ปฏิทินการตั้งครรภ์ สัปดาห์ที่ 11-20
สัปดาห์ที่ 11
พัฒนาการของเจ้าตัวน้อย
สัปดาห์นี้เจ้าตัวน้อยมีขนาดเท่านิ้วโป้งของคุณแม่ อวัยวะส่วนต่างๆเริ่มทำงาน
ตับเริ่มผลิตเซลล์เม็ดเลือดแดง ไตก็เริ่มทำงานขับน้ำขับของเสียออกมาทางน้ำคร่ำ
เริ่มมองเห็นเค้าโครงใบหน้าสมบูรณ์ยิ่งขึ้น
ขนาดของศีรษะยังใหญ่กว่าส่วนอื่นเพื่อรองรับการเจริญเติบโตของสมอง
หัวใจสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงอวัยวะส่วนต่าง ๆ
ในสัปดาห์นี้เจ้าตัวน้อยจะดิ้นไปมาบ่อยขึ้น เพียงแต่คุณแม่อาจยังไม่รู้สึก
รวมทั้งกลืนกินน้ำคร่ำและขับถ่ายออกมาได้แล้วค่ะ
สมองของลูกน้อย เซลประสาทเริ่มมีเส้นใยประสาทยื่นออกมาโยงใยติดต่อถึงกัน มีการสร้างโครงข่ายประสาทที่ซับซ้อนมากขึ้น การเหนี่ยวนำกระแสประสาทเกิดจากปฏิกิริยาทางเคมีภายในเซลล์สมอง ทำให้เกิดประจุไฟฟ้าวิ่งไปมาระหว่างเซลล์สมอง มีการรับส่งข้อมูลเกิดขึ้นในสมอง ซึ่งหมายถึงว่าสมองของลูกเริ่มทำงานแล้ว
การเปลี่ยนแปลงของตัวคุณแม่ ช่วงนี้หน้าท้องคุณแม่จะนูนให้เห็นได้ชัดเจนขึ้น กางเกงตัวโปรดอาจเริ่มคับ เริ่มรู้สึกเหนื่อยง่าย อัตราการเผาผลาญพลังงานในร่างกายคุณแม่จะมากกว่าปกติ คุณแม่ควรรับประทานอาหารที่มีโปรตีนสูงเพื่อใช้ในการสร้างโครงสร้างร่างกายอวัยวะต่างๆของตัวทารก รับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กสูงเพื่อใช้สร้างเม็ดเลือดแดงของตัวแม่ที่เพิ่มขึ้นมากในระหว่างตั้งครรภ์ วิตามินบี ใช้ในการสร้างระบบประสาทต่างๆของทารกในครรภ์ ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีแป้ง น้ำตาล ไขมันสูง เพราะไม่ได้ใช้ในการสร้างทารกในครรภ์เท่าใดนัก แต่จะไปสะสมที่ตัวแม่มากกว่า เนื่องจากร่างกายของคุณแม่ต้องทำงานหนักมากกว่าปกติ ทั้งต้องส่งอาหารและออกซิเจนแก่ลูกในครรภ์ อีกทั้งยังต้องแบกรับน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น ทำให้คุณแม่รู้สึกเหนื่อยอ่อนเพลียได้ง่าย ดังนั้นคุณแม่ทำงานอย่าให้เหนื่อยมากเกินไป ไม่ควรหักโหมทำงานหนักในช่วงนี้ ควรพักผ่อนให้มากขึ้น ควรนอนหลับพักผ่อนอย่างน้อย 8 ชั่วโมงต่อวัน และที่สำคัญควรทำจิตใจให้สบาย หลีกเลี่ยงความเครียดนะคะ Tips of the week ถ้าคุณแม่ไปตรวจฝากครรภ์ตามนัด ในรายที่คุณแม่ไม่อ้วนหน้าท้องไม่หนามากนัก ก็อาจจะได้ยินเสียงหัวใจเจ้าตัวน้อยเต้น โดยใช้เครื่องฟังหัวใจเด็กทางหน้าท้อง คุณแม่ควรชวนคุณพ่อไปด้วยนะคะ เพราะการได้ยินเสียงที่มาจากตัวลูกเป็นครั้งแรกนั้น นับเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์อย่างยิ่งสำหรับว่าที่คุณพ่อและว่าที่คุณแม่ค่ะ
สัปดาห์ที่ 12
พัฒนาการของเจ้าตัวน้อย ในเดือนที่ 3 นี้ ทารกน้อยของคุณแม่มีความยาวประมาณแท่งใส้กรอกคอกเทลแท่งสั้นๆ อวัยวะสำคัญทั้งหมดของลูกสร้างครบสมบูรณ์หมดแล้ว กระดูกในส่วนต่างๆก็จะเริ่มมีแคลเซียมมาสะสมมากขึ้น ทำให้กระดูกมีโครงสร้างที่แข็งแรงขึ้น นิ้วมือนิ้วเท้าแยกออกจากกันอย่างสมบูรณ์ เล็บเริ่มงอก อวัยวะเพศเห็นเป็นตุ่มเล็กๆซึ่งยังไม่สามารถบอกเพศได้ชัดเจน หัวใจจะเต้นประมาณ 140-160 ครั้งต่อนาที สมองของลูกน้อย สมองของทารกเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงแรกของการตั้งครรภ์เมื่อเทียบกับขนาดลำตัว หลังจากช่วงนี้อัตราการเติบโตของสมองจะเริ่มลดลงจนดูสัดส่วนของร่างกายดูโตขึ้นเมื่อเทียบกับขนาดของศีรษะ สมองของทารกทำงานได้อย่างสมบูรณ์ ทารกสามารถเคลื่อนไหวได้ดีขึ้น แต่การเคลื่อนไหวนั้นสะเปะสะปะไร้ทิศทาง ถึงแม้ลูกจะดิ้นได้แล้วในช่วงนี้ คุณแม่ก็อาจจะยังไม่สามารถจับความรู้สึกได้ จนกว่าจะ18-20 สัปดาห์.
