เร่งคลอดกันทำไม



การเร่งคลอด ก็คือการทำให้เกิดการเจ็บครรภ์คลอด โดยไม่ได้เป็นการเจ็บครรภ์เองโดยธรรมชาติ ซึ่งปกติแล้วคุณหมอก็จะให้มีการเร่งคลอดในรายที่อยู่ในสถานการณ์ที่ว่าหากยังให้ลูกยังคงอยู่ในครรภ์ต่อไปแล้ว อาจมีผลเสียต่อตัวลูกหรือตัวแม่เองมากกว่าที่จะเร่งคลอดออกมาซะให้สิ้นเรื่อง สถานการณ์ที่ว่าก็เช่น ครรภ์เป็นพิษ ความดันโลหิตสูง ตั้งครรภ์เกินกำหนด เด็กไม่ดิ้น อยู่ในภาวะเสี่ยงต่อการขาดออกซิเจน หรือมีภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ซึ่งถ้าหากให้ดำเนินการตั้งครรภ์ต่อไปก็ไม่ได้มีอะไรดีไปกว่านี้แล้ว ...นั่นแหละครับคุณหมอก็จะตัดสินให้เร่งคลอด

 

ที่เป็นปัญหา เป็นข้อถกเถียงกันมานานก็คือ การเร่งคลอดตามความพอใจ โดยไม่ได้มีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ที่ชัดเจนนั่นเองครับ คือ แม่ก็ไม่ได้เจ็บป่วยอะไร ภาวะแทรกซ้อนอะไรก็ไม่มี ลูกก็แข็งแรงดี อยู่ในท้องต่อไปอีกหน่อยก็คงไม่มีปัญหา ....ปัญหามีอย่างเดียวคือ คุณแม่อยากจะให้คลอดวันนั้น วันนี้ เวลาเท่านี้ เวลาเท่านั้น ตามเวลาที่กำหนด ตามที่เราสะดวก ไม่อยากจะให้มีการเจ็บครรภ์มาเองตามธรรมชาติ ด้วยสาเหตุต่างๆร้อยแปด เดี๋ยวฤกษ์ไม่ดี เดี๋ยวสามีไม่ว่าง เดี๋ยวงานไม่สะดวก เดี๋ยวเตรียมตัวไม่ทัน บ้านอยู่ไกล ฯลฯ

 

ปกติแล้วมนุษย์เราก็จะตั้งครรภ์กินเวลาประมาณ 280 วัน หรือ 40 สัปดาห์ เวลาไปฝากท้องคุณหมอก็จะถามวันที่ประจำเดือนมาวันแรก แล้วก็บวกลบคูณหารคำนวณวันครบกำหนดคลอดให้เสร็จสรรพ พอถึงเวลาใกล้คลอดก็จะคอยนับวันนับคืน เมื่อไหร่จะเจ็บท้องซะทีนะ รอแล้วรออีกก็ไม่เจ็บซะที ไปถามหมอว่า “จะเจ็บท้องวันไหนแน่ รอจนเบื่อแล้วนะ” หมอก็จนปัญญาที่จะบอกได้ว่าจะเจ็บท้องวันไหน เวลาไหน ก็ให้รอเจ็บไปเรื่อยๆนี่แหละ เจ็บเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น ตอนนี้คุณแม่ก็ต้องลุ้นกันไปเรื่อยๆวันต่อวัน ...ตื่นเต้นดี

 

แต่ก็มีคุณแม่หลายๆคนที่ไม่ชอบการรอคอย ไม่ชอบให้ธรรมชาติกำหนด หรือบางทีก็เป็นเรื่องของฤกษ์ยามที่ท่านอาจารย์ดังๆให้มา ...ซึ่งสุดท้ายก็เลยจบลงด้วยการเร่งคลอดจนได้

 

การเร่งคลอดโดยไม่มีเหตุทางการแพทย์ก็ถือว่าเป็นปัญหาโลกแตกในวงการแพทย์อย่างหนึ่ง มีทั้งคนที่เห็นด้วย มีทั้งคนไม่เห็นด้วย ต่างฝ่ายต่างมีเหตุผลของตัวเอง ก็เลยยังไม่มีข้อสรุป ข้อตกลงชัดเจน ความไม่ชัดเจนในเรื่องนี้เขาก็เรียกกันว่า Controversy หรือ “ความกำกวมทางการแพทย์”

 

