ปฏิทินการตั้งครรภ์ สัปดาห์ที่ 1-10

 


สัปดาห์ที่ 1-2    พัฒนาการของเจ้าตัวน้อย ปกติแล้วการนับการตั้งครรภ์ก็จะนับกันตั้งแต่วันแรกที่ประจำเดือนมาครั้งสุดท้าย และจะมีการตกไข่และการปฏิสนธิใน 2 สัปดาห์หลังนั้น สัปดาห์แรกของการตั้งครรภ์จะเริ่มนับจากวันแรกของประจำเดือนครั้งสุดท้ายของคุณแม่ทั้งๆที่ยังไม่ได้มีการปฎิสนธิเกิดขึ้นเลย ดังนั้นสัปดาห์ที่ 1-2 คุณแม่จะตั้งครรภ์โดยที่ยังไม่มีทารกในครรภ์เลย 

การเปลี่ยนแปลงของตัวคุณแม่ ช่วงปลายๆ สัปดาห์ที่ 2 ไข่ที่สุกจะหลุดออกจากรังไข่ และเดินทางตามท่อนำไข่เข้าไปรอรับการปฏิสนธิจากอสุจิตัวที่แข็งแรงที่สุด โดยส่วนหัวของอสุจิจะปล่อยเอนไซม์ย่อยสลาย เพื่อเปิดทางเจาะเยื่อหุ้มไข่ จากนั้นตัวอสุจิส่วนที่เป็นนิวเคลียสจะเข้าไปผสมกับนิวเคลียสของไข่ คุณแม่มีเวลาที่จะสร้างโอกาสให้เกิดการปฏิสนธิได้ในช่วง 72 ชั่วโมงก่อนไข่ตกจนถึง 24 ชั่วโมงหลังไข่ตกเท่านั้น เพราะอสุจิจะมีชีวิตอยู่รอดภายในท่อนำไข่ประมาณ 72 ชั่วโมง และไข่จะมีชีวิตอยู่รอดภายใน 24 ชั่วโมง ภายหลังหลุดออกมาจากรังไข่ จากนั้นก็จะฝ่อไป 

สมองของลูกน้อย ช่วงนี้เป็นช่วงที่ไข่และสเปิร์มกำลังปฏิสนธิกัน ยังไม่เกิดตัวอ่อน แต่สีตา เพศ สีผิว หรือการถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ต่างๆถูกกำหนดแล้วโดยโครโมโซมในช่วงของการปฏิสนธิ 

Tips of the week หากคุณแม่มีรอบประจำเดือน 28 วัน ไข่จะตกประมาณวันที่ 14 และพบว่าช่วง 3 วันก่อนและหลังไข่ตก จะเป็นช่วงที่ร่างกายคุณแม่พร้อมที่สุด ช่วงไข่ตกคุณแม่สามารถรู้ได้จากการมีมูกใสๆลื่นๆคล้ายไข่ขาว ออกมาทางช่องคลอด และร่างกายของคุณแม่จะมีอุณหภูมิที่สูงขึ้นกว่าปกติ 0.5-1.6 องศาเซลเซียส ลองหาเทอร์โมมิเตอร์วัดอุณหภูมิ โดยอมไว้ใต้ลิ้นก่อนล้างหน้าแปรงฟัน การได้รู้ช่วงเวลาไข่ตกที่แน่นอน จะเพิ่มเปอร์เซ็นต์การปฏิสนธิและการตั้งครรภ์มากขึ้น 

 

สัปดาห์ที่ 3 

พัฒนาการของเจ้าตัวน้อย เซลล์ไข่และอสุจิที่ปฏิสนธิกันเรียบร้อยแล้วจะกลายเป็นเซลล์เล็กๆที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น เรียก Zygote จะใช้เวลาเดินทางไปยังโพรงมดลูก 36 ชั่วโมง และฝังตัวที่เยื่อบุโพรงมดลูก เซลล์จะแบ่งตัวอย่างรวดเร็วจนมีขนาดหลายร้อยเซลล์ ในจำนวนนี้จะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ส่วนที่อยู่ด้านในจะพัฒนาไปเป็นตัวอ่อน ส่วนที่อยู่ติดกับผนังมดลูกจะพัฒนาต่อไปจนกลายเป็นรก ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ใช้สำหรับนำอาหารจากกระแสเลือดของแม่สู่ลูกน้อย และขับของเสียจากลูกสู่แม่ โดยที่เจ้าตัวน้อยจะอยู่ในถุงน้ำ ซึ่งป้องกันตัวเองจากการกระแทกกระเทือนภายนอก เพศของลูกจะถูกกำหนดโดยโครโมโซมเพศมาตั้งแต่ต้นแล้ว 

