน้ำเช็ดหน้าเช็ดตาให้สดชื่น หาน้ำอุ่นๆให้คุณแม่จิบเพื่อช่วยลดอาการพะอืดพะอม และเพื่อล้างกรดน้ำย่อยที่ตกค้างอยู่ในหลอดอาหารลงให้หมดไป กรณีที่อาการหนักมาก เช่น หน้ามืด เป็นลม มือเท้าเย็น เหงื่อออก ปากแห้ง ควรรีบพาไปพบแพทย์เพื่อประเมินอาการ และหาทางป้องกัน หรือบรรเทาอาการให้ดีขึ้น อาจต้องทานยาแก้อาเจียนร่วมด้วย แต่ก็ต้องได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ก่อนครับ

 

ยาที่ใช้รักษาอาการแพ้ท้องก็มีจำกัด ที่ใช้กันบ่อยๆก็เป็นอันเดียวกันกับที่ใช้รักษาอาการเมารถเมาเรือนั่นเองครับ ยาที่ว่านี้ก็ใช้ได้ปลอดภัย ใช้กันมานานมากแล้วโดยยังไม่มีรายงานว่ามีผลต่อลูกในครรภ์  แต่ข้อเสียก็คือกินแล้วบางทีก็ไม่หายยังอาเจียนอยู่เหมือนเดิม  ดังนั้นจะพึ่งแต่ยาอย่างเดียวก็คงไม่ได้หรอกครับ การดูแลปฏิบัติตัวที่ดีอาจจะช่วยได้เยอะ  อันดับแรกเลยคุณแม่ก็ควรเลือกรับประทานอาหารอ่อน ย่อยง่าย ไม่คาวไม่มัน  กลิ่นน้อยๆ รับประทานทีละน้อยๆ อย่ากินทีเดียวเยอะๆ อย่ากินจนรู้สึกอิ่มเพราะเดี๋ยวก็จะรู้สึกอยากอาเจียนตามมา กินนิดกินหน่อยไปเรื่อยๆดีกว่า รวมๆแล้วทั้งวันก็กินได้เยอะกว่ากินเป็นมื้อๆด้วยซ้ำไป อาหารการกินก็ควรกินกันตอนร้อนๆควันขึ้นฉุยๆ ค่อยๆกินไปดีกว่าจะมากินตอนเย็นชืดแล้ว  ข้าวเย็นชืด ข้าวต้มค้างคืน ยิ่งกินก็ยิ่งคลื่นใส้ไปกันใหญ่   ของคาวๆตอนนี้ก็อย่าเพิ่งไปเน้นดีกว่าครับ เลือกกินของที่พอกินได้ กินแล้วไม่อาเจียน บางคนกินน้ำเต้าหู้ได้  กินแล้วไม่อาเจียนก็กินแต่น้ำเต้าหู้ไปก่อน  ของที่ทดแทนของคาวได้ดีที่ผมแนะนำแล้วค่อนข้างworkดีนั่นก็คือ ไอศกรีมนั่นเองครับ ไอศกรีมมีทั้งน้ำ น้ำตาล ไขมัน ให้พลังงานได้สมบูรณ์แบบ โดยที่ไม่ค่อยมีความคาว แถมกินลงไปแล้วก็ละลายไหลผ่านกระเพาะลงสำใส้ไปดูดซึมได้อย่างรวดเร็ว  ร่างกายได้สารน้ำ น้ำตาล ไขมันอย่างเหลือเฟือ มาอาเจียนทีหลังมันก็ไหลลงไปหมดแลวซะแล้ว หลายคนน้ำหนักขึ้นตั้งเยอะทั้งๆที่กำลังแพ้ท้องอยู่

 

แต่คุณแม่หลายคนก็แพ้ท้องไม่หายไม่ว่าจะใช้สูตรไหน  จนบางทีก็ท้อแท้เหมือนกัน แต่ก็ไม่ยากหรอกครับ การรักษาแพ้ท้องที่เป็นหนักๆ ก็เหมือนกับการรักษาอาการอกหักนั่นเองครับ “ต้องอดทนกล้ำกลืนฝืนทนกับมัน แล้วสุดท้ายมันก็จะหายได้ด้วยกาลเวลา”

 

คุณแม่หลายคนก็อาจจะกังวลว่าไม่ได้กินอะไรเลยจะมีผลต่อลูกหรือเปล่า ...ก็ไม่ต้องมาห่วงลูกเลยครับตอนนี้ เอาตัวเองให้รอดก่อนดีกว่า เพราะลูกในท้องจะมีไข่แดง หรือถุงอาหารติดตัวมาด้วย ถุงอาหารที่ว่านี้ก็ทำหน้าที่เหมือนกับใบเลี้ยงเวลาเราปลูกเมล็ดถั่วนั่นเองครับ ถุงอาหารนี้ก็มีอาหารเพียงพอเหลือเฟือสำหรับลูกใน 12 สัปดาห์แรก  หลังจาก 12 สัปดาห์ถุงอาหารก็จะเริ่มฝ่อสลายหายไป ถึงตอนนี้แหละครับที่ลูกเริ่มต้องพึ่งพาอาหารจากแม่ ตอนนั้นคุณแม่ก็มักหายจากอาการแพ้ท้องแล้วครับ

 

อย่างน้อยเวลาแพ้ท้องคุณแม่อาจให้กำลังใจตัวเองบ้างก็ได้ คิดในแง่ดีสิครับ เพราะว่า “คนที่แพ้มักไม่แท้ง ส่วนคนที่แท้งก็มักไม่แพ้” คิดอย่างนี้แล้ว คุณแม่หลายๆคนก็อาจจะฝืนทนอาการแพ้ท้องด้วยความดีใจก็ได้



 

อาการที่คนท้องอ่อนๆเป็นกันแทบทุกคนอีกอย่างนึงก็คือ อาการปัสสาวะบ่อย  ก็ตอนท้องมดลูกมันก็ต้องขยายตัวขึ้นเรื่อยๆ  พอมดลูกโตขึ้นมันก็จะไปกดเบียดทำให้ความจุของกระเพาะปัสสาวะเล็กลงเรื่อยๆ ซึ่งก็จะทำให้รู้สึกปัสสาวะบ่อยขึ้น  อาการนี้ก็มักเป็นในช่วง 12 สัปดาห์แรก พอมดลูกลอยขึ้นไปอาการปัสสาวะบ่อยก็จะดีขึ้น มาปัสสาวะบ่อยอีกทีก็ตอนท้องลด-หัวลงในตอนท้ายๆของการตั้งครรภ์ อาการปัสสาวะบ่อยที่ว่านี้ต้องไม่มีอาการแสบขัดร่วมด้วยนะครับ ถ้ามีแสบขัดร่วมด้วยก็ต้องสงสัยกระเพาะปัสสาวะอักเสบไว้ก่อน