ต้องยอมรับกันก่อนว่าในโลกของความเป็นจริงแล้ว การเร่งคลอดก็เป็นเรื่องที่ปฎิบัติกันทั่วไปจนเป็นเรื่องปกติธรรมดาเสียแล้ว ถึงแม้ว่าในโรงพยาบาลของรัฐส่วนใหญ่ก็จะเป็นการเจ็บท้องมากันเอง จะมีเร่งคลอดบ้างในรายที่ฝากฝังกันมาเป็นพิเศษ แต่ในโรงพยาบาลเอกชนซึ่งคนไข้จะมีสิทธิพิเศษเพิ่มขึ้นอีกเยอะแยะ เช่น สิทธิที่จะเลือกคลอดเอง หรือจะผ่าคลอด สิทธิที่จะเลือกวันที่จะเร่งคลอด สิทธิที่จะด่าหมอหากหมอไม่ให้เขาคลอดหากเขาอยากจะคลอด เรื่องของการเร่งคลอดก็เลยดูเหมือนเป็นเรื่องปกติธรรมดาในโรงพยาบาลเอกชน



  

เหตุที่ต้องคุณแม่หลายคนอยากจะเร่งคลอดก็เป็นเรื่องของโชคชะตาราศีซะเยอะ วันนี้เป็นวันธงชัยคลอดแล้วดีลูกจะได้เป็นใหญ่เป็นโต เป็นที่พึ่งพาของพ่อแม่ได้ แต่อีก 2 วันข้างหน้า เป็นวันโลกาวินาศเดี๋ยวโชคร้ายเกิดเจ็บท้องคลอดขึ้นวันนี้ เดี๋ยวจะอาภัพทำมาค้าไม่ขึ้น เมื่อสักสิบปีก่อนเรื่องเอาฤกษ์คลอดดูเหมือนจะหนักหนาสาหัสกว่าเดี๋ยวนี้ แล้วเรื่องฤกษ์คลอดของคุณแม่ก็ทำให้หมอกลุ้มใจได้บ่อยๆ คุณแม่บางคนก็ไปหาพระหาเจ้าดูฤกษ์มา บอกว่าฤกษ์ดีมีเวลาเดียว ตีสาม เก้านาที พอได้ยินฤกษ์หมอก็กลุ้มแล้ว ผ่ากันกลางดึก หมอก็ง่วง หมดดมยาก็ง่วง หมอเด็กก็ง่วง ..ดังนั้นหากไม่จำเป็นอย่าหาฤกษ์กลางคืนเลย ทุกวันนี้ก็เลยต้องส่งจดหมายเวียนไปให้พระอาจารย์ทั้งหลายว่ากรุณางดให้ฤกษ์กลางคืนเป็นอันขาด ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวหมอจะชุมนุมประท้วง แต่เหตุผลที่แท้จริงที่ไม่มีใครอยากผ่ากลางคืนก็เพราะหมอทั้งหลายทำงานกลางวันก็เหนื่อยล้าจะแย่อยู่แล้ว ต้องตื่นมากลางคืนอีกก็มักจะมีเบลอกันบ้าง ก็อาจมีข้อผิดพลาดกันได้ง่ายๆ แล้วหากในกรณีที่มีปัญหาใดๆก็ตามผู้เชี่ยวชาญเฉพาะอื่นๆได้ยาก ผลเสียทั้งหมดก็เลยตกอยู่ที่คนไข้เองเป็นส่วนใหญ่

 

พอถึงตอนเช้า คนไข้ก็ถามคุณหมอว่า “เกรงใจคุณหมอจัง เล่นผ่าซะดึกเลย คุณหมอง่วงมั๊ยค๊ะ?” 

คุณหมอ “นั่นน่ะสิ เมื่อคืนผ่าอะไรไปบ้างยังจำไม่ได้เลย!!” 

 

คุณแม่ ?????