สมองของลูกน้อย ช่วงนี้ตัวอ่อน หรือ embryo เริ่มมีการสร้างกระดูกสันหลัง ระบบไหลเวียนโลหิต และระบบประสาท รวมถึงสมองก็เริ่มมีการก่อตัว 

การเปลี่ยนแปลงของตัวคุณแม่ คุณแม่บางรายอาจยังไม่รู้ตัวว่ามีการตั้งครรภ์ เพราะบางครั้งไข่ที่ปฏิสนธิแล้วจะฝังตัวในเยื่อบุโพรงมดลูก ซึ่งอาจทำให้มีเลือดซึมออกมาได้ เลือดจะออกน้อยกว่าประจำเดือนยปกติ ออกมาประมาณ 1-2 วัน จนบางครั้งคุณแม่อาจคิดว่าเป็นประจำเดือน ช่วงนี้เยื่อบุโพรงมดลูกจะหนาขึ้นเนื่องจากมีฮอร์โมนมาเลี้ยงมากขึ้น มีเส้นเลือดมาเลี้ยงมากขึ้น เพื่อให้สารอาหารและเตรียมพร้อมสำหรับการฝังตัวของไข่ที่ได้รับการปฏิสนธิ 

Tips of the week คุณแม่ต้องเอาใจใส่กับคุณภาพลูกน้อยในครรภ์อย่างจริงจังนับตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป ทานอาหารที่มีกรดโฟลิกและธาตุเหล็กสูงจะช่วยให้เซลล์เม็ดเลือดแดง และเซลล์ของตัวอ่อนมีความสมบูรณ์ ที่สำคัญ ควรไปเช็คสุขภาพปากและฟันเสียแต่เนิ่นๆ เพราะหากท้องคุณแม่ใหญ่ขึ้นอาจมีปัญหาในการรักษาฟันผุได้ 

 

สัปดาห์ที่ 4 

พัฒนาการของเจ้าตัวน้อย ลูกน้อยที่ยังเป็นตัวอ่อนขนาดจิ๋ว ได้ฝังตัวเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของผนังมดลูกแล้ว จะมุ่งแบ่งตัวต่ออย่างไม่หยุดยั้ง จนช่วงปลายสัปดาห์นี้ จะกลายเป็นกลุ่มเซลล์จำนวนมาก รวมกันเป็นแท่งยาว ความยาวของตัวอ่อนในช่วงสัปดาห์ที่ 4 จะยาวเพียง ¼ นิ้วเท่านั้น ซึ่งจะประกอบไปด้วยเนื้อเยื่อ 3 ชนิด โดยชนิดแรกจะเจริญต่อไปเป็นผม เล็บ หูส่วนใน เลนส์ตา เป็นต้น ชนิดที่สองจะพัฒนาเป็นระบบประสาท จอตา ต่อมใต้สมอง กระดูก กล้ามเนื้อ เซลล์เลือด เซลล์น้ำเหลือง และชนิดที่สามจะพัฒนาไปเป็นปอด หลอดลม ระบบทางเดินอาหาร ตับ ตับอ่อน กระเพาะปัสสาวะ เป็นต้น 

สมองของลูกน้อย ช่วงแรกของการตั้งครรภ์เป็นขั้นตอนของการแบ่งตัวของเซลล์สมองให้มากขึ้นหรือเป็นขั้นตอนของการสร้างเนื้อสมองนั่นเอง ทางการแพทย์เรียกว่า Hyperplasia stage โดยขั้นตอนนี้จะเริ่มตั้งแต่เมื่อมีการตั้งครรภ์ไปจนถึงอายุครรภ์ได้ประมาณ 4 เดือน ซึ่งในระยะแรกนี้เซลล์สมองของทารกจะมีการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว 