การเปลี่ยนแปลงของตัวคุณแม่ ตั้งครรภ์ครบ 3 เดือนแล้ว! ในช่วงแรกนี้มดลูกของคุณแม่จะโตขึ้นแต่ก็ยังไม่โตพ้นกระดูกเชิงกรานออกมา ทำให้ในช่วงแรกมักจะดูไม่ออกว่ามีการตั้งครรภ์ ช่วงแรกนี้คุณแม่อาจมีน้ำหนักเพิ่มขึ้น 1-1.5 กก.แต่ในรายที่มีอาการแพ้ท้องมากน้ำหนักก็อาจจะลดลงได้ บางรายที่มีอาการแพ้ท้องมากน้ำหนักอาจลดลงถึง 5 กิโลกรัม หลัง 12 สัปดาห์มดลูกก็จะโตโผล่พ้นอุ้งเชิงกรานออกมา สามารถสังเกตุเห็นได้ชัดเจนขึ้น หลัง 12 สัปดาห์โอกาสที่จะแท้งจะลดน้อยลงจนเหลือประมาณเพียง 1-2 % เท่านั้นค่ะ
ในช่วงตั้งครรภ์ ฮอร์โทนโพรเจสเทอโรนจะทำให้กระบวนการย่อยอาหารช้าลง ทำให้ลำไส้ใหญ่ดูดซึมน้ำในปริมาณที่มากขึ้น ซึ่งทำให้อุจจาระจับตัวเป็นก้อนแข็ง จนคุณแม่เกิดอาการท้องผูก ได้ ควรทานผลไม้และน้ำผลไม้จะช่วยลดอาหารท้องผูกได้ คุณแม่ควรดื่มน้ำให้ได้วันละ 8 แก้วขึ้นไป อาจเป็นน้ำเปล่า นม หรือน้ำผลไม้ก็ได้ค่ะ ซึ่งจะช่วยป้องกันไม่ให้ท้องผูก และทำให้ผิวหนังหน้าท้องไม่แห้ง แตก หรือคันได้ง่ายค่ะ พยายามอย่าทานอาหารดึกเกินไป ควรทานอาหารมื้อสุดท้ายของวันไม่น้อย 1-2 ชั่วโมงก่อนเข้านอน เพื่อลำใส้จะได้ย่อยอาหารได้อย่าสมบูรณ์มากขึ้น จะช่วยลดและบรรเทาอาการท้องผูก จุกเสียดแน่นท้องได้ค่ะ
Tips of the week ในการตั้งครรภ์ 3 เดือนแรก มดลูกยังโตอยู่ภานในอุ้งเชิงกราน เมื่อมดลูกโตขึ้นก็จะกดเบียดทำให้กระเพาะปัสสาวะมีความจุลดน้อยลง ทำให้ระยะนี้คุณแม่จะปัสสาวะบ่อยมากกว่าปกติ ตอนช่วงใกล้สว่างกระเพาะปัสสาวะจะโป่งพองมาก จนอาจไปกดเบียดกันกับมดลูกที่โตขึ้น ทำให้คุณแม่รู้สึกปวดท้องน้อยในตอนเช้า หลังจากปัสสาวะออกมาเรียบร้อยแล้ว อาการปวดท้องก็มักจะหายไป คุณแม่จึงควรหลีกเลี่ยงการกลั้นปัสสาวะนานๆ หากมีอาการปัสสาวะแสบขัด ปัสสาวะบ่อย เจ็บตอนสุดนั่นก็แปลว่ามีกระเพาะปัสสาวะอักเสบเกิดขึ้น ควรรีบไปพบแพทย์ทันที
สัปดาห์ที่ 13
พัฒนาการของเจ้าตัวน้อย เริ่มต้นไตรมาสที่สอง ลูกมีความยาวเกือบ 4 นิ้ว กระดูกของเจ้าตัวน้อยจะค่อย ๆ เจริญเติบโต ขากรรไกรมีตุ่มฟันครบ 32 ระบบทางเดินอาหารเริ่มทำงาน ทารกเริ่มดูดปาก กลืนน้ำคร่ำ และปล่อยเป็นปัสสาวะออกมา ระบบประสาท และกล้ามเนื้อของเจ้าตัวน้อยเริ่มทำงานร่วมกันได้ดีขึ้น ดวงตาและหูเริ่มเด่นชัด เริ่มมีเปลือกตาให้เห็น แต่ยังคงปิดสนิทเพื่อปกป้องดวงตาที่อยู่ในช่วงพัฒนา เนื้อเยื่อที่จะพัฒนาเป็นกระดูกจะก่อตัวขึ้นที่ศีรษะ แขน และขา เราอาจมองเป็นซี่โครงท่อนเล็ก ถ้าดูด้วยอัลตราซาวนด์ทางหน้าท้อง จะเห็นว่าเจ้าตัวน้อยสามารถดิ้นไปดิ้นมา พลิกตัว กลับตัวได้ แต่คุณแม่จะยังไม่สามารถรับรู้ถึงการเคลื่อนไหวของเจ้าตัวน้อยได้ เนื่องจากการติ้นอาจจะยังไม่กระทบผนังมดลูก หรือหากกระทบผนังมดลูกก็อาจจะยังไม่แรงพอที่จะทำให้คุณแม่สามารถจับความรู้สึกได้
สมองของลูกน้อย สมองของลูกเติบโตมากขึ้น มีการสร้างสมองส่วนต่างๆครบถ้วนสมบูรณ์ สมองสามารถสั่งการควบคุมการทำงานของระบบต่างๆได้สมบูรณ์