 

เอาเป็นว่าหากพระอาจารย์ให้ฤกษ์มาเป็นตอนกลางคืน ก็ให้บอกท่านไปเลยว่าไม่ตรงกับฤกษ์สะดวกของคุณหมอค่ะ ถ้าไม่ได้ฤกษ์กลางวันมา ก็ให้เปลี่ยนพระอาจารย์ใหม่ดีกว่า

 

เดี๋ยวนี้เรื่องถือฤกษ์ถือยามกันแบบสุดๆก็น้อยลงกว่าเก่าเยอะ ทุกวันนี้ฤกษ์คลอดสูงสุดก็คงจะเป็น “9โมง 9นาที” แล้วฤกษ์สุดยอดแห่งศตวรรษก็คงหนีไม่พ้น “9โมง 9นาที วันที่9 เดือน9 ปี2009” สงสัยวันนี้คงแย่งกันคลอดน่าดู

 

นอกจากเรื่องฤกษ์ยามแล้ว บางทีก็เป็นเรื่องของการเรียน การศึกษา ซึ่งคิดๆดูก็น่าเห็นใจเหมือนกันสำหรับบ้านเรา ..ถ้าลูกเกิด 31 พฤษภาคม ก็จะเข้าโรงเรียนได้อย่างเฉียบฉิว แต่พอเกิดข้ามวันไปแค่วันเดียว คือวันที่ 1 มิถุนายน ก็เข้าเรียนไม่ได้แล้ว ยิ่งถ้าเป็นโรงเรียนดังๆเขาก็จะรับเด็กตามเกณฑ์ก่อน เด็กหลุดเกณฑ์ก็มักจะไม่ได้ หรือ อาจจะได้แต่ก็ต้องเสียค่าบำรุงการศึกษาเยอะกว่าชาวบ้านเขา..เห็นไหมล่ะครับเกิดช้าไปแค่วันเดียวก็ทำให้เด็กต้องเรียนช้าไปอีกหนึ่งปี แม่ต้องเลี้ยงลูกอยู่บ้านเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งปี ..ด้วยเหตุนี้เองครับเดือนพฤษภาคมก็มักจะมีเด็กเกิดมากกว่าปกติ ในขณะทีเดือนมิถุนา ก็จะมีเด็กเกิดน้อยกว่าปกติเหมือนกัน

 

ดูๆแล้วเหตุที่ต้องเร่งคลอดก็ส่วนมากเป็นเพราะคนไข้เลือกที่จะเร่งเองเสียมากกว่า ที่เร่งคลอดเพราะหมออยากจะเร่งก็มีเหมือนกันแต่ก็ไม่เยอะเท่าไหร่หรอกครับ เพราะหมอคลอดลูกเขาก็มีชีวิตของเขาเหมือนกัน หมอก็ต้องพาลูกไปเข้าโรงเรียน พาแม่ไปหาหมอ พาลูกพาเมียไปเที่ยวบ้าง แต่คนไข้ก็คาดหวังว่าหมอต้องนั่งรออยู่หน้าประตูโรงพยาบาลทุกเมื่อหากเขาไปคลอด ...แต่หมอสูติส่วนใหญ่ก็จะมีคู่บัดดี้ที่จะทำแทนกันได้ เวลาไม่อยู่ก็จะบอกคนไข้ไว้ล่วงหน้าเลยนะครับว่า วันเสาร์หน้าผมไม่อยู่นะครับจะไปเยี่ยมแม่ยายที่เชียงใหม่ หากเจ็บท้องมาคุณหมอตุ๊ดตู่จะช่วยดูแลให้นะครับ ..แต่เชื่อไหมครับว่ามากกว่าครึ่งจะขอเร่งคลอดก่อนที่หมอจะไป นั่นก็เพราะคุณแม่ส่วนใหญ่จะไว้เนื้อเชื่อใจคุณหมอที่ฝากครรภ์ไว้มากกว่าคุณหมอตุ๊ดตู่ที่ยังไม่เคยเห็นหน้าค่าตากันมาก่อนเลยนั่นเองครับ ..แหมก็ไม่น่าจะชื่อหมอตุ๊ดตู่เลยนิ

 