การเปลี่ยนแปลงของตัวคุณแม่ เมื่อถึงสัปดาห์ที่ 4 คุณแม่จะไม่มีประจำเดิอนมาตามปกติ ช่วงนี้ รกจะสร้างฮอร์โมนของการตั้งครรภ์ ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ทำให้รังไข่หยุดการตกไข่ชั่วคราว รังไข่จะไปสร้างฮอร์โมนที่ช่วยหล่อเลี้ยงการตั้งครรภ์มาแทนที่ ซึ่งฮอร์โมนนี้สามารถตรวจพบได้ในเลือดหรือปัสสาวะ เพื่อพิสูจน์การตั้งครรภ์ ฮอร์โมนนี้จะทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกจะหนาขึ้น มีเส้นเลือดไปเลี้ยงลูกน้อยที่กำลังเติบโตมากขึ้น และหน้าอกคุณแม่จะคัดตึงมากขึ้น เป็นสัญญาณการเปลี่ยนแปลงแรกๆที่บ่งบอกว่าคุณแม่กำลังจะมีลูกน้อยในครรภ์ อาการเหล่านี้จะหายไปเมื่อตั้งครรภ์ได้ 3 เดือน 

Tips of the week เมื่อประจำเดือนของคุณแม่ไม่มาตามปกติ ก็สามารถตรวจสอบการตั้งครรภ์ได้ แต่ใน 2-3วันแรกที่ประจำเดือนขาด จะตรวจเจอเพียงแค่ 20% เมื่อประจำเดือนขาดได้ 1 สัปดาห์จะตรวจปัสสาวะพบการตั้งครรภ์ได้ 50% และจะตรวจพบการตั้งครรภ์ได้ 100% เมื่อประจำเดือนขาดไป 2 สัปดาห์ การตรวจปัสสาวะควรตรวจตอนเช้า เนื่องจากเป็นช่วงที่มีฮอร์โมนออกมาสูงสุด ฮอร์โมนที่รกสร้างขึ้นนี้จะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวทุกๆ 2-3 วัน ตลอด 10 สัปดาห์แรกของการตั้งครรภ์ 

 

สัปดาห์ที่ 5 

พัฒนาการของเจ้าตัวน้อย ขนาดของเจ้าตัวน้อยจะโตประมาณเมล็ดส้มเขียวหวานแล้วค่ะ เริ่มมีการแบ่งแยกของกลุ่มเซลล์ที่จะเติบโตเป็นอวัยวะต่างๆ บางส่วนก็จะกลายเป็นสมอง หัวใจ กล้ามเนื้อ หรือกระดูก สร้างหัวใจครบ 4 ห้อง ในช่วงต้นของสัปดาห์ที่ 5 (18 วันหลังปฏิสนธิ) และอวัยวะสำคัญต่างๆ เช่น หัวใจ ไต ตับ กระเพาะอาหารเริ่มทำงานได้แล้ว 

สมองของลูกน้อย เซลล์ส่วนหนึ่งจะเจริญเติบโตไปเป็นสมอง ส่วนบนสุดของตัวอ่อนจะมีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว เริ่มมีการสร้างส่วนที่เป็นเนื้อสมอง โดยแรกเริ่มจะสร้างเป็นแผ่นบางๆ แล้วค่อยๆ โค้งเข้ามาบรรจบกันเป็นท่อเหมือนหลอดกาแฟ เรียกว่า Neural Tube ต่อมาหลอดนี้จะเริ่มโป่งขยายเป็นช่วงๆ จัดโครงสร้างเป็นสมองส่วนหน้า สมองส่วนกลาง และสมองส่วนหลัง 

การเปลี่ยนแปลงของตัวคุณแม่ คุณแม่อาจรู้สึกถึงอาการแรกเริ่มของการตั้งครรภ์ต่างๆ เช่น หน้าอกคัดตึงใหญ่ขึ้น คลื่นไส้อาเจียน จมูกไวขึ้น ปัสสาวะบ่อย หรือมีอารมณ์แปรปรวน ในช่วงนี้คุณแม่จะเริ่มรู้แล้วว่าตั้งครรภ์อย่างแน่นอน จึงควรไปฝากครรภ์กับคุณหมอแต่เนิ่นๆ 

Tips of the week คุณแม่ควรทานอาหารที่มีโปรตีนสูง กรดอมิโนที่มีอยู่ในโปรตีน จะช่วยให้ลูกของคุณแม่มีเสบียงมากพอในการสร้างอวัยวะต่างๆ ควรเลิกดื่มชา กาแฟ เพราะคาเฟอีนจะทำให้การดูดซึมของธาตุเหล็กได้ไม่ดีนัก แต่ถ้าอดไม่ได้จริงๆ ก็สามารถดื่มได้ แต่ไม่ควรดื่มเยอะ และควรทิ้งระยะเวลาจากอาหารมื้อที่มีธาตุเหล็กประมาณครึ่งชั่วโมง