การเปลี่ยนแปลงของตัวคุณแม่ ตอนนี้รกพัฒนาเกือบสมบูรณ์ และทำหน้าที่แลกเปลี่ยนออกซิเจน ส่งผ่านอาหาร และขับถ่ายของเสีย มดลูกจะโตขึ้นกว่าเดิมมากขึ้นจนโผล่พ้นจากบริเวณอุ้งเชิงกรานมาที่บริเวณท้อง มดลูกที่ขยายใหญ่ขึ้น จะไปกดทับกระเพาะปัสสาวะ ทำให้คุณต้องเข้าห้องน้ำบ่อยขึ้น ในช่วงนี้ความดันโลหิตของคุณแม่จะลดลง เนื่องจากฮอร์โมนของการตั้งครรภ์จำทำให้ระบบไหลเวียนโลหิตเกิดการขยายตัวมากขึ้น จนกระทั่งถึงสัปดาห์ที่ 24 ความดันโลหิตถึงกลับไปสู่ระดับเดิมของการตั้งครรภ์ คุณแม่อาจสังเกตว่าช่วงนี้รู้สึกหายใจเร็วขึ้น ถี่ขึ้นกว่าเดิม ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ เพราะร่างกายของคุณแม่ต้องการระบายปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในเลือดที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากลูกส่งผ่านออกมาผ่านทางรก จึงทำให้อัตราการหายใจของคุณแม่เปลี่ยนแปลงค่ะ
Tips of the week รกทำหน้าที่ผลิตฮอร์โมนเอสโตเจน และ โปรเจสเตอโรน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่จำเป็นอย่างมากต่อการตั้งครรภ์ ฮอร์โมนนี้มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงต่างๆในร่างกายของคุณแม่ในระหว่างที่ตั้งครรภ์ ระดับฮอร์โมนที่เพิ่มขึ้นนี้ อาจทำให้คุณแม่มีอาการเหงือกบวม และมีเลือดออกได้ อาหารที่มีวิตามินซีสูง จะช่วยลดอาการเหล่านี้ได้ ทั้งยังมีส่วนช่วยเสริมให้กระดูกและฟันของเจ้าตัวน้อยในครรภ์ให้แข็งแรงอีกด้วย ซึ่งวิตามินซีจะพบมากในผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวทั้งหลายค่ะ
สัปดาห์ที่ 14
พัฒนาการของเจ้าตัวน้อย
ลูกน้อยจะมีขนาดใหญ่เท่ากำปั้นเล็กๆของคุณแม่แล้ว
รูปร่างหน้าตาของเขาจะเหมือนคนมากขึ้น มีคาง หน้าผาก และจมูกชัดเจนขึ้น
สามารถหันศีรษะและทำหน้าผากย่นได้ ตอบสนองต่อการสัมผัสได้
แขนขาเห็นเป็นรูปร่างชัดเจน ไตเริ่มทำงาน ขับถ่ายออกมาเป็นปัสสาวะ ปัสสาวะออกมาในน้ำคร่ำ
แล้วทารกก็กลืนน้ำคร่ำลงไป ดูดซึมในลำใส้เข้าสู่กระแสเลือด
แล้วไตเริ่มทำหน้าที่กลั่นกรองออกมาเป็นน้ำปัสสาวะเป็นวงจรวัฏจักรไปเรื่อยๆ
ส่วนของน้ำคร่ำเองก็จะมีการหมุนเวียน
ดูดซึมขับถ่ายของเสียทำความสะอาดขึ้นมาใหม่โดยรกทุก 3 ชั่วโมง ต่อมไทรอยด์เริ่มผลิตฮอร์โมน
และลูกน้อยจะเริ่มมีขนอ่อนขึ้นตามลำตัว เรียกว่า “ลานูโก้”
ซึ่งจะคอยรักษาความอบอุ่นจนกระทั่งลูกน้อยสามารถสะสมไขมันได้อย่างเพียงพอ
ขนนี้จะหลุดร่วงไปหลังคลอดโดยมีขนชุดใหม่ขึ้นทดแทน
ขณะที่อวัยวะต่างๆ ของเจ้าตัวน้อยกำลังพัฒนาไป รายละเอียดต่างๆบนใบหน้าก็เริ่มมีการเติบโตขยับเข้าที่เข้าทางมากขึ้น ดวงตาเคลื่อนจากด้านข้างทั้งสองข้างมาอยู่ชิดตรงกลางด้านหน้า หูเคลื่อนจากด้านล่างขึ้นมาสู่ตำแหน่งปกติ สำหรับเพศชายลูกน้อยจะเริ่มพัฒนาต่อมลูกหมาก ส่วนเพศหญิงรังไข่จะเคลื่อนตัวจากท้องน้อยเข้าสู่บริเวณอุ้งเชิงกราน
สมองของลูกน้อย สมองของทารกเติบโตขึ้น แต่อัตราการเติบโตช้าลงกว่าในช่วงแรกๆ สมองเริ่มเรียนรู้ในการควบคุมการเคลื่อนไหวได้มากขึ้นเรื่อยๆ แต่คุณแม่ยังไม่สามารถรับรู้ถึงการดิ้นได้ในช่วงนี้