 



อาการของคุณแม่ท้องอ่อนอีกอันก็คือ อาการเจ็บที่ท้องน้อยด้านข้าง  เท้าความมาแต่เดิมก็ได้ว่า เดิมแล้วมดลูกเราก็มีขนาดเท่าไข่ไก่เท่านั้นเอง ด้านข้างก็จะมีปีกมดลูกสองข้างยึดตึงไว้ไม่ให้มดลูกโยกเยกไปมา ลองนึงถึงเสาไฟฟ้าต้นใหญ่ๆก็แล้วกันนะครับที่มักจะมีเส้นลวดสลิงโยงไว้ทั้งสองข้าง   พอมดลูดโตขึ้นก็จะงอกโตขึ้นด้านบนไปเรื่อยๆ ปีกมดลูกก็จะตึงมากขึ้นเรื่อยๆ

 

หากคุณแม่ลุกขึ้นลุกลงจากเตียงไม่ค่อยระวัง ไปงัดเกร็งหน้าท้องขึ้น หรืองัดเอนนอนลงก็จะทำให้ปีกมดลูกทั้งสองข้างตึงเจ็บ  ดังนั้นตลอดการตั้งครรภ์ก็ขอแนะนำให้ตะแคงขึ้นตะแคงลงด้านข้างดีกว่าครับ การเกร็งหน้าท้องลุกขึ้นลุกลงในตอนท้องแก่ก็มีผลทำให้เกิดการเจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนดอีกด้วย  เมื่อท้องโตขึ้นเรื่อยๆอาการเจ็บที่ปีกมดลูกนี้ก็จะค่อยๆดีขึ้นเรื่อยๆ ถ้าเจ็บมากก็กินได้แต่ยาพารากับไปนอนพักเท่านั้นเองครับ  แต่อย่างไรก็ตามถ้าหากเจ็บมากขึ้น ท้องอืด วิงเวียนเป็นลม ก็อย่านิ่งนอนใจนะครับ อาการที่ว่านี้อาจเป็นอาการของการตั้งครรภ์นอกมดลูกก็ได้ ควรไปหาหมอตรวจให้รู้เรื่องกันไปเลยว่าลูกยังอยู่ดีหรือเปล่า

 

อาการเจ็บปีกมดลูกที่ว่ามานี้ก็ต้องเจ็บทางด้านข้างเท่านั้นนะครับ  ส่วนตรงกลางก็อาจจะมีความรู้สึกถ่วงๆได้จากการที่มดลูกมีเลือดมาเลี้ยงมากขึ้นจนเป่งพองโตขึ้น อาการถ่วงๆเหมือนตอนประจำเดือนจะมานั่นเองครับ แต่จะต้องไม่มีอาการบีบๆเหมือนตอนที่มีประจำเดือนมาแล้วเป็นอันขาด เพราะถ้าหากมดลูกมีการบีบตัวก็จะเป็นเหตุนำไปสู่การแท้งได้

 

      ที่เล่ามาให้ฟังเสียยืดยาวเนี่ยก็เป็นเรื่องของการตั้งครรภ์ปกติที่ใครๆก็อาจเป็นได้

 

      มาคุยกันต่อเรื่องความผิดปกติที่พบได้บ่อยกันบ้างดีกว่าครับ

 

ในคุณแม่ที่ตั้งครรภ์ทั้งหมด พบว่าจะมีถึง 25% ที่มีเลือดออกทางช่องคลอดในช่วงแรกๆของการตั้งครรภ์ และ ในจำนวนที่เลือดออกนี้ ประมาณครึ่งหนึ่งก็จะเกิดการแท้ง สาเหตุที่เลือดออกที่พบได้บ่อยๆก็อาจเกิดจากการที่ตัวอ่อนฝังตัวไปโดนเส้นเลือดที่หล่อเลี้ยงเยื่อบุโพรงมดลูกพอดี เลือดที่ออกแบบนี้สมัยก่อนเราก็เรียกว่า “เลือดล้างหน้า” เลือดจะออกไม่มาก มี 2-3 วันก็หยุดได้เอง

 

ในกรณีที่มีเลือดออกคุณแม่ก็อย่านิ่งนอนใจ ควรไปพบคุณหมอที่ฝากครรภ์ทันที เพื่อตรวจดูว่าลูกในครรภ์ยังเป็นปกติดีหรือเปล่า  คุณหมอก็มักจะตรวจโดยใช้เครื่องอุลตร้าซาวด์ดูการเต้นของหัวใจของทารกในครรภ์  ตอนนี้แหละครับที่ลุ้นระทึกกันหน่อย เพราะประมาณครึ่งนึงจะยังเห็นหัวใจของตัวอ่อนเต้นอยู่เป็นปกติ แต่อีกครึ่งหนึ่งก็จะไม่เห็นหัวใจเต้น ถึงตอนนี้ก็เป็นเรื่องเศร้าที่ต้องทำใจ

 