  

สัปดาห์ที่ 6 

พัฒนาการของเจ้าตัวน้อย สัปดาห์นี้เจ้าตัวน้อยมีขนาดยาวประมาณ 5มม. ขนาดเล็กกว่าเมล็ดข้าวหน่อยนึง ถ้าทำการอัลตราซาวนด์ ก็จะเห็นรูปทรงของหัวกับรอยโค้งของกระดูกสันหลังได้ชัดเจน หัวใจมีการเต้นประมาณ 180 ครั้งต่อนาทีและจะเต้นช้าลงเมื่อเด็กตัวโตขึ้น เมื่อไปตรวจฝากครรภ์ในช่วงนี้ คุณหมดอาจจะตรวจดูด้วยเครื่องอัลตราซาวนด์ เพื่อดูตำแหน่งของการตั้งครรภ์ ดูท้องนอกมดลูก ดูจำนวนตัวอ่อนในครรภ์ เป็นครรภ์แฝดหรือไม่ ดูว่ามีเนื้องอกของมดลูกหรือรังไข่หรือไม่ 

สมองของลูกน้อย สมองส่วนหน้าเติบโตขยายขนาด และแบ่งเป็นสมองซีกซ้ายซีกขวาชัดเจนขึ้น Neural tube ส่วนของสมองส่วนกลางและส่วนหลังก็ปิดลงอย่างสมบูรณ์ 

การเปลี่ยนแปลงของตัวคุณแม่ ครึ่งหนึ่งของคุณแม่จะเริ่มมีอาการแพ้ท้อง คลื่นใส้ อาเจียน เหนื่อยง่าย เป็นลมได้ง่ายจากภาวำน้ำตาลในเลือดต่ำ ถ้าเป็นมาก ควรไปพบแพทย์ ซึ่งอาจจำเป็นต้องมีการเจาะเลือด ตรวจน้ำตาลในเลือดตรวจปัสสาวะ บางทีก็อาจจะจำเป็นต้องให้น้ำเกลือ ในรายที่เป็นหนักคุณหมออาจให้น้ำเกลือและยาฉีดแก้แพ้ แต่ถ้าหากอาการไม่มากนักอาจให้ยารับประทานแก้แพ้ก็เพียงพอ ซึ่งยาแก้แพ้เหล่านี้มีความปลอดภัยสำหรับลูกน้อยในท้อง คุณแม่ควรรับประทานอาหารอ่อน ย่อยง่าย กลิ่นน้อยๆ หลีกเลี่ยงของคาวๆมันๆ บางครั้งการกินของแห้งๆ เช่น ขนมปังกรอบ ก่อนลุกจากเตียงตอนเช้าก็อาจช่วยได้ ควรนอนพักผ่อนให้มากขึ้น ทำตัวให้สดชื่น ทำใจให้สบาย ลดความเครียด อาการแพ้ท้องจะเป็นหนักที่สุดในสัปดาห์ที่9 และหายแพ้ในสัปดาห์ที่14 ในช่วงสัปดาห์นี้ ต่อมน้ำนมก็เตรียมผลิตน้ำนมแล้ว จึงทำให้เต้านมของคุณแม่ขยายและคัดตึงเล็กน้อยค่ะ ช่วงแรกของการตั้งครรภ์คุณหมอจะเว้นช่วงห่างของการนัดตรวจในทุก 1 เดือน แต่เมื่ออายุครรภ์มากขึ้น คุณหมอก็จะนัดถี่ขึ้นไปทุก 2 สัปดาห์ อย่างไรก็ตาม หากเกิดอาการผิดปกติขึ้น ควรรีบปรึกษาคุณหมอในทันที โดยไม่ต้องรอให้ถึงเวลานัด 

Tips of the week ระดับฮอร์โมนในร่างกายคุณแม่ที่เพิ่มขึ้น ทำให้อาการแพ้ท้องเริ่มรุนแรงในบางราย คุณแม่ควรเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน คือกินให้น้อยลง แต่ให้บ่อยครั้งขึ้น ถ้ากินอะไรไม่ได้เลย ให้กินขนมปังกรอบที่ผสมธัญพืชแทนได้ ในรายที่มีอาการแพ้ท้องรุนแรงมาก ให้ฝานขิงอ่อนเป็นแผ่นบางๆ แช่ในน้ำร้อน แล้วค่อยๆ จิบ จะช่วยให้อาการแพ้ท้องดีขึ้นค่ะ นอกจากนี้พยายามหลีกเลี่ยงการได้รับเชื้อโรคจากการกินอาหารดิบๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เช่น ไข่ที่ไม่ได้ปรุงให้สุก และอาหารที่ไม่ได้ผ่านกระบวนการฆ่าเชื้อค่ะ 