ในเมื่อการเร่งคลอดยังเป็นเรื่องที่หมอแต่ละคนยังมีความเห็นไม่ตรงกัน ไม่ใช่เฉพาะในประเทศไทยนะครับ ในเมืองนอก ในอเมริกาก็มีเรื่องถกเถียงกันเรื่องการเร่งคลอดกันเยอะ..ในตำราแพทย์เก่าๆโบราณหน่อย ส่วนมากก็ยึดถือเหตุผลทางการแพทย์อย่างเดียว หากไม่มีเหตุบ่งชี้ทางการแพทย์ก็ไม่ควรให้เร่งคลอด แต่ในเมื่อในโลกของความเป็นจริงแล้วการเร่งคลอดเป็นสิ่งที่สูติแพทย์ปฎิบัติกันอย่างกว้างขวาง สุดท้ายวารสารทางการแพทย์ชื่อดังของอเมริกาที่ชื่อ COG ก็เห็นว่าการเร่งคลอดไม่ได้เป็นเรื่องผิดปกติอะไร แต่ก็มีกรอบออกมาว่าจะเร่งคลอดได้เมื่อท้องนั้นครบกำหนดเท่านั้น เด็กในครรภ์ต้องอยู่ในท่าที่เอาหัวลง ประวัติการฝากครรภ์ต้องดีไม่มีปัญหาอะไร และควรจะต้องเคยคลอดลูกเองมาแล้วด้วย ส่วนปัจจัยสำคัญที่ทำให้การเร่งคลอดเป็นไปได้ด้วยดีไม่มีปัญหาก็คือ ปากมดลูกต้องเปิดขยายตัวบ้างแล้ว ยิ่งเปิดมากยิ่งดี หากปากมดลูกยังไม่เปิด โอกาสเร่งคลอด...แล้วคลอดไม่สำเร็จก็จะสูง ต้องจบลงที่เอาไปผ่าตัดคลอด

 

ปกติแล้วในคุณแม่ท้องแรกที่ตั้งใจที่จะคลอด แล้วมีการเจ็บท้องเองโดยธรรมชาติ ก็จะมีโอกาสคลอดเองไม่สำเร็จประมาณ 9.5 เปอร์เซ็นต์ แต่ถ้าเป็นคุณแม่ท้องแรก แล้วเร่งคลอดโอกาสที่จะคลอดเองไม่สำเร็จจะมากกว่าหน่อย เป็นประมาณ 15.7 เปอร์เซ็นต์ สำหรับท้องหลังโอกาสจะโดนผ่าจะน้อยกว่าเยอะโดยถ้าเจ็บท้องมาเองโอกาสคลอดเองไม่สำเร็จ ต้องโดนผ่าตอนจบก็ประมาณ 1.2 เปอร์เซ็นต์ แต่ในรายที่เร่งคลอดโอกาสที่จะต้องผ่าตอนจบจะสูงขึ้นเป็นประมาณ 2.8 เปอร์เซ็นต์ ก็สูงกว่านิดนึง

 

ดังนั้นหากคุณแม่ที่คิดจะเร่งคลอดให้ได้ตามฤกษ์ตามวันที่ต้องการก็คงต้องยอมรับกันก่อนว่าโอกาสที่จะต้องโดนผ่าตัดคลอดจะสูงกว่าเจ็บท้องมาเองนิดหน่อย แต่ถ้าครรภ์แก่มากแล้ว ปากมดลูกเริ่มเปิดแล้ว อัตราการจบลงด้วยการผ่าตัดคลอดก็ไม่ได้แตกต่างกันมากครับ

 

คุยกันเรื่องเร่งดีหรือไม่เร่งดีมาตั้งนาน มาดูกันดีกว่าว่าถ้าหากต้องเร่งคลอดแล้ว มันจะมีวิธีเร่งคลอดกันยังไงได้บ้าง….

 

คุณแม่ที่เคยมีลูกมาแล้วก็คงจะรู้ว่าเวลาให้ลูกดูดนมแม่ มดลูกมันก็จะบีบตัวแข็งเป็กด้วยทุกที ส่วนคนที่ยังไม่มีลูกเวลาถูกกระตุ้นที่หัวนม มดลูกก็บีบตัวเหมือนกันนะครับ แต่ตอนนั้นคงจับความรู้สึกได้ยากเพราะมดลูกมันคงจะสะเทือนจนบีบหรือไม่บีบมันก็คงไม่อยากจะรู้แล้ว...(คิดเองนะ ไม่อยากอธิบาย มันหวาดเสียว) ...ในระหว่างที่ตั้งครรภ์ก็เหมือนกัน หากกระตุ้นที่หัวนมก็จะทำให้มดลูกบีบตัวขึ้นมาได้บ่อยๆ

 

ในสมัยก่อนที่ยังไม่มียาใช้กันอย่างกว้างขวางเหมือนทุกวันนี้ หากมีเหตุต้องเร่งคลอด ไม่ว่าจะเป็นการตั้งครรภ์ที่มีปัญหา หรือครบกำหนดคลอดแล้วไม่ยอมเจ็บท้องสักที หมอตำแยตามตำราฝรั่งสมัยก่อนเขาก็กระตุ้นให้เจ็บท้องคลอด โดยการกระตุ้นหัวนมนี่แหละ ทำไปเรื่อยๆก็จะทำให้เกิดการเจ็บท้องคลอดได้เหมือนกัน.... น่าสนุกดีเหมือนกันนะ