ใน 12 สัปดาห์แรก คุณแม่ทุกคนในโลกนี้ ไม่ว่าจะจน จะรวย คนไทย คนจีน คนฝรั่ง ก็จะมีโอกาสเสี่ยงที่จะแท้งเท่ากันทุกคน โดยจะเกิดการแท้งประมาณ  13 %ของคนที่ตั้งครรภ์ทั้งหมด หรือก็ประมาณครึ่งนึงของคนที่เลือดออกนั่นเองครับ สาเหตุของการแท้งก็มักเกิดจากความผิดปกติของตัวอ่อนเอง ....ก็คนเรากว่าจะสร้างเป็นตัวเป็นตนออกมาได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆนะครับ ในไข่ของแม่ต้องจะมีโครโมโซมทั้งหมดสามพันล้านตัว เมื่อมีการปฏิสนธิก็ต้องมารวมตัวกันกับโครโมโซมของพ่อที่อยู่ในตัวอสุจิอีกสามพันล้านตัว  หากเกิดการรวมตัวกันไม่สมบูรณ์ หรือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งส่งโครโมโซมมาไม่ครบ เป็นผลทำให้โครงสร้าง อวัยวะต่างๆไม่ครบสมบูรณ์  ตัวอ่อนไม่สามารถเติบโตมีชีวิตต่อไปได้ สุดท้ายตัวอ่อนก็จะสลายตัวไป  แล้วคนเราก็มีความพิถีพิถันในการคัดเลือกพันธุ์สูงด้วยนะครับ  ผิดนิดผิดหน่อยก็ไม่ค่อยปล่อยเล็ดลอดคลอดออกมาให้เห็นกันหรอกครับ  ถ้าเทียบกับช้างม้าวัวควาย   พวกนั้นจะคลอดลูกออกมาแปลกเยอะ บางทีมีสองหัวสามขาดูน่าตกใจ ของคนเราไม่มีแบบนี้หรอก เพราะมักจะแท้งออกมาก่อนตั้งแต่ต้น โดยเฉพาะใน 3 เดือนแรก

 

ในคุณแม่ที่มีเลือดออกมาทางช่องคลอด  ตรวจอุลตร้าซาวด์แล้วยังโชคดีที่เห็นตัวอ่อนมีหัวใจเต้นอยู่  อย่างนี้ก็ไม่น่าเป็นห่วงนักหรอกครับ อัตราการแท้งก็ค่อนข้างต่ำ สิ่งสำคัญที่สุดก็คือต้องหยุดกิจกรรมทุกอย่าง แล้วนอนพัก ท่องไว้เลยนะครับว่า Bed rest is the best policy” แล้วเลือดก็มักจะออกน้อยลง แล้วก็หยุดในที่สุด ระหว่างนี้ก็ต้องสังเกตอาการ 3 ข้อนี้ครับ

 

นับจากจุดที่เริ่มมีเลือดออก เลือดต้องออกน้อยลงเรื่อยๆ ห้ามออกมากขึ้น

เลือดออกมาสีดำๆดีกว่าเลือดสีแดงๆ  ก็เลือดดำมันก็คือเลือดเก่าๆที่ตกค้างอยู่ แล้วเลือดที่ไหลออกมาก็มักจะน้อย เรื่องกำลังจะจบ แต่ถ้าเป็นเลือดสีแดงสดก็มักจะบ่งบอกว่า ตอนนี้ข้างในกำลังมีปัญหา เรื่องยังไม่จบง่ายๆ

สุดท้ายก็ต้องไม่ปวดท้อง ปกติแล้วคนท้องจะรู้สึกถ่วงๆท้องน้อยได้ จากการที่มดลูกขยายตัว อาการถ่วงก็คือมีปวดท้องนิดๆคงที่ แต่ถ้าปวดบีบๆเป็นพักๆนี่สิแย่เลยครับ เพราะอาจจะมีการแท้งตามมาได้

โดยมากแล้วคุณแม่ที่มีเลือดออกในระหว่างการตั้งครรภ์ ที่เกิดจากการที่รกลอกตัว เลือดก็มักจะหยุดได้เองภายในไม่เกินสัปดาห์ที่ 12 ของการตั้งครรภ์ 

 

ความผิดปกติในไตรมาสที่ 2 

ที่อ่านมาข้างบน เราก็ได้รู้จักอาการที่อาจเกิดขึ้นได้ในระหว่างการตั้งครรภ์ในไตรมาสแรกไปแล้ว  มาต่อกันเรื่องของไตรมาสที่สอง ซึ่งอาการจะแตกต่างกับในสามเดือนแรกค่อนข้างมาก   อาการต่างๆที่เกิดขึ้นในสามเดือนแรกก็จะค่อยๆน้อยลงแล้วก็หายไปในที่สุด

 

อาการแพ้ท้องโดยเฉลี่ยก็จะหายไปตอน 14 สัปดาห์ ส่วนอาการปัสสาวะบ่อยก็จะดีขึ้นเยอะ เพราะเมื่อมดลูกลอยสูงโผล่พ้นอุ้งเชิงกรานขึ้นไป ก็จะไปโผล่ดันออกทางหน้าท้องด้นหน้า อาการไปกดเบียดกระเพาะปัสสาวะก็จะดีขึ้น แต่อาการเจ็บปีกมดลูกก็จะยังอาจเจ็บอยู่ ยิ่งถ้าเดินเยอะมดลูกโยกไปโยกมาเยอะก็จะยิ่งเจ็บเยอะ  แล้วมดลูกก็จะขยายตัวจนไปชนด้านข้างของช่องท้องพอดีก็ตอน 28 สัปดาห์ ตอนนี้มดลูกก็จะอยู่นิ่งกับที่ไม่แกว่งไปแกว่งมาเหมือนเมื่อก่อนแล้วครับ  อาการเจ็บปีกมดลูกก็จะดีขึ้น 


โดยปกติแล้วไตรมาสที่สองนี่แหละครับที่คุณแม่ส่วนมากแล้วจะรู้สึกสบายเนื้อสบายตัวมากที่สุด ฮอร์โมนที่เพิ่มขึ้นมากก็จะทำให้รู้สึกเนื้อตัวก็จะเปล่งปลั่งไปหมด  พอหายแพ้ท้องแล้ว ..ช่วงนี้ก็เลยมีอาการแพ้ปากขึ้นมาแทน เห็นอะไรก็อยากกินไปหมด แถมกินตอนนี้ก็ไม่มีใครว่า ถ้าไม่กินนี่สิเดี๋ยวเป็นเรื่อง จะไม่กินก็ไม่ได้ มันหิว มันอยากไปหมด ส่วนมากก็แพ้ใจ แพ้ปากตัวเองทุกที ได้กินสมใจอยากแล้วมันรู้สึกมีความสุขที่สุดเลย  ....คนที่แพ้ท้องมาหนักๆจะเข้าใจความรู้สึกอย่างนี้ดี ... ช่วงนี้ท้องก็ยังไม่ใหญ่นัก ใส่ชุดคลุมท้องก็ดูน่ารัก    ตอนไตรมาสที่สาม ท้องก็ใหญ่มากดูไม่สวยไม่น่ารักเท่าตอนท้องกลางๆ ตัวก็จะใหญ่ ท้องก็จะหนักดูอุ้ยอ้ายไปหมด ตอนช่วงไตรมาสที่สองนี่แหละที่เป็นช่วงที่คุณแม่สามารถทิ้งทวนใช้ชีวิตที่เป็นอิสระครั้งสุดท้ายในชีวิต ก่อนที่ลูกที่เป็นบ่วง เป็นพันธะ จะมาช่วยทำให้เรารู้สึกว่า วันเวลาของเรามันหายไปไหนหมด..ช่วงนี้อยากเที่ยว อยากไปไหน ก็ให้รีบไปเลยครับ  ขืนชักช้าพอลูกคลอดออกมาแล้วกว่าจะได้ลืมตาอ้าปากมีเวลาไปเที่ยวได้สบายๆก็คงอีกหลายปีเลยล่ะ