 

สัปดาห์ที่ 7 

พัฒนาการของเจ้าตัวน้อย ขณะนี้ลูกน้อยของคุณแม่มีความยาวประมาณ 1/3 นิ้ว หรือเท่ากับเล็บนิ้วมือของคุณแม่ แต่ถึงจะมีขนาดที่เล็ก หนูน้อยก็มีอวัยวะสำคัญหลายอย่างเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาแล้วนะคะ หากมองทะลุผนังท้องเข้าไปได้ คุณแม่จะเห็นว่าเขามีหัวที่ใหญ่กว่าลำตัว มีจุดสีดำเล็กๆ บริเวณตา และสมองมีร่องรอยของหู มีปุ่มแขนขาเล็กๆ ขึ้นมา หัวใจของเขาเริ่มแบ่งออกเป็นห้องซ้ายและขวา และเต้นประมาณ 150 ครั้งต่อนาที ซึ่งเป็นอัตราที่สูงกว่าในผู้ใหญ่ถึง 2 เท่า และเจ้าตัวน้อยจะเริ่มมีโครงหน้าและรูปร่างที่ชัดเจนขึ้น เห็นปาก จมูก และหู ได้ชัดเจน 

สมองของลูกน้อย สมองของลูกน้อยเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว เริ่มจะมีความซับซ้อนมากขึ้น เริ่มมีการพัฒนากะโหลกศีรษะ เป็นกระดูกกลมๆบางๆใสๆ 

การเปลี่ยนแปลงของตัวคุณแม่ ในช่วงสัปดาห์นี้ ระดับการผลิตฮอร์โมนจะสูงขึ้น ในรายที่คุณแม่เคยมีความผิดปกติของต่อมไทรอยด์มาก่อน ลองถามคุณหมอถึงการตรวจระดับฮอร์โมนไทรอยด์ในตัวคุณแม่ดูบ้าง ว่าอยู่ในระดับที่ต่ำหรือสูงเกินไปหรือไม่ เพราะการทำงานที่ผิดปกติของไทรอยด์อาจส่งผลต่อลูกในท้องของคุณแม่ได้ คุณแม่อาจจะมีอาการแพ้ท้องเพิ่มขึ้น อ่อนเพลีย เป็นลมหน้ามืดได้ง่าย อารมณ์แปรปรวน มดลูกที่โตขึ้นอาจจะทำให้มีอาการหน่วงๆถ่วงๆในท้องน้อย แต่ไม่ควรมีการบีบตัวของมดลูก เจ็บบริเวณปีกมดลูกได้ง่าย เนื่องจากเมื่อมดลูกโตขึ้น ปีกมดลูกก็มันจะถูกดึงรั้งตึง 

Tips of the week คุณแม่อาจมีอาการแสบบริเวณลิ้นปี่ จากการอาเจียน น้ำย่อยที่อาเจียนออกมาจะทำให้แสบหลอดอาหารได้ง่าย ควรดื่มน้ำ กลั้วปากล้างคอทุกครั้งหลังอาจียนก็จะช่วงลดอาการนี้ได้ และสัปดาห์นี้นับเป็นช่วงสำคัญที่สุดในการปูพื้นฐานสู่ความเป็นอัจฉริยะให้กับลูกน้อย ซึ่งโอเมก้า -3 หรือดีเอชเอ คือสารอาหารที่จะช่วยพัฒนาสมองของลูกเจริญเติบโตขึ้น โดยคุณแม่จะได้รับจากน้ำมันปลา อาหารจำพวกปลา เช่น ปลาแซลมอน, ปลาทู, ถั่วอัลมอลต์, ถั่วเหลือง, เมล็ดฟักทอง แต่อย่าลืมกรดโฟลิกด้วยนะคะ เพราะช่วยทำให้เซลล์สมองของตัวอ่อนแข็งแรง โดยคุณแม่ยังคงจะต้องได้รับสารอาหารตัวนี้ต่อไปจนเข้าสัปดาห์ที่ 12 ค่ะ 

 