การเปลี่ยนแปลงของตัวคุณแม่ ช่วงนี้คุณแม่ จะสังเกตเห็น เส้นกลางลำตัวมีสีเข้ม ซึ่งจะขยายจากสะดือไปยังบริเวณหัวเหน่า ซึ่งเส้นนี้จะชัดขึ้นเรื่อยๆ และหายไปหลังคลอด อีกทั้งคุณแม่หลายคนจะรู้สึกว่าเริ่มมีตกขาวเยอะมากขึ้น หากตกขาวนั้นสีขาวใส ไม่เหลือง ไม่เขียว ไม่คัน ไม่มีกลิ่น ถือว่าเป็นตกขาวปกติสำหรับคนท้อง ไม่ต้องทำการรักษา สาเหตูก็เกิดจากฮอร์โมนที่เพิ่มสูงขึ้นมากในระหว่างการตั้งครรภ์ และตกขาวนี้ก็มักจะมีไปจนตลอดการตั้งครรภ์ และจนถึงหลังคลอดใหม่ๆ เลยทีเดียว ตอนนี้คุณแม่อาจมีความต้องการทางเพศสูงหรือน้อยลงกว่าเดิมได้ ซึ่งถือเป็นอาการปกติ ไม่ต้องตกใจนะคะ และไม่ต้องกังวลว่าการมีเพศสัมพันธ์จะเป็นอันตรายต่อเจ้าตัวน้อย หากไม่มีปวดท้อง เลือดออก หรือข้อห้ามทางการแพทย์ใดๆก็สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้ตามปกติ
Tips of the week เข้าสู่เดือนที่ 4 แล้ว คุณแม่สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้อย่างสบายใจขึ้น เพราะถือว่าผ่านช่วงเสี่ยงต่อการแท้งมาแล้ว ควรเลือกท่าที่ปลอดภัย ออกแรงน้อย หลีกเลี่ยงการกดทับ เช่น คุณแม่ตะแคงข้าง สามีเข้าทางด้านหลัง เพราะเป็นท่าที่คุณแม่จะสบายที่สุดไม่ต้องแบกรับน้ำหนักใดๆ หรือภรรยาทำท่าคุกเข่าโค้งโก้ง สามีเข้าข้างหลัง ฯลฯ นอกจากนี้ ช่วงตั้งครรภ์ ช่องคลอดของคุณแม่จะมีน้ำหล่อลื่นออกมามากผิดปกติ เนื่องจากฮอร์โมนที่สูงขึ้น และมีเลือดมาเลี้ยงในอุ้งเชิงกรานมากขึ้น
สัปดาห์ที่ 15
พัฒนาการของเจ้าตัวน้อย ช่วงสัปดาห์นี้
ลูกน้อยของคุณมีขนาดลำตัวยาว 4.5 นิ้ว หรือมีขนาดประมาณผลแอปเปิ้ล
โครงกระดูกพัฒนาเร็วขึ้น แต่ยังคงเป็นกระดูกอ่อนอยู่
และจะพัฒนาเป็นกระดูกแข็งต่อไป ส่วนขายาวกว่าส่วนแขน สามารถได้ยินเสียงในท้อง เช่น
เสียงท้องร้องและ เสียงหัวใจเต้นของคุณแม่ได้ค่ะ
ลูกน้อยของคุณแม่จะเริ่มมีขนคิ้วและเส้นผม และมีขนตาแล้ว รากผมเริ่มสร้างเม็ดสีให้กับเส้นผม ผิวของเขาบางใสจนสามารถมองทะลุเห็นเส้นเลือดที่กำลังพัฒนา ในช่วงปลายสัปดาห์ลูกน้อยอาจสามารถขยับนิ้วมือและนิ้วเท้า กำมือหรือดูดนิ้วหัวแม่มือได้แล้วค่ะ
สมองของลูกน้อย หูของทารกพัฒนาเริ่มจากหูชั้นนอกในไตรมาสแรก หูชั้นกลางจะเริ่มพัฒนาในสัปดาห์นี้ เริ่มมีกระดูกของหูชั้นกลาง 3 ชิ้น แต่หูชั้นในยังไม่พัฒนา ยังไม่เชื่อมโยงกับศูนย์การได้ยินในสมอง
การเปลี่ยนแปลงของตัวคุณแม่ คุณแม่บางคนจะมีอาการเลือดออกหลังแปรงฟัน เนื่องจากเหงือกบวมขึ้นมีเส้นเลือดมาหล่อเลี้ยงมากขึ้น ถ้าไม่ได้ตรวจฟันมานาน ควรให้ทันตแพทย์ตรวจเหงือก ขูดหินปูนและรักษาฟันที่เริ่มผุนะคะ โดยต้องบอกให้คุณหมอฟันทราบว่ากำลังตั้งครรภ์อยู่ ถ้ามีความจำเป็นต้องถอนฟัน โดยมากแล้วก็จะสามารถทำได้อย่างปลอดภัยค่ะ หากคุณแม่สามารถมองทะลุเข้าไปในท้องได้ จะเห็นว่าลูกน้อยมีผิวหนังที่บางและโปร่งใสจนสามารถมองเห็นเส้นเลือดของเขาได้ คุณแม่สามารถช่วยพัฒนาผิวหนังลูกได้ด้วยการทานอาหารที่มีวิตามินเอจากธรรมชาติ ซึ่งจะมีประโยชน์ต่อการควบคุมกระบวนการผลิตเซลล์ผิวหนังจะอยู่ในรูปของ “แคโรทีน” มีอยู่ในแครอต ผักใบเขียวเหลือง เนย และฟักทองค่ะ แต่ก็ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีวิตามินเอมากเกินไป เช่นกินอาหารที่ทำจากตับปริมาณมากหรือบ่อยมากถี่มากเกินไป