 

ช่วงไตรมาสที่สอง ถึงแม้ว่าจะเป็นช่วงที่ดูจะสบายที่สุด แต่ก็อาจจะมีความผิดปกติเกิดขึ้นได้เหมือนกัน  ช่วงนี้ลูกในท้องก็เริ่มโตขึ้นเยอะ  ก็ย่อมต้องการสารอาหารเพิ่มขึ้นอย่างมากมายมหาศาล  ลูกในท้องก็ไม่ต่างอะไรกับพยาธิตัวยักษ์เลยครับ เพราะลูกจะคอยดูดเลือด ดูดสารอาหารต่างๆ ดูดวิตามิน ดูด...ดูด..ดูด..ไปจากตัวแม่   ไม่ว่าแม่จะแพ้ท้องมาก แม่ยังไม่ได้กินข้าว ลูกก็จะยังคงตั้งหน้าตั้งตาดูดสารอาหารต่างๆไปจากแม่ไม่หยุดแม้แต่วินาทีเดียว  ...ช่วงนี้คุณแม่ก็เลยเริ่มๆมีอาการของการขาดสารอาหาร ทั้งอาการซีด ตะคริว มือชาเท้าชา ก็เกิดขึ้นเนื่องจากลูกในท้องแอบขโมยสารอาหารของเราไปใช้หมดนั่นเองครับ

 

อาการซีด หรือโลหิตจางก็เป็นความผิดปกติที่พบได้บ่อยมาก เพราะในระหว่างการตั้งครรภ์ร่างกายของคุณแม่จะมีปริมาณเม็ดเลือดเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม 25%  แต่ในขณะเดียวกันร่างกายก็มีปริมาณน้ำเพิ่มขึ้นอีก 40 %ด้วย  ก็เลยเป็นเหตุทำให้เลือดจางลง แม้ว่าจะไม่ได้ขาดอาหารอะไรเลยก็ตาม  ดังนั้นในระหว่างที่ตั้งครรภ์คุณหมอก็จะสั่งยาบำรุงเลือดมาให้คุณแม่รับประทานด้วยเสมอ  คุณแม่ก็ควรรับประทานยาตามที่คุณหมอให้มาอย่างเคร่งครัดด้วยนะครับ   ยาธาตุเหล็กนี้ก็มีหลากหลายยี่ห้อ หลากสี บางยี่ห้อก็กินวันละครั้ง แต่เม็ดก็จะโตหน่อย บางยี่ห้อเม็ดเล็กลง แต่ก็ต้องกินวันละสองครั้งสามครั้ง  ส่วนมากก็ให้กินหลังอาหารเช้า  แต่คุณแม่บางคนก็มีอาการเรอเหม็นกลิ่นสนิมเหล็ก  เลยพาลทำให้คลื่นใส้กินอะไรไม่ได้ไปทั้งวัน  ถ้ามีอาการนี้ก็ให้มารับประทานยากันตอนก่อนนอนก็ได้ไม่มีใครว่า ขอให้กินยาทุกวันไม่ได้ขาดก็ใช้ได้  และที่สำคัญก็ไม่ควรกินยาบำรุงเลือดพร้อมนมด้วยนะ  เพราะธาตุเหล็กจะทำปฏิกิริยากับแคลเซี่ยมในนม เกิดเป็นตะกรันตกตะกอนนอนก้นไม่ดูดซึมเข้ากระแสเลือด ที่กินเข้าไปก็เลยเสียของ ถูกขับถ่ายออกมาทางอุจจาระหมด 

 


อีกอาการที่พบกันได้บ่อยๆก็คือ ตะคริวกินนั่นเองครับ  ตอนไม่ท้องก็เป็นเหมือนกัน แต่ก็นานๆที แต่ตอนท้องนี่สิลูกในท้องต้องการแคลเซี่ยมเพิ่มขึ้นเป็นปริมาณมหาศาล เพื่อใช้ในการสร้างกระดูกและฟันของเขาใหม่ทั้งชุด  แคลเซี่ยมที่แต่เดิมมีพอดีไม่ขาดไม่เกินก็ถูกกว้านซื้อ ถูกดูดไปใช้ที่ตัวเด็กซะหมด แม่ก็เลยเกิดอาการของการขาดแคลเซี่ยม นั่นก็คือ อาการตะคริวกินนั่นเองครับ   ตะคริวกินก็จะเริ่มเป็นในช่วง 16 สัปดาห์เป็นต้นไป ในช่วงตั้งครรภ์อ่อนๆก่อนหน้านี้ก็ไม่ค่อยเป็นกันหรอกครับ เพราะตอนนั้นลูกในท้องยังเป็นวุ้นอยู่ ยังไม่มีการสร้างกระดูก ก็เลยยังไม่ได้ต้องการแคลเซี่ยมมากมายสักเท่าไหร่ แล้วลูกก็จะเริ่มสร้างกระดูกและฟันกันตอน 16 สัปดาห์เป็นต้นไปนี่แหละ  ดังนั้นก่อน 16 สัปดาห์ก็อาจยังไม่จำเป็นต้องกินนม กินแคลเซี่ยมกันมากนัก  เพราะกินไปก็ใช้น้อย  แถมบางทียิ่งกินนมเข้าไปก็ยิ่งรู้สึกคลื่นใส้อาเจียนเข้าไปกันใหญ่ เลยพาลกินอะไรอย่างอื่นไม่ได้ไปด้วย กลายเป็นของที่ต้องกินดันกินไม่ได้ แต่ของที่ยังไม่อยากได้ แต่ดันกิน  ...ก็รู้สึกว่ามันเป็นธรรมเนียมปฏิบัติกันมาหรืออย่างไรก็ไม่รู้นะครับว่า พอรู้ตัวว่าท้องก็ต้องรีบกินนม  ก็ถูเหมือนกันครับว่า พอท้องแล้วก็ต้องกินนม ถ้ากินได้ก็กินไป แต่ถ้ากินไม่ได้ก็รอจนหายแพ้ท้องก่อนดีกว่า ..บางคนก็อยากจะบำรุงมากเหลือเกิน เวลามาเจอหมอก็บอกเลยครับว่า  กินนมเป็นประจำตลอดเลยค่ะ กินแทนน้ำวันนึงเกือบสองลิตรเลยค่ะ  ..อีกเดือนต่อมาเจอกันอีกทีก็แทบจะจำไม่ได้ ก็เธอตัวพองอ้วนเป็นอึ่งอ่างหน้าฝนเลย  ..ก็เพราะนมวันละสองลิตรของเธอนั่นเองครับ  ปกติแล้วนมก็ควรเลือกเป็นนมพร่องมันเนย เพราะเราไม่ได้อยากได้ไขมันจากนมสักเท่าไหร่ ถ้าเป็นนมปกติมันก็มันมันอร่อย กินไปกินมาทุกวันก็จะได้ไขมันรวมแล้วมหาศาล ซึ่งไขมันส่วนนี้แหละก็จะไปเหลือสะสมที่ตัวคุณแม่  แล้วก็ดื่มนมวันละแค่ครึ่งลิตร หรือสองแก้วก็พอ เพราะลูกในท้องต้องการแคลเซี่ยมเพียงแค่นี้   ถึงจะดื่มนมไปมากกว่านี้ ลูกในท้องก็ไม่ได้ดูดซึมเอาไปใช้เพิ่มมากกว่านี้เลยครับ