สัปดาห์ที่ 8

 พัฒนาการของเจ้าตัวน้อย ในสัปดาห์นี้ ลูกน้อยของคุณแม่จะมีความยาวมากกว่าครึ่งนิ้ว หรือมีขนาดเท่าเม็ดมะม่วงหิมพาน ตัวอ่อนเริ่มมีพัฒนาการเป็นตัวทารกได้ชัดเจนขึ้น แขนขาเริ่มงอกเป็นตุ่มออกมาจากลำตัว ปลายของตุ่มแขนตุ่มขาก็มีร่องเล็ก ๆ ที่จะกลายเป็นมือและเท้าเล็กๆ ต่อไป จะมองเห็นส่วนที่จะเป็นหัว ลำตัว แขนขาชัดเจน ส่วนตัวมดลูกเองจะขยายใหญ่เกือบสองเท่าของขนาดปกติจนโตขนาดเท่าลูกเทนนิส 

สมองของลูกน้อย ในสัปดาห์นี้ สมองของเจ้าตัวน้อยจะมีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว เห็นดวงตาของทารกได้ชัดเจนเป็นจุดดำๆที่บริเวณส่วนหัว ทารกในครรภ์เริ่มมีการเคลื่อนไหว

 การเปลี่ยนแปลงของตัวคุณแม่ มดลูกจะมีการขยายตัวอย่างรวดเร็วในช่วง 12 สัปดาห์แรก มดลูกที่โตขึ้นก็จะกดเบียดทำให้กระเพาะปัสสาวะของคุณแม่มีขนาดเล็กลง คุณแม่จะรู้สึกอยากปีสสาวะบ่อยกว่าปกติ และเมื่อมดลูกโตขึ้น น้ำหนักมากขึ้น ก็จะทำให้คุณแม่รู้สึกหนัก หน่วง ถ่วงท้องน้อยมากกว่าปกติ แต่ต้องไม่รู้สึกแบบมดลูกมีการบีบตัว และเมื่อมดลูกโตขึ้นก็จะทำให้เส้นเอ็นยึดมดลูกทางด้านข้างตึง คุณแม่อาจรู้สึกเสียวแปลบๆ เวลาเคลื่อนไหวเร็วๆ งัดขึ้นงัดลง หรือบิดตัว คุณแม่จึงควรทำอะไรช้าลงกว่าปกติ แต่หากมีอาการปวดท้องบีบๆตรงกลาง ร่วมกับมีเลือดสีแดงสดออกมาทางช่องคลอด อาจเป็นอาการเตือนว่าอาจมีการแท้งเกิดขึ้นได้ ควรปรึกษาคุณหมอทันทีค่ะ คุณแม่ควรฝากครรภ์ทันทีที่รู้ว่าตั้งครรภ์ หากคุณแม่ยังไม่ได้ไปฝากครรภ์ ก็ควรรีบไปฝากครรภ์ในสัปดาห์นี้ เนื่องจากหากมีความผิดปกติใดๆ เช่น ท้องนอกมดลูก ภาวะแท้ง ไข่ลม หรือท้องที่ไม่มีตัวอ่อนก็อาจจะสามารถตรวจพบได้ และจะได้ทำการรักษาได้ตั้งแต่เนิ่นๆ ไม่ต้องรอให้เกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงเช่น ปวดท้อง ตกเลือดแล้วถึงค่อยมารักษา ซึ่งอาจเกิดอันตรายต่อตัวแม่ได้มากกว่า 

Tips of the week สำหรับคุณแม่ที่รักการออกกำลังกาย ก็ควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายที่มีการกระแทกกระเทือนมากเกินไป ควรหาการออกกำลังกายที่ไม่ต้องออกแรงมากนัก สังเกตง่ายๆ คือหากมีอาการเหนื่อยจนไม่สามารถพูดได้ ก็หมายความว่าคุณแม่ออกกำลังกายหนักเกินไปแล้ว ลำหรับคุณแม่ที่ชอบทำงานบ้าน ก็ควรหลีกเลี่ยงสารเคมีต่างๆเช่น พวกน้ำยาทำความสะอาด อย่างไรก็ตามของใช้ในชีวิตประจำวันประเภท สบู่ แชมพู ยาย้อมผม ยาทาเล็บ สีทาบ้าน มักไม่มีผลใดๆต่อการตั้งครรภ์ เนื่องจากผลิตภัณฑ์เหล่านี้ต้องผ่านการทดสอบมาแล้วอย่างเข้มงวด หากคุณแม่ไม่แน่ใจก็ควรอ่านดูจากฉลากกำกับ เนื่องจากเป็นกฏหมายที่ว่าหากผลิตภัณฑ์ใดๆมีผลต่อการตั้งครรภ์ต้องมีเอกสารแจ้งเตือนที่สามารถมองเห็นได้ชัดเจน แต่หากไม่สบายใจก็ควรปรึกษาคุณหมอเพื่อจะได้ข้อมูลที่ถูกต้องนะครับ