Tips of the week ในระยะนี้คุณแม่ควรรับประทานอาหารช้าๆ แม้ว่าจะอยู่ในช่วงเร่งรีบ เพราะลำใส้จะถูกมดลูกเบียดเล็กลงเรื่อยๆ รูของลำใส้ถูกเบียดแบนลง การทานอาหารคำใหญ่จะทำอาหารผ่านลงมาในลำใส้ได้ลำบาก เกิดอาการจุกแน่นในท้องได้ง่าย
สัปดาห์ที่ 16
สมองของลูกน้อย ช่วงนี้สมองของลูกมีขนาดโตขึ้นอย่างรวดเร็ว เส้นใยประสาทเริ่มมีการสร้างปลอกไขมัน (Myelin) มาล้อมรอบเช่นเดียวกับฉนวนสายไฟ เพื่อให้การส่งผ่านกระแสไฟฟ้าระหว่างเซลล์สมองได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น ทำให้การสื่อสารรับส่งข้อมูลเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ในเดือนที่ 4 นี้ จำนวนของเซลล์ประสาทของทารกจะเพิ่มขึ้นเท่ากับจำนวนเซลประสาทของผู้ใหญ่ มีโยงใยประสาทมากขึ้น มีการเชื่อมโยงระหว่างระบบประสาทและกล้ามเนื้อ ทำให้ลูกสามารถควบคุมการขยับแขนขาเคลื่อนไหวได้ดียิ่งขึ้น
การเปลี่ยนแปลงของตัวคุณแม่ เมื่อมดลูกมีขนาดใหญ่ขึ้น ต้องการเลือดไปเลี้ยงมากขึ้น ร่างกายของคุณแม่ก็จะสร้างปริมาณเลือดเพิ่มขึ้น อีกทั้งระหว่างการตั้งครรภ์ฮอร์โมนของการตั้งครรภ์จะทำให้เส้นเลือดต่างๆขยายตัวโป่งพองมากขึ้น คุณแม่หลายคนจึงมีเส้นเลือดขอดเกิดขึ้นได้ง่าย เป็นริดสีดวงได้ง่าย หรืออาจทำให้มีเลือดกำเดาไหลได้ง่าย ให้ดื่มน้ำให้เพียงพอเพื่อรักษาโพรงจมูกให้ชุ่มชื้นอยู่ตลอดเวลา อาจทาวาสลีนบริเวณรูจมูกเพื่อความชุ่มชื้นและหลีกเลี่ยงการแคะรุนแรง ระยะนี้คุณแม่ควรทานอาหารที่มีวิตามินซี เพราะจะช่วยให้คอลลาเจนรวมตัวกันได้ดี ทำให้เซลล์ยึดติดกันเหนียวแน่น วิตามินซีนอกจากจะช่วยให้กระดูกและฟันของลูกในท้องแข็งแรงแล้ว ยังช่วยผิวหนังของคุณแม่มีความยืดหยุ่นสูง ทำให้การแตกลายของผิวหนังลดลงและกลับคืนมาเป็นปกติอย่างสมบูรณ์หลังคลอด แต่คุณก็ไม่ควรลืมทาโลชั่นบริเวณผิวหนังที่แตกลายร่วมด้วยนะคะ
Tips of the week ลูกน้อยเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว มดลูกมีการชยายตัวมากขึ้น หน้าท้องมีขนาดใหญ่ขึ้น คุณแม่จึงควรดูแลเสื้อผ้าไม่ให้คับแน่นจนเกินไป ควรมองหาชุดคลุมท้องมาใส่ได้แล้ว เพื่อให้สบายตัวมากขึ้น และไม่รัดมดลูกที่ขยายมากขึ้น
สัปดาห์ที่ 17
พัฒนาการของเจ้าตัวน้อย สัปดาห์นี้เจ้าตัวน้อยในครรภ์จะมีความยาวประมาณ 5 นิ้ว ระบบต่างๆ ภายในตัวของเขาเริ่มทำงานได้บ้างแล้ว ทารกเริ่มขมวดคิ้วได้ แขนขาสมบูรณ์มากขึ้น เริ่มมีผิวหนังและกล้ามเนื้อ หลอดลมฝอยเริ่มแผ่เต็มปอดแล้ว ซึ่งปอดของเจ้าตัวน้อยก็พร้อมจะสูดเอาออกซิเจนเข้าไปได้แล้ว รวมทั้งระบบทางเดินโลหิต และทางเดินปัสสาวะก็มีครบสมบูรณ์แล้วค่ะ
สมองของลูกน้อย ทารกเริ่มมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้นต่างๆได้ เช่น ดูดหรือกลืนของเหลวได้ สะอึกได่ รวมทั้งสามารถกะพริบหนังตาได้ มีการพัฒนาระบบรับรส สามารถแยกรสชาติน้ำคร่ำได้
การเปลี่ยนแปลงของตัวคุณแม่
ทุกขณะที่เจ้าตัวน้อยเติบโตขึ้น
ภายในร่างกายของคุณแม่จะมีการสูบฉีดเลือดเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว
การตรวจเลือดจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่คุณหมอจะต้องตรวจให้กับคุณนับตั้งแต่ครั้งแรกที่คุณไปฝากครรภ์