 


คราวนี้ถ้าหากมีอาการตะคริวกิน ที่ต้องรีบแกะตะคริวก่อนเป็นอย่างแรก ถ้าสามีนอนอยู่ข้างๆก็ต้องรีบปลุกมาแกะโดยเร็วเลยครับ โดยให้จับปลายเท้ากระดกขึ้น แล้วเอามืออีกข้างคอยบีบนวดที่น่องให้กล้ามเนื้อคลายตัว ทำจนรู้สึกว่ากล้ามเนื้อนิ่มหมดก็เลิก  ถ้าตะคริวกินปั๊บแล้วรีบแกะปุ๊บก็มักจะไม่มีอาการปวดหลงเหลือ  แต่ถ้าตะคริวกินแล้วยังใจเย็น ยิ่งกินนานก็ยิ่งเหลืออาการปวดไปอีกนาน ถ้ามีอาการปวดอย่างที่ว่านี้ก็เอาผ้าชุบน้ำอุ่นคอยนวดประคบครับ อาการก็จะดีขึ้นเร็ว

 

ตลอดท้องก็ต้องพยายามกินแคลเซี่ยมเสริมให้เพียงพอนะครับ หลังคลอดไปแล้ว ถึงจะคลอดแล้วถ้าลูกยังกินนมแม่อยู่ แม่ก็จะเสียแคลเซี่ยมไปให้ลูกตลอดเหมือนกันครับ คุณแม่ก็ต้องกินแคลเซี่ยมตลอดหากลูกยังกินนมแม่อยู่

 

นอกจากจะตะคริวกินแล้ว คุณแม่หลายๆคนก็อาจจะมีอาการชาตามปลายมือได้อีกด้วย เวลาจับอะไรมันเหมือนไม่มีความรู้สึก มักเป็นมือข้างที่ถนัด  เป็นปลายนิ้วชี้ นิ้วกลาง นิ้วนาง มากกว่านิ้วอื่น แล้วก็จะชาทางด้านหน้ามากกว่าด้านหลัง  ที่เป็นตรงนี้มากก็เพราะทั่วทั้งร่างกายคุณแม่ ปลายนิ้วตรงนี้แหละครับเป็นส่วนที่ระบบประสาทต้องทำงานมากที่สุด ไหนจะหยิบ จะจับ จะสัมผัส ก็ต้องตรงนี้ทั้งนั้น ร่างกายส่วนอื่นๆทั้งวันทั้งคืนแทบไม่ได้มีการสัมผัสเลยก็มี ดังนั้นหากร่างกายมีอาการขาดวิตามิน บี ก็จะมีอาการเหน็บชาที่ตรงส่วนนี้ก่อนที่จะชาที่ส่วนอื่น  อาการชาปลายนิ้วนี่แหละครับจะเป็นตัวที่คอยเตือนคุณแม่ว่า ลูกกำลังระดมทุนสร้างระบบประสาทของเขาอยู่นะ สร้างสมองทั้งอัน ระบบประสาทชุดใหญ่ทั่วทั้งตัว ก็ย่อมต้องการวิตามินมหาศาล ถ้ากินไม่ทันเท่าที่เขาต้องการ อาการมันก็จะฟ้องเองครับ ตอนนี้คุณแม่ก็ควรรับประทานผัดสด ผลไม้เพิ่มมากขึ้น หรือบางทีก็อาจจำเป็นต้องทานวิตามินเสริมด้วยครับ



 