 

สัปดาห์ที่ 9 

พัฒนาการของเจ้าตัวน้อย สัปดาห์นี้เจ้าตัวน้อยมีความยาว 1 นิ้ว หรือใหญ่กว่าเม็ดมะม่วงหิมพานต์อีกนิดหน่อย เริ่มเห็นปากกับจมูกได้ชัดเจนยิ่งขึ้น จากสัปดาห์ก่อนที่เห็นปุ่มแขนปุ่มขาเล็กๆ ในสัปดาห์นี้แขนขาของตัวอ่อนยาวขึ้นอย่างชัดเจน เริ่มเห็นท่อนแขนท่อนขาแยกเป็นสองส่วน มีการสร้างข้อศอก ข้อเข่า ทำให้แขนขาสามารถงอพับเคลื่อนไหวได้ นิ้วมือและเท้าของทารกเริ่มแยกออกจากกัน หัวใจของทารกมีโครงสร้างที่สมบูรณ์มากขึ้น ระบบหลอดเลือดซับซ้อนมากขึ้น ระบบทางเดินอาหารก็เริ่มพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็วในสัปดาห์นี้ด้วยเช่นกัน

สมองของลูกน้อย ศีรษะและสมองมีขนาดใหญ่ ทารกในครรภ์มีการดิ้นเคลื่อนไหวได้ชัดเจนมากขึ้น สมองสามารถสั่งการควบคุมการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อได้ กล้ามเนื้อแขนขาตอบสนองการสั่งการจากสมองได้ดีขึ้น ทารกกำลังเรียนรู้การเคลื่อนไหว เมื่อไปกระทบกับผนังมดลูก ทำให้ทารกเริ่มมีการเรียนรู้ถึงประสาทสัมผัส รู้ถึงขอบเขตพื้นที่ภายในมดลูก การมีอยู่มีตัวตนของตัวเขา. 

การเปลี่ยนแปลงของตัวคุณแม่ ระดับฮอร์โมนเอสโทรเจนและโพรเจสเทอโรนที่เพิ่มขึ้นในระหว่างการตั้งครรภ์จะทำให้เต้านมขยายโตขึ้น ต่อมผลิตน้ำนมขยายตัวมากขึ้น ลานนมจะขยายกว้างขึ้นและมีสีดำคล้ำขึ้น คุณแม่จะมีอาการคัดและเจ็บเต้านมได้ง่าย ช่วงนี้จึงควรเปลี่ยนยกทรงเป็นแบบที่ใช้สำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์โดยเฉพาะซึ่งจะโอบอุ้มรับน้ำหนักได้ดีกว่ายกทรงทั่วๆไป คุณแม่ที่มีรูปร่างผอม จะสังเกตุเห็นท้องที่โตขึ้นได้ง่าย เวลาใส่กางเกงคุณแม่จะรู้สึกคับแน่นมากขึ้น ในช่วงนี้คุณแม่สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้ตามปกติ ยกเว้นถ้าทำอะไรแล้วมีปวดท้องน้อย หรือมีเลือดออกทางช่องคลอด ต้องหยุดทำและแจ้งให้สูติแพทย์ทราบทันทีค่ะ 

Tips of the week แคลเซียมคือแร่ธาตุจำเป็นที่ช่วยเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง คุณแม่ควรได้รับแคลเซี่ยมอย่างน้อยวันละ 1200 มิลลิกรัม เพื่อให้เพียงพอต่อการสร้างกระดูก และฟันที่แข็งแรงให้กับเจ้าตัวน้อย โดยที่ไม่ต้องดึงแคลเซียมจากตัวคุณแม่มาใช้ และเพื่อให้การดูดซึมแคลเซียมมีประสิทธิภาพ คุณแม่ควรได้รับวิตามินดีด้วยค่ะ การออกไปนอกบ้านรับแดดยามเช้าตรู่สักครึ่งชั่วโมงก็เป็นวิธีการง่ายที่สามารถทำได้ทุกวัน

 