 

การมีเพศสัมพันธ์ในช่วงครรภ์แก่ๆก็ทำให้เกิดการเจ็บท้องคลอดได้เหมือนกันนะครับ ทั้งนี้ก็เพราะในน้ำอสุจินั้นจะมีสารที่ชื่อว่า โพรสต้าแกลนดิน(Prostaglandin) ค่อนข้างมาก เจ้าสารตัวนี้แหละครับที่จะเป็นตัวกระตุ้นให้ปาดมดลูกนิ่มตัวลง ขยายตัวเปิดกว้างขึ้นได้ ดังนั้นถ้าไม่มีข้อห้ามอะไร แล้วก็ไม่อยากจะไปให้หมอเร่งคลอดด้วย อยากเจ็บท้องวันไหน คืนก่อนหน้านั้นก็จัดการเร่งคลอดด้วยฝีมือคุณพ่อเองซะเลย ... ลูกออกมาถ้าพูดได้คงบ่นน่าดู!!

 

คราวนี้ก็ถึงการเร่งคลอดด้วยฝีมือหมอกันบ้าง การกระตุ้นให้เกิดการเจ็บท้องคลอดแบบธรรมชาติอีกแบบ ก็ทำได้โดยการตรวจภายใน แล้วใช้นิ้วเข้าไปช่วยถ่างขยายปากมดลูกนิดหน่อย พอเจอถุงน้ำคร่ำข้างในก็ใช้นิ้วเลาะลอกให้ถุงน้ำคร่ำลอกออกจากผนังมดลูก วิธีนี้ในภาษาอังกฤษก็เรียกกันว่า Stripping membrane ไม่รู้จะแปลเป็นภาษาไทยว่าอะไรดีเหมือนกัน ก็ขอเรียกว่าวิธีเลาะถุงน้ำคร่ำก็แล้วกันนะครับ

 


การเลาะถุงน้ำคร่ำนี้ก็จะเป็นการกระตุ้นให้มีการหลั่งสารโพรสต้าแกลนดินออกมาจากปากมดลูก และ ผนังมดลูก ซึ่งก็จะช่วยทำให้ปากมดลูกนิ่มตัวลง เปิดกว้างขึ้น และมีการเจ็บครรภ์คลอดตามมาในที่สุด แต่ผลจากการเลาะถุงน้ำคร่ำนี้ก็ยังไม่ค่อยแน่นอนเท่าไหร่ บางทีกว่าจะมีการเจ็บท้องก็อีกตั้ง 2-3 วัน ที่สำคัญการตรวจภายในแล้วเอานิ้วเข้าไปในปากมดลูก แล้วกวาดนิ้วให้ถุงน้ำคร่ำลอกออกจากผนังมดลูกนี้มันเจ็บเหมือนกันเลยล่ะ และถ้าหากบังเอิญมีภาวะรกเกาะต่ำอยู่โดยที่ไม่รู้ การเลาะถุงน้ำคร่ำนี้ก็จะทำให้เกิดการตกเลือดได้ด้วยเหมือนกัน ... คุณพ่อห้ามแอบไปทำเองที่บ้านก็แล้วกัน

 

หากคุณแม่นอนอยู่ในโรงพยาบาลเรียบร้อยแล้ว แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่เจ็บท้องเป็นเรื่องเป็นราวสักที การเร่งคลอดที่ได้ผลสุดๆก็คือ “การเจาะถุงน้ำคร่ำ” เจาะแล้วก็ต้องคลอดแน่ แต่จะเจาะถุงน้ำนี้ได้ ปากมดลูกก็ต้องเปิดแล้วเท่านั้นครับ ถ้าปากมดลูกยังไม่เปิดก็จะเจาะถุงน้ำไม่ได้ หลังจากเจาะถุงน้ำคร่ำแล้วก็มักจะมีการเจ็บครรภ์คลอดตามมาใน 3-4 ชั่งโมง แต่ถ้าหากมดลูกมันเฉื่อยแฉะนักยังไม่เจ็บท้องสักที ก็มักจะใช้ยาเร่งคลอดผสมในน้ำเกลือให้ร่วมด้วย