ในไตรมาสที่สองรูปร่างทรวดทรงของคุณแม่ก็จะเห็นมีการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัดแล้วครับ ที่เห็นชัดสุดก็ตรงหน้าท้องนั่นเองครับ ท้องจะโตมากขึ้นเรื่อยๆ โย้ออกมาทางด้านหน้ามากขึ้นเรื่อยๆ ก็เลยทำให้หลังแอ่นมากขึ้น กล้ามเนื้อหลังเป็นอวัยวะที่เรียกได้ว่าปิดทองหลังพระมากที่สุดของคนท้องเลยก็ว่าได้ เพราะมันจะต้องทำงานเพิ่มขึ้นหนักที่สุดในระหว่าที่คุณแม่ตั้งครรภ์  เนื่องจากกล้ามเนื้อหลังจะอยู่ติดชิดกระดูกสันหลัง ส่วนหน้าท้องทางด้านหน้าจะยื่นโย้ออกไปห่างจากกระดูกสันหลังมากกว่ากล้ามเนื้อหลังถึง 5 เท่า  ดังนัน้ถ้าหน้าท้องด้านหน้ามีน้ำหนัก 15 กิโลกรัม กล้ามเนื้อหลังก็ต้องออกแรงดึงต้านไว้ถึง 75 กิโลกรัมถึงจะสมดุลให้ลำตัวตั้งตรงอยู่ได้  ถ้ารู้แล้วว่ากล้ามเนื้อหลังทำงานมากขนาดนี้ก็เห็นทีจะต้องถนอมดูแลกันบ้าง พยายามหลีกเลี่ยงการใช้กล้านเนื้อหลังโดยไม่จำเป็น ถ้าจะหยิบของบนพื้นก็ให้ย่อเข่าหลังตรงลงมาหยิบดีกว่า เวลานั่นทำงานก็ให้นั่งหลังพิงพนักไว้เสมอ กล้ามเนื้อหลังจะได้มีเวลาพักบ้าง ถ้านั่งหลังตรงออกมาจากที่พิงเมื่อไหร่ หลังก็ต้องทำงานทันทีเมื่อนั้น  เวลานั่ง ยืน เดิน ก็พยายามนั่งหลังตรง ยืนตัวตรง กล้ามเนื่อหลังก็จะทำงานน้อยสุด

 

ที่สำคัญตอนท้องต้องใส่รองเท้าที่ส้นเตี้ยมากที่สุด ยิ่งส้นสูงมาก หลังก็ต้องยิ่งแอ่นมาก ก็จะยิ่งปวดหลังมาก ..ที่สำคัญหากปวดหลังไปแล้ว หมอก็มักจะใจร้ายไม่ยอมให้กินยาด้วย เพราะยาพวกโรคกระดูกโรคกล้ามเนื้อ มักมีผลทำให้เกิดลิ้นหัวใจรั่วได้  ก็เลยใช้ได้เพียงแค่ยานวด กับประคบน้ำอุ่นเท่านั้นเองครับ

 

ความผิดปกติในไตรมาสที่ 3

 

ดูแลแม่ใหม่วันนี้ก็เป็นเรื่องของความผิดปกติที่พบกันได้บ่อยๆในไตรมาสที่ 3  ซึ่งไตรมาสที่  3 นี้ก็เริ่มกันตั้งแต่ 28 สัปดาห์เป็นต้นไปเลยครับ ช่วงสุดท้ายนี้ขนาดท้องของคุณแม่จะใหญ่ขึ้นมาก คุณแม่ก็จะรู้สึกเหนื่อยกันมากกว่าช่วงแรกๆ ไตรมาสที่สามนี้ คุณแม่จะดูอุ้ยอ้ายเทอะทะ จะเดินก็เหนื่อย จะลุกจะนั่งทำอะไรก็ลำบาก ขนาดนอนก็ยังไม่รู้จะนอนท่าไหนดีเลยครับ

 

ปัญหาของไตรมาสสุดท้ายนี่ก็มักจะเป็นปัญหาจากการขยายตัวของมดลูก  ปัญหาที่ตามมาไม่ว่าจะหน้าท้องขยายจนท้องลาย หรือท้องขยายยันบนยันล่างจนจุกแน่นลิ้นปี่ หรือบางทีก็กดหัวหน่าวจนรู้สึกเจ็บ บางทีท้องมันก็แข็ง บางทีลูกดิ้นก็เจ็บระบมไปหมดเลยก็มี 

 

เริ่มต้นอันดับแรกกันเรื่องท้องลายดีกว่าครับ  .... 

สิ่งที่ผู้หญิงกลัวกันมากในระหว่างตั้งครรภ์ นอกจากความอ้วนแล้ว ก็เห็นจะเป็นเรื่องท้องลายนี่แหละครับ  แต่ถ้าอ้วนก็ยังสามรถไปรีดน้ำหนักลงให้ผอมลงได้ดั่งใจ แต่ถ้าหากท้องลายนี่สิที่เห็นจะเป็นเรื่องใหญ่  เพราะไม่ว่าจะทาครีมลบรอยแผลเป็น  ขัดผิว กรอผิวมันก็ไม่จางลงหายไปสักเท่าไหร่  ...มีวิธีเดียวที่เห็นจะได้ผลที่สุด ก็คือ ไปเกิดใหม่ อย่างเดียวเท่านั้นเองครับ 

 


ผู้หญิงเราที่ตั้งครรภ์ก็จะมีปัญหาท้องลายกันกว่า 90% เชียวแหละครับ บางคนก็ลายนิดลายหน่อยมีแค่เส้นสองเส้น   แต่บางคนก็ลายกันสุดๆ คนที่ลายก็จะลายกันได้ตั้งแต่ส่วนล่างของเต้านมลงมาจนถึงหัวเข่าเลยแหละ แล้วถ้าจะลายก็ไม่ค่อยเจอเลยหรอกครับที่จะลายกันก่อน 28 สัปดาห์   แล้ว ถ้าเกิน 32 สัปดาห์ไปแล้วก็มักจะไม่ลายเพิ่มแล้วครับ ดังนั้นช่วงที่เป็นเวลาวิกฤติจริงๆก็แค่ช่วงเดือนเดียวสั้นๆเท่านั้นเอง แต่คนที่ยังไงมันก็จะลายก็มักจะลายวันยังค่ำ ก็ดีกว่าไม่ได้ดูแลป้องกันอะไรเลย และการดูแลป้องกันยังไงก็ต้องย่อมดีกว่าต้องมารักษากันทีหลัง

 