สัปดาห์ที่ 10 

พัฒนาการของเจ้าตัวน้อย ในสัปดาห์นี้ เจ้าตัวน้อยมีความยาวกว่า 1 นิ้ว อวัยวะส่วนสำคัญทั้งหมดจะเริ่มปรากฏเป็นรูปร่างที่ชัดเจนขึ้น ส่วนหางซึ่งอยู่ที่ปลายสุดของกระดูกสันหลังจะหดหายไป กระดูกส่วนต่างๆจะได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องแต่ยังมีแคลเซี่ยมมาเกาะไม่มากนัก หน่อฟันของลูกน้อยจะเริ่มปรากฏ ลักษณะใบหูส่วนนอกติดกับศีรษะชัดเจนขึ้น เริ่มเห็นนิ้วมือนิ้วเท้าชัดเจนขึ้น และแยกออกจากกันอย่างสมบูรณ์ (ไม่มีพังผืด) มองโดยรวมจะเห็นว่ามีรูปร่างคล้ายคนแล้วค่ะ 

สมองของลูกน้อย ระยะนี้ เซลล์สมองจะมีการแบ่งตัวอย่างรวดเร็ว อาจแบ่งตัวได้ถึงนาทีละ 250,000 เซลล์ ระบบประสาทมีการสร้างโครงสร้างของสมองส่วนต่างๆเป็นส่วนๆ สมองมีขนาดใหญ่ขึ้น ทำให้มองเห็นเป็นส่วนที่แยกจากไขสันหลังชัดเจน 

การเปลี่ยนแปลงของตัวคุณแม่ ตอนนี้หัวใจของคุณแม่ต้องทำงานหนักขึ้นกว่าเดิม หัวใจต้องสูบฉีดเลือดไปหล่อเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกาย และยังต่อไปหล่อเลี้ยงมดลูกที่มีขนาดโตขึ้นเรื่อยๆด้วย การทำงานที่หนักขึ้นทำให้หัวใจของคุณแม่ขยายใหญ่ขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย ในการนัดฝากครรภ์ช่วงแรกๆ ทุกครั้งคุณหมอจะทำการตรวจความดันของเลือดเพื่อให้แน่ใจว่าความดันไม่สูงเกินไป เพราะนั่นอาจเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงลักษณะอาการของโรคครรภ์เป็นพิษได้ นอกจากนี้คุณหมอยังต้องตรวจปัสสาวะ ชั่งน้ำหนักและวัดส่วนสูง ตรวจเลือดและเช็กดูระดับการพองตัวของข้อมือและข้อเท้าคุณแม่ด้วยค่ะ คุณแม่ส่วนใหญ่เริ่มจะหายจากอาการแพ้ท้องและอยากทานอาหารมากขึ้นค่ะ บางท่านเข้าใจว่า ต้องทานอาหารเพิ่มมากขึ้นเท่ากับสำหรับคนสองคน (เผื่อลูกในท้อง) ความจริงตลอดการตั้งครรภ์ คุณแม่ควรทานอาหาร ไม่เพิ่มจากปกติเท่าไรนัก เพียงแต่กินอาหารอะไร ให้นึกว่าต้องมีประโยชน์สำหรับทั้งตนเอง และลูกในท้องด้วยค่ะ 

Tips of the week การออกกำลังในระหว่างที่ตั้งครรภ์ก็ควรจะทำด้วยความระมัดระวัง ควรออกกำลังกายที่มีการกระแทกกระเทือนไม่มาก การฝึกโยคะเป็นการออกกำลังกายที่เหมาะกับการตั้งครรภ์มากแต่ก็ควรมีครูฝึกที่มีความรู้ทางด้านนี้โดยเฉพาะ การออกกำลังกายแบบแอโรบิก ก็ควรทำด้วยความระมัดระวัง อย่าให้มีการกระแทกกระเทือนมากเกินไป การออกกำลังกายในน้ำ หรือการว่ายน้ำ ก็เป็นการออกกำลังกายที่เหมาะกับการตั้งครรภ์ เนื่องจากน้ำจะช่วยพยุงน้ำหนัก ทำให้สามารถเคลื่อนไหวได้โดยไม่เหนื่อยมากนัก แต่ไม่ว่าจะออกกำลังกายด้วยวิธีใดก็ควรทำด้วยความระมัดระวัง และเลือกวิธีการให้เหมาะสม และควรวอร์มอัพช้าๆ ก่อนออกกำลังกายทุกครั้งค่ะ

 

ความคิดเห็น