เพื่อเช็คดูอาการของโรคต่างๆ ที่สามารถส่งต่อมายังลูกในท้องได้ เช่น หัดเยอรมัน,
HIV, โรคไวรัสตับอักเสบบี, ธาลัสซีเมีย
เป็นต้น Tips of the week การเดินเป็นการออกกำลังกายที่ดีที่สุดในระหว่างที่ตั้งครรภ์ค่ะ
ถ้าทำได้ก็ควรเดินออกกำลังหลังทานอาหารวันละประมาณ 30 นาที
จะช่วยให้ระบบการย่อยอาหารดีขึ้นด้วย ลดอาการท้องอืดจุกแน่น
และสำหรับคุณแม่ที่มีปัญหาด้านสายตาอยู่แล้ว
ฮอร์โมนจากการตั้งครรภ์อาจทำให้ความโค้งนูนของเลยส์ตามีความโค้งนูนมากขึ้น
ทำให้สายตาเปลี่ยนไปได้ค่ะ
และบางคนอาจมีปัญหาทำให้ใส่คอนแทคส์เลนส์ไม่ได้อย่างที่เคยใส่
ถ้ามีปัญหานี้ก็ควรตรวจวัดสายตาใหม่ หรือควรปรึกษาจักษุแพทย์ค่ะ
ในระยะนี้คุณแม่ที่มีเวลา ควรชวนสามีไปเข้าคอร์สการตั้งครรภ์คุณภาพ เพื่อเตรียมการบริหารร่างกาย และเรียนรู้เกี่ยวกับการคลอด การปฏิบัติตนหลังคลอดและเลี้ยงดูลูกน้อยด้วยกันค่ะ
สัปดาห์ที่ 18
พัฒนาการของเจ้าตัวน้อย เจ้าตัวน้อยมีลำตัวทารกยาวเกือบ 6 นิ้ว หรือประมาณส้มผลใหญ่ ระบบภายในร่างกายของเจ้าตัวน้อยหลายอย่าง เริ่มมีการทำงานได้สมบูรณ์มากขึ้น ทารกดิ้นแรงขึ้น จนคุณแม่สามารถรับรู้ถึงการดิ้นของทารกได้ในสัปดาห์นี้ สมองของลูกน้อย ในสัปดาห์นี้เป็นสัปดาห์สำคัญที่หูของทารกพัฒนาได้อย่างสมบูรณ์ กระดูกชิ้นเล็กๆ ในหูชั้นกลางที่เป็นทางผ่านของเสียงเข้าสู่หูชั้นในแข็งขึ้นสามารถส่งสัญญานการสั่นสะเทือนของเสียงได้ดีขึ้น หูชั้นในและเซลล์ประสาทในสมองส่วนที่รับรู้และส่งสัญญาณจากหูพัฒนาจนเกือบสมบูรณ์ พูดได้ว่าประสาทสัมผัสการได้ยินของลูกเริ่มทำงานได้แล้วในสัปดาห์นี้ ใบหูยื่นออกมาจากศีรษะอย่างเห็นได้ชัด ทำให้เขาสามารถได้ยินเสียงต่างๆ ที่เกิดขึ้นรอบตัวเขาได้แล้ว โดยเฉพาะเสียงหัวใจคุณแม่หรือเสียงท้องคุณแม่ร้อง
การเปลี่ยนแปลงของตัวคุณแม่ ในสัปดาห์นี้คุณหมอจะทำการตรวจเพื่อเช็คดูความสมบูรณ์ของทารกโดยการอุลตร้าซาวด์ การอุลตร้าซาวด์เป็นการใช้คลื่นเสียงความถี่สูงซึ่งไม่มีอันตรายต่อทารกในครรภ์ใดๆ การดูด้วยอุตร้าซาวด์สามารถบอกตรวจดูโครงสร้างของตัวทารกได้ ดูโครงสร้างภายในสมอง ดูปากแหว่งเพดานโหว่ ดูโครงสร้างของหัวใจ ดูกระเพาะอาหาร ไตกระเพาะปัสสาวะ นับนิ้วมือ นับนิ้วเท้า และยังสามารถดูเพศของทารกได้อีกด้วย อย่างไรก็ตามการใช้อุลตร้าซาวด์ก็สามารถบอกได้แค่ความผิดปกติของโครงสร้างหลักใหญ่ๆเท่านั้น ม่าสามารถบอกเรื่องสติปัญญา โรคทางสมอง หรือความผิดปกติเล็กๆที่ดูได้ยากจากอุลตร้าซาวด์ ในกรณีที่คุณแม่มีอายุมากกว่า 35 ปี ในสัปดาห์นี้ก็จะมีการเจาะตรวจน้ำคร่ำ เพราะการอุลตร้าวด์เพียงอย่างเดียวไม่สามารถบอกถึงความผิดปกติของโครโมโซม และสติปัญญาได้ การเจาะตรวจน้ำคร่ำ คุณหมอก็จะดูดเอาน้ำคร่ำออกไป 20 ซีซี นำไปวิเคราะห์ตรวจโครโมโซมด้วยกล้องจุลทรรศน์อีเลคตรอนเพื่อตรวจนับ และตรวจรายละเอียดของโครโมโซม ซึ่งในขั้นตอนนี้จะใช้เวลาประมาร 2 สัปดาห์ที่ ระยะนี้ผิวหนังของคุณแม่จะมีสีคล้ำขึ้นกว่าเดิมได้ง่าย เนื่องจากฮอร์โมนที่เพิ่มขึ้นมากในระหว่างตั้งครรภ์จะทำให้เม็ดสีใต้ผิวหนังไวต่อการกระตุ้นได้มากขึ้น ผิวหนังจะมีความไวต่อแสงมากขึ้นกว่าเดิม 3 เท่า เช่นปกติแล้วคุณแม่ต้อวงโดนแดด 1 ชั่วโมงถึงจะดำ แต่ในระหว่างนี้โดนแดดเพียงแค่ 20 นาทีผิวก็จะดำคล้ำแล้ว บริเวณที่มักจะดำคล้ำได้ง่าย คือ บริเวณใบหน้า โหนกแก้ม ข้อพับต่างๆ หัวนมและลานนม สะดือ ดังนั้นคุณแม่ก็ควรหลีกเล่ายงการโดนแดด หรือถ้าจำเป็นก็ควรกางร่มหรือทาครีมกันแดดก็พอจะช่วยได้บ้าง