ดังนั้นเมื่อคุณแม่รู้สึกว่าหน้าท้องเริ่มคันยิบๆนั่นแหละครับ ถ้าลองเอาแว่นขยายขยายดูสักร้อยเท่าก็จะเห็นผิวหนังของตัวเองแห้งแตกเป็นร่อยๆเหมือนดินแล้งน้ำแถวๆทุ่งกุลาร้องให้ ก็ควรรีบทาครีมอะไรสักอย่างเพื่อให้ผิวหนังมีความชุ่มชื้น  เพราะถ้าผิวแห้งแตกระแหง พอยืดขยายตัวมันก็จะไม่ยืดแต่มันจะแตกเลย แต่ถ้าหมั่นทาครีมดูแลดีๆก็อาจจะช่วยให้แตกน้อยลงก็ได้  นอกจากนั้นคุณแม่กก็ควรหลีกเลี่ยงการอาบน้ำร้อน หรือน้ำอุ่นจัดๆ เพราะจะยิ่งทำให้ผิวแห้งหนักไปกันใหญ่  ถ้าไม่หนาวมากมายก็อาบน้ำธรรดาดีกว่า แล้วอย่าลืมหลีกเลี่ยงการทาแป้งด้วย ยิ่งทาแป้งผิวก็ยิ่งแห้ง  คุณแม่บางคนก็อุส่าห์ทาครีมซะอย่างดี ทาแล้วรอแป๊บนึงครีมก็จะแห้ง ดูดซึมไปได้เอง แต่บางทีใจร้อนทาแล้วบางทีก็รู้สึกเหนอะหนะก็เลยโรยแป้งทับลงไปอีกที  ...ถ้าทำอย่างนี้ก็เรียกว่าเสียของครับ เพราะแป้งก็จะไปจับกับครีมที่ทาเอาไว้ แล้วก็หลุดออกไปหมด ความมันความชุ่มชื้นของผิวก็จะหายไปด้วย ..คุณแม่บางคนก็ชอบไว้เล็บยาวๆ ถึงท้องอยู่ก็ยังอยากจะสวย  แต่เล็บนี่แหละจะเป็นภัยกับหน้าท้องของคุณแม่ ถึงแม้คุณแม่หลายๆคนจะรับปากรับคำว่าจะระวัง ไม่ไปเผลอเกา แต่ก็มักจะเผลอเกาโดยไม่รู้ตัวตอนนอนอยู่ดี  ดังนั้นก็ต้องเลือกครับ  ไม่อยากให้ท้องลายก็ต้องตัดเล็บ ...ตัดเล็บไป เดี๋ยวมันก็ยาวขึ้นมาใหม่เองได้ แต่ถ้าท้องลายเห็นทีต้องไปเกิดใหม่อย่างเดียวล่ะครับ

 

ถ้าเกิน 32 สัปดาห์ไปแล้วท้องไม่ลาย ก็มักจะรอดแล้วครับ แต่ไม่ใช่ว่าท้องนี้ไม่ลายแล้วท้องต่อไปจะไม่ลายนะครับ ท้องหน้าจะไม่ให้ลายก็ต้องดูแลกันเต็มที่เหมือนกัน

 

อาการไม่ปกติอีกอย่างที่พบทำให้กลุ้มใจกันบ่อยๆ ก็คือเรื่อง “ท้องแข็ง” นั่นเองครับ ช่วงไตรมาสสุดท้ายนี้คุณแม่จะรู้สึกว่ามีอาการปวดๆเกร็งๆที่หน้าท้องบ่อยๆ จับดูหน้าท้องก็แข็งเป็กเลย ก็เลยทำให้ตกใจว่าจะคลอดก่อนกำหนดหรือเปล่า   ...ก่อนอื่นก็ต้องแยกให้ออกกันก่อนครับว่าที่มันแข็งๆที่ท้องนั้นมันเป็นอะไรกันแน่

 

ท้องแข็งอาจจะเกิดจากการที่มดลูกบีบตัว หรือเกิดจากการโก่งตัวของลูกในท้องก็ได้ ถ้าท้องแข็งเกิดจากการบีบตัวของมดลูกท้องก็จะแข็งไปหมดทั้งท้องพร้อมๆกัน จับตรงไหนก็แข็ง และจะมีอาการปวดท้องเหมือนปวดประจำเดือนร่วมด้วย ตอนแข็งก็จะแข็งเกร็งนานทีเดียว บางทีก็สองสามนาที แล้วมดลูกก็จะคลายตัวนิ่มเหมือนเดิม

 

แต่ถ้าหากท้องแข็งตรงโน้นบ้าง แข็งตรงนี้บ้าง  แข็งเป็นจุดๆไม่แข็งพร้อมๆกันทั้งท้อง บางทีก็เคลื่อนตัวเป็นลูกๆไปมาก็มี อย่างนี้ก็เป็นท้องแข็งเนื่องจากลูกดิ้น หรือเด็กโก่งตัวนั่นเองครับ ส่วนที่ยันแหลมออกมาทำให้คุณแม่รู้สึกเจ็บได้บ่อยๆก็คือส่วนส้น ศอก เข่า ไหล่ หัว ส่วนที่เป็นก้นก็จะรู้สึกเป็นก้อนใหญ่ๆยันอยู่ทั้งข้าง ส่วนที่เป็นส้น เป็นเท้าก็จะรู้สึกเป็นอะไรดุ๊กดิ๊กเคลื่อนไปเคลื่อนมา ถ้าลูกเอาหัวลงก็มักจะถีบขึ้น ถ้าลูกเอาหัวขึ้นก็มักจะถีบลง ถ้าลูกหันหน้าไปทางซ้ายก็จะถีบซ้าย ถ้าหันหน้าขวาก็จะถีบขวา

 

คราวนี้ถ้าดูแล้วปรากฎว่าท้องแข็งตรงโน้นตรงนี้เป็นที่ๆเป็นอันว่าท้องแข็งนั้นเกิดจากลูกโก่งตัว  ถ้าเป็นอย่างนี้ก็ไม่ต้องทำอะไรเลยครับ มันอยากจะดิ้นก็ปล่อยมันดิ้นไป   จะไม่ให้มันดิ้นก็ไม่ได้ซะด้วย เพราะไม่มียาแก้ลูกดิ้นขาย   มีคุณพ่อขี้สงสัยมาถามผมว่า “ทำไมลูกต้องดิ้นด้วย” นั่นนะสิก็ไม่เคยมีใครมาถามคำถามนี้มาก่อนซะด้วย  ...สุดท้ายก็เลยต้องตอบว่า..อยู่เฉยๆมันคงเซ็งมั๊ง

 