 


ยาที่ใช้เร่งคลอดที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้ก็มีใช้แพร่หลายเพียงแค่ตัวเดียว นั่นก็คือ อ๊อกซี่โตซิน(Oxytocin) ที่จริงแล้วเจ้าอ๊อกซี่โตซินนี้ก็เป็นฮอร์โมนที่มีอยู่แล้วในร่างกายของคุณแม่ทุกคน โดยจะสร้างจากต่อมใต้สมองอันเล็กๆเท่าเม็ดถั่วของคุณแม่นั่นเองครับ เมื่อครบกำหนดคลอดกลไกภายในร่างกายของคุณแม่เองก็จะเป็นตัวกำหนดให้มีการเจ็บท้องคลอด จะเจ็บวันไหนเวลาไหนก็ไม่มีใครรู้ ถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่มีใครรู้เลยครับว่ากลไกการเจ็บท้องคลอดนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร.... เมื่อถึงเวลาเจ็บท้องคลอดโดยธรรมชาติ ก็จะมีการหลั่งสารโพรสต้าแกลนดินตัวเดิมๆหน้าเดิมนี้แหละออกมาจากบริเวณปากมดลูก ทำให้ปากมดลูกนิ่มตัวลง และเปิดกว้างมากขึ้น กล้ามเนื้อมดลูกมีความไวต่อการกระตุ้นของอ๊อกซี่โตซินมากขึ้น อ๊อกซี่โตซินที่หลั่งออกมาก็จะทำให้มดลูกบีบรัดตัวเป็นจังหวะไปเรื่อยๆ เมื่อมดลูกบีบตัวก็จะส่งแรงดันลงไป ทำให้ศีรษะของเด็กไปกดถ่างขยายปาดมดลูกให้เปิดกว้างขึ้นเรื่อยๆจนเปิดหมด แล้วก็คลอดออกมาในที่สุด

 

ในรายที่มีการเจ็บท้องมาเอง แต่มดลูกบีบตัวไม่ค่อยดี อาจจะบีบอ่อนไป หรือบีบไม่ถี่เท่าที่ต้องการ ถ้าปล่อยให้มดลูกบีบแบบเฉื่อยๆแบบนี้ไปเรื่อยๆ ก็มักจะทำให้การคลอดยืดเยื้อเนิ่นนาน กว่าจะคลอดก็ข้ามวันข้ามคืน เหนื่อยทั้งคุณแม่ เหนื่อยทั้งคุณหมอ รวมทั้งลูกในท้องก็คงเหนื่อยด้วย คุณหมอก็จะใช้เจ้าอ๊อกซี่โตซินนี่แหละผสมในน้ำเกลือให้เสริมเข้าไปเพื่อให้มดลูกขยันขึ้นบีบตัวได้แรงขึ้น ถี่ขึ้น แล้วก็คลอดได้ในเวลาที่ไม่ยืดเยื้อเนิ่นนานเกินไปนัก ...ในกรณีนี้ก็ไม่นับเป็นการใช้ยาเร่งคลอดนะครับ แต่เป็นการให้ยาช่วยเสริมเพื่อให้มดลูกบีบตัวได้ดีขึ้นเท่านั้น

 

ในคุณแม่ที่ยังไม่ได้มีอาการเจ็บท้องมาเอง การให้น้ำเกลือเร่งคลอด ก็คือการใช้ยาอ๊อกซี่โตซินนี้แหละผสมในน้ำเกลือแล้วให้ทางเส้นเลือด เมื่อได้ยานี้แล้วมดลูกมันก็จะบีบตัวถี่ขึ้นทีละนิดทีละหน่อยไปเรื่อยๆจนคลอด ซึ่งในขั้นตอนการเร่งคลอดนี้ก็ต้องเฝ้าติดตามดูแลอย่างใกล้ชิด ปกติแล้วมดลูกควรจะบีบตัวเป็นจังหวะทุก 3 นาที ถ้าบีบน้อยไป การคลอดก็ยืดเยื้อ แต่ถ้าบีบตัวถี่เกินไปก็อาจทำให้เกิดการขาดออกซิเจนของทารกในครรภ์ได้ หรือบางครั้งอาจมีผลทำให้มดลูกแตกได้เหมือนกัน แต่เดี๋ยวนี้มีระบบเฝ้าดูแลคุณแม่ในระหว่างเจ็บครรภ์คลอดดีกว่าแต่ก่อนเยอะ ที่เร่งคลอดกันจนถึงกับมดลูกแตกมันก็เลยไม่ค่อยมีให้เห็นกันในปัจจุบันนี้ ผมเคยเห็นครั้งสุดท้ายก็เกือบ 20 ปีก่อน สมัยยังเป็นแพทย์ฝึกหัดโน่นแน่ะ