Tips of the week สัปดาห์นี้หูของลูกเริ่มทำงาน เสียงที่ลูกได้ยินมากที่สุดก็คือเสียงการทำงานของลำใส้แม่ และเสียงการเต้นของหัวใจแม่ ดั้งนั้นคุณแม่หลายคนจะรู้สึกลูกดิ้นมากตอนที่แม่หิว หลายคนเลยทึกทักเอาว่าลูกหิวเลยดิ้น ที่จริงแล้วลูกไม่ได้หิวเพราะลูกไม่ได้รับอาหารผ่านทาวงปาก แต่รับอาหารมาจากแม่ทางสายสะดือ แต่ที่ลูกดิ้นตอนแม่หิวก็เป็นเพราะลำใส้ของแม่มีการทำงานมีเสียงโครกครากอยู่ตลอดเวลา ทำให้เด็กตื่นและดิ้นจนแม่รู้สึกได้ เมื่อหูของเด็กเริ่มทำงานลูกจะได้ยินเสียงที่มาจากภายนอกด้วย การเปิดเพลงให้ลูกฟังก็ทำให้เด็กรู้สึกมีความสุขได้ เพลงบรรเลง เพลงฟังสบายๆก็จะทำให้รู้สึกเป็นสุขมีพัฒนาการทางสมองมากขึ้น ซึ่งมีการวิจัยมานานแล้วว่าการให้เด็กฟังเพลงตั้งแต่ในครรภ์จะสามารถเพิ่มไอคิว เพิ่มความสามารถในการเรียนรู้เมื่อทารกคลอดออกมาแล้วได้ การให้ลูกฟังเพลงก็ควรทำวันละ 1-2 ครั้ง หลังอาหาร หรือเป็นช่วงที่เด็กกำลังตื่น กำลังวดิ้นอยู่พอดี การให้ลูกฟังเพลงก็ให้ใช้หูฟังชนิดครอบอันใหญ่ หรือเปิดเพลงจากลำโพงธรรมดาเสียงดังพอประมาณลูกก็จะรับรู้ถึงเสียงได้ การใช้หูฟังใส่รูหูอันเล็กๆใช้ไม่ได้ผลเพราะลูกจะไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย
สัปดาห์ที่ 19
พัฒนาการของเจ้าตัวน้อย ในสัปดาห์นี้เจ้าตัวน้อยมีลำตัวยาวประมาณ 6 นิ้ว ลูกสามารถดูดนิ้วหรือขยับศีรษะหรือเคลื่อนไหวไปมาได้ทั่วท้อง คุณแม่สามารถจับความรู้สึกได้ชัดเจนมากขึ้น ตาทั้งสองข้างที่เคยอยู่ค่อนไปทางด้านข้าง ก็จะมาอยู่ตรงใบหน้า นอกจากนี้เจ้าตัวน้อยจะเริ่มพัฒนาความสามารถในการฟัง ได้ยินเสียงการพูดคุยได้แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเสียงของคุณแม่ค่ะ
สมองของลูกน้อย เป็นช่วงเวลาที่สมองของลูกน้อยจะได้รับการพัฒนาอย่างน่าอัศจรรย์มาก สมองจะพัฒนาเซลล์ประสาทสั่งการ หรือ motor neurons ขึ้นมากมาย โดยเซลล์นี้เป็นเซลล์ประสาทที่ช่วยการสื่อสารระหว่างเซลล์สมองกับกล้ามเนื้อ เซลล์เหล่านี้ช่วยทำให้ลูกน้อยสามารถบังคับการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ แต่การเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อในระยะแรกจะค่อนข้างสะเปะสะปะ เนื่องจากการควบคุมกล้ามเนื้อต่างๆให้แขนขาเคลือนไหวอย่างปราณีตนั้นต้องใช้การเรียนรู้อีกสักระยะหนึ่ง ซึ่งอาจจะกินเวลาไปจนถึงหลังจากเด็กเกิดออกมาแล้วด้วย