แต่ถ้าดูแล้วดูอีก ปรากฏว่าท้องแข็งนั้น มันแข็งไปหมดเลยทั้งท้อง จับตรงไหนตรงนั้นมันก็แข็งไปหมด อย่างนี้ก็แสดงว่า ท้องแข็งจากมดลูกบีบตัว  ถ้าบีบตัววันละทีสองทีก็ช่างมันครับ แต่ถ้ามดลูกบีบแข็งตัวบ่อย ก็ต้องหยุดงาน นอนพักอยู่กับบ้านจนกว่าท้องจะหายแข็ง แต่ถ้าท้องแข็งบ่อยมาก แข็งจนเจ็บ แข็งติดๆกันเป็นชุดๆ อย่างนี้ก็ต้องไปพบคุณหมอที่ฝากท้องเอาไว้แล้วล่ะครับ  ถ้าทิ้งเอาไว้ก็มีโอกาสเจ็บท้องคลอดก่อนกำหนดได้  ...กรณีนี้คุณหมอก็จะหาสาเหตุ ซึ่งสาเหตุก็มีมากมายหลายสาเหตุ แต่ก็มีจำนวนมากที่หาสาเหตุอะไรไม่ได้เลย  การรักษาก็รักษาตามสาเหตุ ให้หยุดพักผ่อนมากๆ นอนเยอะๆ เดินน้อยๆ ไม่อั้นปัสสาวะ เพราะถ้าอั้นปัสสาวะ กระเพาะปัสสาวะก็จะโป่งไปเบียดมดลูก มดลูกก็จะแข็ง ไม่กินอาหารมากจนเกินไป เพราะยิ่งกินมากก็ยิ่งแน่นอึดอัดมาก ไม่เบ่งท้อง ไม่เกร็งหน้าท้อง ไม่บึดขี้เกียจ  ไม่..ไม่.. ไม่  ..อีกตั้งหลายไม่

 


อาการที่ดูคล้ายๆท้องแข็งแต่ก็ไม่ใช่ จับไปจับมาก็กลายเป็นว่ามันอึดอัดจุกแน่นลิ้นปี่ไปหมด  แล็วยังเจ็บแถวขอบๆชายโครงด้วย   อาการที่ว่านี้ก็มักเป็นตอนท้องแก่นี่เองครับ ก็มดลูกมันขยายมาจนสุด สุดแล้วก็ไม่รู้จะโตออกไปทางไหนดี ก็เลยไปยันอยู่ใต้ลินปี่ กินอะไรเข้าไปมากหน่อยก็จะรู้สึกแน่นมาก แถมบางทีก็ยังมีอาการเจ็บขอบชายโครงอีกด้วย   ถ้าคุณแม่มีอาการที่ว่านี้ เวลารับประทานอาหารก็ต้องค่อยๆทานทีละนิด  พอรู้สึกว่าจุกๆแน่นๆก็พอได้แล้ว  ค่อยๆกินทีละน้อย แต่แบ่งกินเป็นมื้อย่อยๆดีกว่า  ส่วนอาการเจ็บชายโครงก็เกิดจากมดลูกมันขยายตัวขึ้นมามากจนมาค้ำยันอยู่ใต้ชายโครง ถ้านั่งห่อๆงอๆ มดลูกก็จะไปง้างยันซี่โครงทำให้เกิดอาการเจ็บได้   ที่ถูกต้องตอนท้องแก่ๆ คุณแม่ต้องพยายามเดินยืดๆเชิดๆเข้าไว้ อาการเจ็บก็มักจะดีขึ้น แต่อย่างไรก็ตามอาการที่ว่าก็จะหายเป็นปลิดทิ้งทันทีที่คลอดเลยครับ

 

ตอนท้ายๆของไตรมาสสุดท้าย มดลูกของคุณแม่จะหนักมาก หนักแค่ไหนก็ลองไปซื้อข้าวสารถุงละสิบห้ากิโลมาอุ้มลองดู ก็หนักขนาดนั้นแหละ คราวนี้ถ้าเดินมากๆ น้ำหนักที่ว่านี้ก็จะกดลงบนหัวหน่าวกับหน้าขา ทำให้คุณแม่ท้องแก่เจ็บท้องต่ำๆเวลาเดินเยอะๆทุกที  อาการนี้ก็ไม่มียารักษาเหมือนกันครับ   เพราะอาการที่เจ็บเป็นความรู้สึกของตัวแม่ถึงน้ำหนักของมดลูกที่วางกดทับอยู่  โดยที่ตัวมดลูกเองไม่ได้เจ็บไม่ได้บีบตัว ไม่ได้เป็นอะไรเลยทั้งนั้น  อาการที่ว่านี้ก็ไม่ได้มีผลตามมาให้เจ็บท้องคลอดเลยด้วยครับ  ก็อย่างที่บอกไงครับว่ามดลูกไม่ได้บีบตัวเลยสักแอ๊ะ

 

อย่างที่บอกนั่นแหละครับว่าอาการนี้ไม่มียารักษา  คุณแม่ต้องพยายามเดินให้น้อยๆ ต้องใส่กางเกงชั้นในที่อุ้มรับน้ำหนักได้ดี  ถ้าเราสมมติว่าท้องเป็นเหมือนเต้านมยักษ์ ถ้าไม่ใส่อะไรให้มันอุ้มกระชับให้ดีก็เหมือนเราโนบรา แล้วไปเดินสวนจตุจักรทั้งวัน เดินมากๆก็จะทำให้เจ็บฐานของเต้านมได้  กางเกงในสำหรับคนท้องก็จะมีโครงเป็นขอบช่วยอุ้มรับน้ำหนักได้ดี  แต่คุณแม่หลายๆคนถนัดใส่แต่กางเกงในบิกีนี่ อันเท่าฝาหอย  พอมาใส่กางเกงในคนท้องตัวโตๆแล้วบางทีมันก็ร้อนอึดอัดน่ารำคาญ   ดีอย่างก็เสียอย่างนั่นแหละครับ  ...แต่สุดท้ายคลอดปั๊บอาการนี้มันก็หายปุ๊บเลยครับ 

 

เขียนมาเพลินๆก็หมดหน้ากระดาษเสียแล้ว  แต่ก็อยากจะเน้นให้คุณแม่เข้าใจเลยนะครับว่า การตั้งครรภ์ไม่ใช่การเจ็บป่วย  แต่การตั้งครรภ์เป็นกลไกของธรรมชาติในการสืบพันธุ์  การดูแลปฏิบัติตัวอย่างถูกต้องถูกวิธีก็จะสามารถทำให้คุณแม่ห่างไกลจากภาวะแทรกซ้อนอันไม่พึงประสงค์ต่างๆได้  ...ผ่านช่วงนี้ไปได้ ก็ถึงเวลาเตรียมตัวไปคลอดได้แล้วครับ/

 

ความคิดเห็น