 

นอกจากการให้น้ำเกลือเร่งคลอดแล้ว เดี๋ยวนี้ก็มีการใช้ยาเหน็บช่องคลอดเพื่อใช้เร่งคลอดด้วย ซึ่งจากการที่เรารู้ว่า โพรสต้าแกลนดิน พระเอกของเรื่องนี้จะถูกหลั่งออกมาโดยธรรมชาติเมื่อมีการเจ็บท้องคลอด ทำให้ปากมดลูกนุ่มตัวลง และเปิดขยายขึ้น มนุษย์เราก็เลยก๊อปปี้โพรสต้าแกลนดินนี้เลียนแบบธรรมชาติมาซะเลยโดยไม่ต้องไปขอลิขสิทธิ์ใคร โดยมาคุณหมอก็จะนัดคุณแม่มานอนโรงพยาบาลในคืนก่อนวันคลอด แล้วก็เหน็บยาที่ว่านี้เข้าไปทางช่องคลอดให้ยาอยู่ลึกถึงบริเวณปากมดลูก โดยมากแล้วยาตัวนี้ก็มักจะทำให้ปากมดลูกเปิดและมีการเจ็บครรภ์ตามมาใน 10 ชั่วโมงต่อมา ถ้ามดลูกมีการบีบตัวดีก็อาจไม่จำเป็นต้องให้อ๊อกซี่โตซินช่วย แต่ถ้าหากมดลูกยังบีบตัวไม่ดีก็อาจจำเป็นต้องให้อ๊อกซี่โตซินร่วมด้วย

 

ในคุณแม่ที่ตั้งครรภ์ปกติ เมื่อถึงเวลาจะคลอดถ้าให้มีการเจ็บท้องคลอดเองก็จะเป็นการดีที่สุด แต่บางทีก็ด้วยเหตุผลหลายๆอย่าง สุดท้ายหลายๆคนก็มาจบลงที่การเร่งคลอด ซึ่งถ้าปากมดลูกเริ่มเปิดแล้ว มีการติดตามดูแลในระหว่างการคลอดได้ดี ก็ไม่ได้มีอะไรที่แตกต่างไปจากการเจ็บท้องมาเองตามธรรมชาติ แต่ก็จะมีความเสี่ยงที่จะต้องผ่าตัดคลอดสูงขึ้นบ้าง โดยจะมีอัตราที่จะต้องผ่าสูงขึ้นชัดในรายที่เป็นคุณแม่ท้องแรกที่ปากมดลูกยังไม่เปิดเลยในวันที่เร่งคลอด

 

เมื่อใกล้ครบกำหนดคลอดคุณแม่ก็ควรได้พูดคุยกับคุณหมอที่ฝากครรภ์ไว้ในเรื่องการคลอดเสมอนะครับ ว่าจะรอให้เจ็บท้องมาเอง หรือจะต้องเร่งคลอดในกรณีไหน ..สำหรับหมอแล้ว ถ้าไม่ได้มีฤกษ์ยามวันดีอะไรและถ้าการตั้งครรภ์นั้นเป็นปกติดี ทารกในครรภ์แข็งแรงดีก็จะให้รอจนเกิดการเจ็บครรภ์คลอดมาเอง แต่ถ้าหากมีเหตุที่คิดว่าจะมีปัญหาตามมา เช่น ความดันเริ่มสูง ลูกไม่ดิ้น บ้านอยู่ไกล คลอดง่ายคลอดเร็ว ก็คงต้องพิจารณาตามความเหมาะสมเป็นรายๆไป

 

ไม่ว่าลูกจะเกิดฤกษ์ดี วันดีแค่ไหน การอบรมเลี้ยงดูของพ่อแม่ต่างหากที่จะทำให้เขาเติบโตขึ้นมาเป็นคนดีของสังคม ถ้าไม่ได้มีเหตุจำเป็นอะไร ก็ขอให้ลูกได้ใช้สิทธิเลือกวันที่เขาอยากจะคลอดออกมาเองดีกว่าครับ

ความคิดเห็น