การเปลี่ยนแปลงของตัวคุณแม่ มดลูกที่โตสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว จะทำให้เส้นเอ็นที่ยึดมดลูกทางด้านข้างถูกยืดจนตึงเหมือนหนังสติ๊ก ดังนั้นถ้ามีการงัดตัวขึ้น ล้มตัวลงนอนตรงๆ หรือ เคลื่อนไหวเร็วๆ เช่น ลุกจากท่านั่งหรือแค่เอี้ยวตัว คุณแม่จะรู้สึกเสียว บริเวณด้านข้างของมดลูกได้ บางคนอาจจะปวดมากจนต้องรับประทานยาแก้ปวดเลยก็ได้ มดลูกจะโตขึ้นเรื่อยๆ ปีกมดลูกก็จะตึงขึ้นเรื่อยๆ จนถึง 28 สัปดาห์มดลูกก็จะโตจนชนผนังด้านข้างวของช่องท้อง ทำให้มดลูกไม่สามารถโยกไปมาทางด้านข้างได้แล้ว อาการเจ็บปีกมดลูกก็จะบรรเทาลง
Tips of the week ระบบการได้ยินของลูกทำงานแล้ว ตั้งแต่สัปดาห์นี้เป็นต้นไป คุณแม่สามารถพูดคุยกับลูกในท้อง ให้ลูกฟังเสียงดนตรี อ่านหนังสือให้ลูกฟังได้แล้ว โดยคุณแม่สามารถพูดคุยกับลูกได้โดยไม่ต้องใช้เครื่องมือใดๆ เนื่องจากเสียงสามารถเดินทางผ่านของแข็งได้ดีกว่าอากาศ แปรว่าในขณะที่แม่พูดคุยออกเสียง เสียงสามารถเดินทางผ่านปอด กระบังลม ลงไปในช่องท้องจนถึงมดลูกที่ลูกอยู่ได้เลย ลูกสามารถได้ยินเสียงลำไส้ทำงาน เสียงหัวใจแม่เต้น รวมทั้งเสียงพูดคุยของแม่ด้วยเหมือนกัน ที่สำคัญ ชวนคุณพ่อมาพูดคุยกับลูกด้วยนะคะ เพื่อพัฒนาสมองและระบบการได้ยินของลูกค่ะ
สัปดาห์ที่ 20
พัฒนาการของเจ้าตัวน้อย เข้าเดือนที่ 5 เจ้าตัวน้อยมีลำตัวยาว 6 นิ้ว เทียบได้กับมะเขือยาว 1 ลูก ผิวหนังทั่วตัวเริ่มหนาขึ้นและแบ่งเป็น สองชั้น เริ่มมีการสร้างไขมันสีขาวๆ ขึ้นมาปกคลุมผิวด้านนอก เพื่อช่วยลดการเสียดสีจากการที่ทารกดิ้นเคลื่อนไหวไปมาภายในครรภ์ ภายในปากมีการสร้างปุ่มฟันน้ำนม และจะเจริญอยู่ในนั้นก่อนจะโผล่เมื่อลูกคลอดออกมาได้ 6 เดือนขึ้นไป ในสัปดาห์นี้ รกมีขนาดใหญ่ขึ้น และเลื่อนขึ้นด้านบนเรื่อยๆเมื่อมดลูกมีขนาดโตขึ้น คุณแม่ที่มีรกเกาะต่ำเมื่ออายุครรภ์น้อยๆ บางครั้งเมื่อมดลูกโตขึ้นภาวะดังกล่าวอาจจะหายไปเองก็ได้
สมองของลูกน้อย
เซลล์ประสาทภายในสมองกำลังพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเซลล์ประสาทควบคุมการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ
รวมทั้งระบบประสาทสัมผัสต่างๆ เช่น ตุ่มรับรส การได้ยิน
การเปลี่ยนแปลงของตัวคุณแม่ ถ้าคุณแม่เริ่มมีน้ำหนักตัวมากขึ้น ก็มักจะมีอาการปวดเมื่อยตามตัวตามขามากขึ้น อาการปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อก็อาจเกิดจากการเริ่มขาดแคลเซี่ยมก็ได้ คุณแม่ควรดื่มนมวันละ 2 แก้ว ร่วมกับแคลเซี่ยมเสริมตามที่คุณหมอแนะนำ คึณแม่สามารถบีบนวดได้ ประคบร้อนได้ ทายาหรือใช้ยานวดได้ แต่ไม่สามารถรับประทานยาแก้ปวดกล้านเนื้อ ยาคลายกล้ามเนื้อได้ หากเท้าบวมเวลานั่งทำงานควรมีเก้าอี้วางรองเท้าให้สูงขึ้น คุณแม่บางรายก็เริ่มรู้สึกชาหรือปวดบริเวณข้อมือ โดยเฉพาะข้างที่ใช้งานมาก ก็ควรลดการใช้ข้อมือ เช่น เย็บปักถักร้อย หรือพิมพ์งานในคอมพิวเตอร์ อาจหาแถบรัดข้อมือมาสวมแบบที่นักตีเทนนิสใส่เวลาแข่งขัน จะช่วยให้อาการปวดดีขึ้นค่ะ
Tips of the week ในระยะนี้คุณแม่จะปัสสาวะบ่อยขึ้น แต่ก็ไม่ควรอั้นปัสสาวะ เพื่อลดความเสี่ยงของการติดเชื้อในทางเดินท่อปัสสาวะ บางครั้งอาจรู้สึกว่าปัสสาวะลำบากขึ้นคุณแม่อาจเอนตัวไปข้างหน้าเล็กน้อยเพื่อช่วยให้มดลูกไม่ไปกดทับท่อปัสสาวะ ก็จะทำให้สามารถปัสสาวะได้ง่ายขึ้น
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น